ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 7850
ที่อยู่: กทม
โพสเมื่อ: Sun Aug 06, 2017 10:19 pm
อาจารย์ ฟ้อน ดีสว่าง กับ.... " ตำนาน พระคาถาวิเศษ " .. !? สั่งสอนแม่ค้าปากดี


หลังจากที่โยมพ่อโยมแม่ ของคุณพ่ออ.ฟ้อน ดีสว่าง
จะย้ายครอบครัวไปอยู่ โพธิ์เก้าต้น ลพบุรี
หลวงพ่อปลอด สุคันธจันทร์ ได้ขอตัวหลาน
คือ คุณพ่ออาจารย์ ฟ้อนไว้ ให้อยู่ด้วย
โดยให้คุณอาจารย์ฟ้อน ท่านได้บวชเณร อยู่กับท่าน ที่วัดบ้านชุ้ง

เมื่อท่านโตเป็นหนุ่มมีอายุครบบวช อาจารย์ฟ้อน
ก็ได้บวชเป็นพระอยู่ที่วัดบ้านชุ้งนี่เอง
และได้ศึกษาพระธรรมวินัยตลอดจนถึง
เรียน เขียนอ่านภาษาไทย บาลี สันสกฤษ และขอมโบราณ
สามารถอ่านออกเขียนได้ อย่างคล่องแคล่วว่องไว
เพราะสมัยนั้นไม่ค่อยมีโรงเรียน ใช้วัดเป็นที่เรียนหนังสือ
ทุกคนต้องมาเรียนที่วัดให้พระสอนหนังสือ



และในเวลาต่อมาพระฟ้อนก็ได้เกิดอาพาธ
เป็นริดสีดวงจมูกทำให้เกิดแผลเน่า มีกลิ่นเหม็นประกอบกับ
ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เกิดหนองไหลออกมา และมีกลิ่นกระจายไปทั่ว
พระที่วัดและผู้คนที่มาทำบุญ มีความรังเกียจมากขึ้น
จะออกไปบินฑบาตรก็ไม่ค่อยได้ ท่านจึงอยากปลีกตัว
มาอยู่ลำพังไกลออกไป จากผู้คนที่เคยคุ้นเคยมาแต่ก่อน

ในที่สุดก็ตัดสินใจไปหาที่อยู่ใหม่ ที่โคกวัดร้างมีโบสถ์เก่าแก่
ที่ชำรุดทรุดโทรมมาก มีต้นโพธิ์ใหญ่ มีกิ่งก้านร่มเงาดี
และมีฐานเจดีย์ที่ยอดพังลงมา และมีพระพุทธรูปปูนปั้นองค์หนึ่ง
หน้าตักกว้างประมาณ 2 เมตร สูง 2 เมตรครึ่ง อยู่บนแท่นใบโบสถ์ร้างนั้น
กิ่งโพธิ์นั้นให้ร่มเงาปกแผ่ไปถึงพระพุทธรูป เหมาะที่จะต่อเพิง มุงสังกะสี
ไว้อยู่อาศัยพักนอนได้อย่างสบาย ท่านก็จึงกลับไป
บอกเล่าให้ญาติพี่น้องของท่าน ให้มาช่วยทำเป็นที่พักแบบเพิงหมาแหงน



มุงสังกะสีเอากระดานขึ้นมาปูพอเข้านอนอยู่ได้
ญาติก็รีบมาทำให้ ได้แล้วเสร็จในวันเดียว
แล้วพระฟ้อนก็ได้มาจำวัดอยู่ที่นี่ ถือว่าเป็นที่สัปปายะเงียบสงบ
และร่มเย็นอย่างมาก ท่านก็เริ่มฝึกนั่งสมาธิ และใช้ลานพื้นโบสถ์
เป็นที่เดินจงกลม สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ด้วยจิตใจอันสงบ
เช้าขึ้นมา ก็ออกเดินบินฑบาตร ตามบ้านใกล้อยู่แถบนั้น
มาพอฉันเช้าเวลาเดียวก็พอเพียง การปฏิบัตินั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ

และยังกำหนดจิตพุ่งตรงไปที่โพรงจมูก ที่เป็นริดสีดวง
ที่ยังมีอาการเจ็บปวด เพื่อดับเวทนาความเจ็บปวดนั้น
ด้วยการนั่งสมาธิวิปัสนากรรมฐาน อยู่ประมาณ 10 กว่าวัน
นอกจากความเจ็บหายแล้ว แผลที่เน่าเปื่อยนั้นก็ค่อยๆหายไป
คงเหลือเพียงรอยแผลเป็น กับเนื้อจมูกที่เหลือเป็นรูปสามเหลี่ยม
พระฟ้อนเองก็แปลกใจอย่างมากเช่นกัน



นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านก็ยิ่งมีจิตตั้งมั่นในสมาธิวิปัสสนา
ในคืนวันหนึ่งอากาศเกิดเปลี่ยนแปลงไปฉับพลัน
ขณะที่ท่านกำลังปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาอยู่
เป็นเหตุให้ท่านจำต้องถอนสมาธิออกมาดู
เนื่องจากขณะนั้นก็เกิดมีฝนฟ้าร้องคำรามดังขึ้น
ได้เกิดฟ้าผ่าลงมาตรงโคนต้นโพธิ์ ดังสนั่น
ท่านก็ได้มองตามไป ได้แลเห็นพะเนียง แสงไฟสีเขียวแดง
( พระเนียง = ลูกไฟ แสงจากดวงไฟ )

ท่านก็รู้สึกแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ภายหลังจากฝนหายตกแล้ว
ท่านก็นำตะเกียงตามไฟ แล้วก็เดินไปที่โคนต้นโพธิ์
แลเห็นพื้นดินเป็นโพรงลงไปใต้โคนโพธิ์นี้



จนรุ่งขึ้นจึงได้ไปตามญาติโยม มาขุดโพรงดู
พบสิงห์โตกระบื้องเคลือบสีครามอมเขียว ตัวขนาดใหญ่พอสมควร
ญาติโยมเมื่อทำความสะอาดแล้ว จึงได้ลากมาวางไว้ข้างเพิง
ตรงที่ปฏิบัติธรรมของท่าน คืนนั้นจึงเกิดฟ้าผ่าลงและเกิดไฟพะเนียง
ที่สิงห์โตอีกครั้งนึง พระฟ้อน ท่านจึงได้ตรวจค้นสิงห์โตอีกครั้ง
จึงพบช่องลับ ภายในบรรจุแผ่นศิลา จารึก พระคัมภีร์พระเวทย์วิเศษสุด
จำนวน14 แผ่น แต่ละแผ่นหนาประมาณ1 นิ้ว กว้างประมาณฝ่ามือคน
ยาวสองคืบเศษ เท่ากันทุกแผ่น พระฟ้อนท่านได้เคยศึกษา
ทั้งภาษาขอม และภาษาไทย ท่านจึงแปลภาษาขอม
แล้ว มาถอดเขียนเป็นภาษาไทย เพื่อง่ายต่อการทบทวน

พระฟ้อนท่านมีความรู้สึกดีใจ และปลื้มใจเป็นอย่างมาก
ที่เทพยดา ผู้เฝ้าดูแลตำราศิลานี้ และครูบาอาจารย์
เจ้าของตำราพระเวทย์ ได้ประทานพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์มาให้ท่าน
พระฟ้อนท่านก็จึงได้ยกแผ่นหินทั้ง 14 แผ่น นำมาเรียงไว้บนหัวนอน
แล้วท่องจำอยุ่ 7 วัน 7 คืน ท่านจำได้หมด
ไม่ได้มีความขาดตกบกพร่อง เลยแม้แต่ตัวเดียว



หลังจากนั้น ท่านก็บรรจุแผ่นศิลาคืนกลับในตัวสิงห์โต ไว้อย่างเดิม
จากนั้น ท่านก็เรียกญาติโยม เอาเชือกผูกสิงโตหินนั้น
แล้วก็ช่วยกันลาก ส่งลงไปถึงด้านในโพรงที่โคนต้นโพธิ์
แล้วกลบดิน โดยมิได้บอกเล่าเรื่องนี้แก่ใคร

หลังจากนั้น พระฟ้อนก็มานั่งพักอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์ร้างนั้น
คิดว่าว่าจะปฏิบัติต่อไปอย่างไร ท่านหวลคิดทบทวน บทคาถานั้นอยู่
ท่านก็คิดขึ้นมาว่า จะใช้คาถาบทที่ 1 คือ เรียกงู และ ผูกปากงูนำมาใช้ก่อน
เพราะใต้ฐานเจดีย์ร้างที่ยอดเจดีย์ที่หักพัง ลงมากองอยู่บนพื้นดินนั้น
ท่านเคยเห็นมีงูเห่าเข้าออกอาศัยอยู่หลายตัว
แล้วพระฟ้อนก็เดินมาที่ฐานเจดีย์นั้น แล้วบริกรรมคาถา
แล้วกวัก เรียกงูเห่าให้ออกมาหา แล้วท่านก็เห็นงูเห่าเลื้อยออกมา
จากใต้ฐานเจดีย์ ถึงหกตัว ท่านก็เกิดความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ว่าคาถาอาคมนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง



แล้วท่านก็เอามือขวา กวักมือให้งูเข้ามาใกล้ๆ
โดยใช้คาถาบทที่ 1 นั้นอีก งูเห่าทั้ง 6 ตัว ก็เลื้ยงมานอนเรียงกัน เป็นแถว
แล้วชูหัวแผ่แม่เบี้ย แลบลิ้นและส่ายหัวอยู่ไปมา
แล้วพระฟ้อน ก็บริกรรมคาถาผูกปาก งูเห่าทั้งหกตัว
แล้วชี้นิ้วไปที่งูเห่าทั้งหกตัว ทันใดนั้นงูเห่าทั้งหมด
ปากก็ปิดหยุดแลบลิ้น และหยุดแผ่แม่เบี้ยลงทันที
และลดหัวต่ำลงพื้นตามเดิม แล้วทุกตัวก็นอนสงบนิ่ง
จากนั้นท่านก็ยืนคิดว่าจะปฏิบัติอย่างไร กับงูเห่าทั้งหกตัวนี้
และพระฟ้อนก็ใช้คาถาบทที่ 1 แล้วท่านก็กวักมือเรียกงูทั้งหมดหกตัวนี้ไปที่พัก
พวกมันก็เลื้อยตามท่านไป พอท่านได้นั่งลง พวกมันก็หยุดนิ่ง
ท่านกวักมือ ให้มันเข้าไปเข้าแถวอยู่ใกล้ท่าน
แล้วมันก็เลื้อยไปหาตามสั่ง ท่านใช้มือสั่งให้มันขด
เป็นวงกลมตามมือที่หมุน มันก็หมุนเป็นวงกลมให้ดู
แล้วพวกมันก็ทำตาม บางตัวก็เอาหัวพาดลำตัวพักนอนเงียบนิ่ง



แล้วพระฟ้อนก็นั่งพักผ่อนดื่มน้ำ สูบบุหรี่และคิดว่า
จะให้งูทำอะไรต่อ นั่งพักอยู่แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า ใกล้จะค่ำแล้ว
จะสั่งให้มันชูหัวขึ้นคำนับ 3 ครั้ง แล้วจะให้มันกลับไป
ที่อยู่ของพวกมันใต้ฐานเจดีย์ แล้วท่านก็โบกมือสั่ง งูเห่าทั้ง 6 ตัว
ก็ตื่นขึ้นชูหัวสูงขึ้น คำนับสามที แล้วพระฟ้อนก็บอกให้มันกลับไป
มันก็กลับไปตามคำสั่งของท่านทันที หลังจากนั้น
ชาวบ้านได้เริ่มรู้ข่าว ว่าพระฟ้อน หายอาพาธดีแล้ว
จึงได้นิมนต์ท่านกลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านชุ้งต่อไป...!!


ยังมีอีกเรื่อง เกี่ยวกับ บทคาถา ขอบอาจารย์ฟ้อน



ครั้งหนึ่ง อาจารย์ฟ้อน ท่านเดินทาง ทางเรือ โดยมีลูกศิษย์
พายหัวเรือกับท้ายเรือ ส่วนท่านนั่งตอนกลางเรือ
ซึ่งเป็นเรือมีประทุนหลังคา ระหว่างกำลังพายเรืออยู่ กลางแม่น้ำ

ได้ยินเสียงแม่ค้าร้องขายขนมหวาน ท่านเกิดอยากทานขนมหวาน
ท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์เรียกแม่ค้า เพื่อเทียบเรือ
ท่านจึงร้องถามอยู่ในประทุนเรือว่า "แม่ค้ามีขนมอะไรบ้างจ๊ะ"
พูดพลางท่านก็ชะโงกหน้าออกมามอง แม่ค้าไม่ทันมองหน้า
ท่านจึงตอบว่า " มีหลายอย่างจะ "

แต่พอ แม่ค้าเห็นหน้าท่าน(เห็นจมูก) จึงพูดว่า
"แหมหน้าตาช่างอัปลักษณ์ ทำพูดเพราะ "
(เนื่องจากอาจารย์ฟ้อนมีลักษณะปากแหว่ง
จมูกโหว่จากโรคริดสีดวงจมูกตั้งแต่วัยเยาว์ )

ลูกศิษย์ท่านได้ยินได้ฟังก็ไม่ค่อยพอใจ เหมือนท่านรู้
ท่านยกมือเชิงปราม แล้วหันไปพูดกับแม่ค้าด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

"เป็นแม่ค้าขายของอย่าปากไวกับลูกค้า วันนี้เอ็งไม่ต้องขายแล้ว
ตามไปเป็นเมียข้าเถิด ข้าไม่กินแล้วขนมเอ็ง "



ท่านพูดเสร็จ ก็หันมาสั่งให้ออกเรือ เดินทางกันต่อ
พายกันสองฝีพาย จนพลบค่ำ ท่านให้จอดเรือพักที่วัดๆหนึ่ง
เพื่อขึ้นไปพักค้างแรม ด้านบนวัด ส่วนลูกศิษย์นอนเฝ้าเรือคนหนึ่ง

พอรุ่งสาง ลูกศิษย์ที่เฝ้าเรือ วิ่งขึ้นไปหาท่าน แล้วเรียนว่า
"อาจารย์ครับแม่ค้าขนมหวานที่พบเมื่อสายวานนี้ พายเรือตามมา
แต่เมื่อไรไม่รู้ ผูกเรือเทียบกับเรือเรา อยู่ที่ท่าน้ำครับ"

ละล่ำละลักเล่าต่ออีกว่า
"ผมถามเขาว่าตามมาทำไมเขาก็ไม่ตอบ แต่ขนมบูดเต็มหม้อเลย
คงไม่ได้ขายเลย คงพายตามหาเรามาทั้งวัน
คงมาถึงตอนดึก ผมเองคงเหนื่อย หลับไปก่อนแล้ว"

ท่านจึงหันหน้าไปหา ศิษย์อีกคนที่อยู่ด้วย แล้วพูดว่า
"อ้าว !! เราลืมไปเลย ท่านสวดบทถอน แล้วกวักน้ำใส่หัวเรือ
แล้วใสเรือเขาให้กลับไปซ๊ะ ป่านนี้คนที่บ้านคงห่วงกันแย่แล้ว"

จากนั้นท่านก็พูดเชิงพรำบ่น
"กะว่าจะแกล้งดัดนิสัย ให้พายตามสักชั่วโมงสองชั่วโมง
คงพายตามพวกเอ็งไม่ทัน เราเลยไม่เห็น ทำให้พากันลืม น่าสงสาร "

..............



อาจารย์ฟ้อน ท่านเป็นคนมีเมตตา กรุณา ต่อผู้อื่นมากๆ
แต่ที่ว่ากันว่าท่านมีเมียมาก เพราะเหตุทำนองนี้
คือหากใครดูถูกท่าน มักจะถูกดัดนิสัยให้ได้อาย จะได้เข็ดหลาบ
ท่านไม่ได้เอามาเป็นภรรยาจริงๆ แต่ลูกศิษย์มักพูดเย้าเล่นกันว่า
วันนี้ไปที่นั่นมา ที่นี่มา อาจารย์ได้เมียมาอีกคนหนึ่ง
หรือสองคนแล้ว ลูกศิษย์มักมาคุยกัน แล้วนำมานับรวมเล่นๆ พูดกันไปเรื่อย
ว่าถ้าท่านจะเอาเป็นเมีย ก็คงเกินร้อยไปเลย จนกลายเป็นสมญานาม
ของท่านแบบกลายๆ ไปโดยปริยาย.
........