“ห่าก้อม” โคตรปอบภาคอีสาน – เรื่องเล่าสยองขวัญ
วันนี้ผมมีเรื่องเกี่ยวกับ “ห่าก้อม” มาเล่าให้อ่าน
หลายคนคงสงสัย ว่ามันคืออะไร มันคือชื่อเรียกของผี
ที่ต้องบอกว่าน่ากลัวมากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ ถ้าพูดถึงผี
ทางภาคอีสานหรือภาคเหนือ ก็คงจะไม่พ้น ผีปอบ ผีกะ นี่ก็ว่าโหดแล้ว
แต่คุณรู้กันไหมว่า ภาคอีสานมีผีที่โหดยิ่งกว่ามันถูกเรียกว่า "ห่าก้อม" !!
.
ห่าก้อม คือผีที่มีวิชาสูงกว่าปอบ เพราะคนที่จะเป็น ห่าก้อม
ก็คือคนที่เป็นปอบมาก่อน แต่ด้วยวิชาตะบะ ที่แก่กล้ามาก
หรือเคยเป็นคนที่มีวิชาไสยเวทย์ขั้นสูง แล้วทำผิดครู
เหตุนี้จึงทำให้ ห่าก้อม มีอำนาจเหนือกว่าปอบทั่วๆ ไป
ยายผมท่านเล่าให้ฟัง สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า ห่าก้อม คือโคตรปอบ
เพราะว่าปอบยังแค่เข้าคน กินเลือด เนื้อดิบๆ แต่ส่วนมากจะเป็นสิ่งที่ตายแล้ว มันถึงจะกิน
ถ้าปอบที่แก่มากหน่อย ก็จะถึงขั้นหักคอคนเป็นๆ ได้
โดยที่เป็นวิญญาณไม่ได้มาเป็นตัวเป็นตน และจะมีฤทธิ์มากในตอนกลางคืน
แต่สิ่งที่ ห่าก้อม มันน่ากลัวกว่าปอบก็ตรงที่ มันกินเป็นๆ
และมันมีฤทธิ์มาก ทั้งกลางวันและกลางคืน
และไม่ต้องมาแบบวิญญาณ แต่มาแบบตัวคนเป็นๆ เลย
ยายเล่าให้ฟังว่า ถ้าใครที่จิตอ่อนหรือมีเคราะห์ดวงใกล้ถึงฆาต
ถ้ามันอยากกิน แค่มันเดินผ่านคนๆ นั้นจะลมลงตายทันที
จากคำบอกเล่าจะเห็นว่าห่าก้อมนั้นร้ายกาจกว่าปอบเป็นอย่างมาก
สมัยก่อนแถวบ้านผมไฟฟ้ายังไม่มี ( อันนี้ผมยังทันอยู่ ) ถ้าหมู่บ้านข้างๆ มีคนป่วย
คนแถวบ้านนอก ก็จะไปเยี่ยมกันทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว ไม่เหมือนคนสมัยนี้
และด้วยความที่เป็นหมู่บ้านสามัคคี เราจึงไม่มีทางรู้เลย
ว่าคนที่มาหลายๆ คนนั้นจะ มีปอบ หรือ ห่าก้อม แฝงมาด้วยไหม
โชคร้ายของลุงคนนั้นที่ป่วย เพราะหลังจาก ที่ชาวบ้านคนอื่นๆ
เขากลับกันหมดแล้ว ก็มีคนเห็นว่า มีชายแก่คนหนึ่ง
เดินขึ้นไปเยี่ยมคนป่วยบนบ้าน แต่แปลกที่แกเอาพริกเอาหอมไปด้วย
พอหยิบมือนึง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือตอนแกลงมาจากบ้าน แกก็เดินลงมาตัวเปล่า
คนที่เป็นญาติลุงพอเห็นเข้าก็เอะใจ เลยเดินขึ้นไปดูคนป่วยก็ปรากฏว่านอนตายไปแล้ว
มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดข้างๆ บ้านผมเอง อันนี้ผมเห็นเลยว่าพ่อผม นั่งคุยอยู่กับลุงข้างบ้าน
แต่จู่ๆ เหมือนมีเงาดำๆ วิ่งพรวดผ่านตรงแคร่ ที่ลุงแกนั่งอยู่ไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นลุงคนนั้นก็หงายหลังตึง ! ลงไปนอนกองกับพื้นในสภาพตัวแข็งทื่อ
พ่อผมพาแกส่งโรงพยาบาล หมอสรุปว่าหัวใจล้มเหลว
แต่บ้านหลังนี้ ก็มีคนตายเพราะปอบอีกเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ผ่านมานี่เอง
แกเป็นแม่ยายของลุงคนนั้น แกป่วยมานานแล้ว ช่วงที่แกทรุดหนัก
จะมีหมามาหอน ตรงหน้าบ้านแกทุกคืน ปกติพ่อผมจะสวดมนต์เป็นประจำ
และด้วยความที่บ้านเราอยู่ใกล้กัน ตลอดเวลาก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่มีอยู่วันหนึ่ง ที่พ่อผมไม่ได้สวดมนต์ เพราะไปธุระต่างจังหวัด และคืนนั้นเอง
ก็คือคืนสุดท้ายของชีวิตยายข้างบ้านคนนั้น อาจเป็นเพราะบารมีของบทสวด
ที่คอยปกป้องย้ายแกไว้ จนถึงวันหนึ่งที่บทสวดขาดหายไป ปอบมันเลยมาเอาชีวิตแก
สมัยเป็นเด็กผมเห็นคนในหมู่บ้านหรือคนต่างถิ่น เขาพาคนมารักษา
เรื่องพวกนี้ที่บ้านบ่อยมาก ทั้งผีเข้า เป่าหัวเด็ก ( เวลาผีไปกวนเด็กจะร้องไห้ไม่หยุด )
เป่าเพื่อไล่ผีไม่ให้มากวน ตายายผมช่วยรักษาคนที่โดนทั้งผี ทั้งปอบ โรคต่างๆ
จนวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านคอยช่วยเหลือคน แต่ก็ไม่มีใครได้สืบทอดต่อ
ตำราต่างๆ ก็หายไปไหนก็ไม่รู้ ลูกหลานไม่มีใครได้สนใจ
แต่ผมจะเล่าวาระสุดท้ายตอนที่ตากับยายจะเสียให้ฟัง
เพราะท่านทั้งสองได้ตั้งตัว เป็นอริกับของพวกนี้มานานแล้ว
เริ่มจากตาก่อน ช่วงที่ตาป่วยก่อนจะเสีย เวลานอนผมก็ไม่เข้าใจนะ
ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ ว่าทำไมต้องเอาแหจับปลามาคลุมเวลานอนด้วย
แล้วที่ผมสงสัยก็ได้เจอกับตาตัวเองจะๆ เลยทีเดียว
ช่วงเย็นๆ ชาวบ้านเขาก็จะมาเยี่ยมไข้ตา จนเวลาประมาณ 3 ทุ่ม
ทุกคนก็ทยอยกลับกันหมด วันนั้นผมนอนไม่หลับ
ที่นอนผมจะอยู่ฝั่งที่มองเห็นบันไดขึ้นบ้านพอดี
สมัยก่อนบ้านนอก ชอบเอาตู้เสื้อผ้ามากั้นเป็นห้อง
ผมมองลอดใต้ตู้ไป เห็นยายแก่ผมขาว เดินขึ้นบ้านมา
แล้วเดินไปตรงที่ตานอนอยู่ ตอนนั้นตายังนอนในมุ้ง
ยังไม่ได้เข้าไปนอนในแห ผมได้ยินเสียงคนสู้กัน น่าประหลาดที่ยายแก่นั่น
ขึ้นมาบ้านแต่ไม่รู้ว่า ลงไปตอนไหน เพราะจากที่เอะอะโวยวายกัน
ก็มีคนตื่น จึงได้ถามไถ่กัน สรุปยายแก่นั่น คือ ห่าก้อม มันจะมากินคนป่วย
( นั่นก็คือตาผมเอง ) มันยื่นมือเข้ามาในมุ้ง ดึงขาตา และตาก็เรียกยายที่นอนข้างๆ กัน
แต่ยายนอนไม่ยอมตื่น ตาป่วยก็จริงอยู่แต่ยังมีคาถาอาคม
สู้กันอยู่พักนึงก็ถีบมันออกไป แต่แปลกใจตรงที่ปอบขึ้นบ้านทางบันได
แต่ไม่รู้ลงไปทางไหน เพราะผมก็นอนเฝ้าดูตรงบันไดอยู่ตลอด
หลังจากวันนั้น ตาก็นอนในแห มาตลอดจนวาระสุดท้าย
ตอนเอาใส่โลงเขาเอาหวายใส่ไปในโลงด้วย สรุปคือ นอนในแห ก็เพื่อกันปอบ
เอาหวายใส่โลงก็เพื่อกันปอบมากินศพ
และวาระสุดท้ายของยายก็มาถึง หลังจากจบงานศพของตา
ยายก็ยังออกไปรักษาคนตามปกติ ตอนไปรักษาคนโดนผีเข้า ที่ต่างหมู่บ้าน
(โดนปอบเข้า ) ตอนขึ้นบ้านไปยังไม่ได้ทำอะไรเลย ปอบมันก็หนีออกไปซะก่อน
พอยายจะกลับกำลังจะเดินลงบันได ปอบมันถีบยายตกบันได (อันนี้ยายเล่าให้ฟังเอง)
คนแก่แค่หกล้มก็ทรุดแล้ว แต่ยายผมตกบันไดคงไม่ต้องพูดถึง
ยายผมทรุดหนัก เดินไม่ได้ ยายรู้เวลาตายของตัวเองใกล้มาถึงเต็มที
เลยแจ้งลูกหลาน ให้มาพร้อมหน้าและจากไปอย่างสงบ
อยากจะบอกว่าเก่งขนาดไหน มีของรักษาดีขนาดไหน
ก็หนีเวรกรรมไม่พ้นหรอกครับ ตาผมรักษาคนเป็นโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ มากมาย
แต่รักษาตัวเองไม่ได้ ยายผมช่วยคนเยอะแยะ
จากการโดนผีรังควาน แต่ก็มาตายเพราะผีอยู่ดี
สมัยก่อนของพวกนี้มันเยอะมาก ไฟฟ้าก็ไม่มี ถนนยังเป็นทางเกวียนอยู่เลย
ห้าโมงเย็นนี่ขึ้นบ้านนอนกันแล้ว ตอนเป็นเด็กผมชอบถาม ชอบฟัง
เวลายายเล่าเรื่องสู้กับของพวกนี้ หลายคนคงสงสัยว่าทำไมยายผมสู้กับผีได้
ยายผมเป็นหมอธรรมครับ ยายเขาเรียกว่า ครูบาธรรม (ภาษาอีสาน)
คนภาคกลาง ก็อาจจะบอกว่าหมอผี จริงๆ ก็ไม่ใช่หรอกครับ เป็นร่างทรงก็ไม่ใช่
เพราะผมไม่เคยเห็นยายถูกเข้าสักที แต่เขาจะคุยกับครูบาธรรมแบบสดๆ เลย
อยากฟังเรื่องผีอะไรก็ลองถามมาดูนะครับ ผีกระสือ กระหัง
อันนี้ผมไม่รู้จักและไม่เคยเห็น เท่าที่เคยรู้มาของที่พอจะกันของพวกนี้ได้ก็จะมี ว่านไพร
(อันนี้ผมว่าไม่ชัวร์) เพราะที่บ้านก็ปลูกรอบบ้าน แต่ปอบก็ยังเข้าบ้านได้
แต่ตาบอกว่า มันคือ ห่าก้อม อันนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไง แต่เอาไว้กับตัว อาจจะกันได้
ต้นหวาย ใบหนาด แหทอดปลา สวดมนต์ไหว้พระ บำเพ็ญศีลภาวนา
สิ่งเหล่านี้ป้องกันปอบได้ครับ เรื่องราวที่อยากจะเล่าก็มีเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ
.....