กสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
กสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจเพราะกสิกรรม
เพลงที่ใครๆก็เคยได้ยินได้ฟังในเวลาเช้า เป็นสัญญาณนาฬิกาปลุกว่าต้องตื่นไปเรียน ไปทำงานแล้ว ฟังตอนเด็กๆก็ไม่คิดอะไร ตื่นมาก็ได้ยินเพลงนี้กรอกหู หัวสมองเราก็จะซึมซาบเองว่า อาชีพกสิกรนี้มีความสำคัญต่อประเทศชาติ มีบุญคุณกับเราแค่ไหน เป็นอาชีพที่จะทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง
พอโตมาเริ่มสงสัยกันไหมว่า ทำไมประเทศเราที่ทำกสิกรรมกันมาช้านานตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษถึงยังไม่เจริญรุ่งเรืองกว่าประเทศอื่นๆตามที่ในเพลงบอกไว้ แล้วการที่เพลงนี้เอามาเปิดกรอกหูทุกๆเช้านี่เขาทำไปเพราะมีจุดประสงค์อะไรไหม
ถ้าอ่านเนื้อเพลงนี่ถือว่าเพลงนี้เนื้อหาค่อนข้างpraiseชนชั้นที่ทำงานกสิกรรม ให้มีmindset ในหัวว่าเราต้องทำอาชีพนี้ต่อไปเรื่อยๆนะ เพราะเราเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เป็นความหวังของคนในชาติ จะเลิกทำไม่ได้เป็นอันขาด แม้ว่าตัวเองจะเป็นหนี้ จะเหนื่อยยากแค่ไหนก็ตาม คนในชาติจะคอยอุ้มชู แล้วรู้สึกขอบคุณเรา วันนึงประเทศจะเจริญเพราะเรานี่แหล่ะ
ส่วนคนที่ทำอาชีพอื่นๆ เมื่อได้ฟังเพลงนี้ก็จะมีความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณคนอาชีพนี้ คิดว่าอาชีพนี้สำคัญที่สุดกับประเทศ มีความเชื่อสืบๆกันมาว่าเราเป็นประเทศกสิกรรม
อีกอย่างที่น่าแปลกคือเพลงในลักษณะนี้ มักจะประพันธ์โดยคนในชนชั้นhigh class แต่บรรยายลักษณะชีวิตได้ราวกับทำอาชีพนี้มาเองนับ10ปี ดังเช่นประโยค “อันชีวิตของกสิกรนั้น ต่างยึดถือความขยันหมั่นหนักหนา
ทนทำงานอยู่ระหว่างกลางดินฟ้า ถึงแดดกล้าฝนพรำก็ทำไป
ความเป็นอยู่แสนง่ายสบาย นะดวงจิตรักสงบไว้ไม่มักใหญ่
มุ่งแต่งานเป็นชีวิตและจิตใจ มีนิสัยที่แผ่เผื่อเอื้ออารี”
อีกนัยยะกลายๆก็คือ ให้มุ่งมั่นทำอาชีพนี้ไปจนตาย ทั้งที่ประโยคนึงบอก ต้องทนทำงานกลางดินฟ้า แดดฝน พออีกประโยครีบบอกว่าให้ใช้ชีวิตแสนง่ายสบายนี้ต่อไป รักสงบ ไม่มักใหญ่
หรือจริงๆเพลงนี้อาจไม่ได้มีนัยยะอะไรอยู่เลยก็ได้ แค่แต่งขึ้นมาสนุกๆ แล้วสถานีเอาไปเปิดไว้ปลุกคนดู
ท่านอื่นๆ คิดยังไงกับเพลงนี้กันบ้างครับ