โดยเฉพาะจังหวะทำฟาวล์ในเขตโทษของทีมเยือน ต่อหน้าต่อตา แต่ผู้ตัดสินกลับชี้เป็นฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ถ้าหากมี VAR ยังไงซะ ... ก็เป็นจุดโทษ 100%
นอกจากนี้ ยังมีลูกปัญหาในอีกหลายเกม นั่นทำให้มีกระแสเรียกร้องให้ สมาคมฯ รีบกลับมาใช้ VAR อีกครั้งเพื่อลดคำครหา
สำหรับเทคโนโลยี VAR หรือ Video Assistant Referee ได้รับการยอมรับจากกรรมการบริหารของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และได้รับการตอบรับทั่วโลกทันที หลังถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่รัสเซีย เพราะได้สร้างความเที่ยงธรรม ชัดเจน สามารถตอบข้อสงสัยในจังหวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างเกมการแข่งขันฟุตบอลในจังหวะสำคัญได้
โดย ไทย ถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน ที่มีการนำเทคโนโลยี VAR เข้ามาทดลองใช้ในการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพภายในประเทศเมื่อฤดูกาล 2018 ที่ผ่านมา แต่เป็นระบบมอนิเตอร์จากห้องปฏิบัติการ VAR ที่ยกไปติดตั้งที่สนามแข่งขันในแต่ละครั้งที่จะทำการใช้ในรูปแบบ “Decentralized : Mobile Solution” ซึ่งแตกต่างจาก ฟุตบอลโลก ที่ใช้รูปแบบที่เรียกว่า “Centralized” ซึ่งทุกสนามจะมีศูนย์กลางมอนิเตอร์อยู่ที่แห่งเดียว
ด้วยเหตุนี้เอง ในฤดูกาล 2019 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด จึงพยายามปรับมาใช้ VAR ที่เป็นมาตรฐานเดียวกับฟุตบอลโลกและทั่วโลกใช้ แต่ได้ทดลองเพียงแค่ 3 สัปดาห์แรกเท่านั้น เนื่องจากทาง FIFA (สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ) และ IFAB(คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ) มีความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐาน และหวั่นกระทบภาพลักษณ์ของ VAR ที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจของทั้งสโมสร, โค้ช, นักเตะ และแฟนบอล
FIFA และ IFAB จึงประกาศให้ไทยลีกงดใช้ VAR ชั่วคราว พร้อมมาจัดอบความความรู้เกี่ยวกับ VAR ให้แก่สโมสร และผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ตัดสิน เพื่อทำความเข้าใจตรงกัน และยกระดับมาตรฐานสู่สากล ก่อนจะนำไปใช้งานเต็มรูปแบบ
อย่างที่ทราบกันสำหรับเทคโนโลยี VAR จะใช้ตัดสินสถานการณ์ 4 รูปแบบ อันประกอบไปด้วย