มิโลวาน ราเยวัช กุนซือเซอร์เบียวัย 63 ปีกลายเป็นกุนซือคนใหม่ของทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ไปเรียบร้อยแล้วหลัง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ข้อสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการไปสดๆร้อนๆ

ชื่อของ “ราเยวัช” ไม่ใช่ธรรมดา ดีกรีเคยคุมทีม “ดาวดำ” กานา ผ่านเข้าถึง ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 8 ทีมสุดท้ายมาแล้ว ดังนั้นข่าวการมาคุมทีม “ช้างศึก” ของโค้ชเซอร์เบียคนนี้จึงเป็นประเด็นดังที่หลายสื่อตีข่าวไปทั่วโลก

แต่ “ราเยวัช” จะเป็นประเภท “ดังแต่ท่อ” หรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้ในนาทีนี้ ทุกอย่างต้องพิสูจน์กันที่ผลงานอย่างที่ว่ากันว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” เวลาซื้อหวยก็ไม่รู้หรอกว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ !!!

ที่บอกได้คือการเลือกกุนซือรายนี้เข้ามาคุมทีมชาติไทยถือเป็นการคัดสรรที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ น่าจะได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วและเป็นการเลือกเองเพราะ “ราเยวัช” ไม่น่าจะเป็นโค้ชที่มาจาก “คอนเนคชั่น” ของใครเป็นพิเศษ

การมาของ “ราเยวัช” เป็นสีสันและวิธีการใหม่ที่ฟุตบอลไทยไม่เคยเจอเลยด้วยซ้ำ นับตั้งแต่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ลาออกไป สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ถึงขั้น “หัวกระไดไม่แห้ง” บุคลากรลูกหนังทั้งโค้ชและเอเยนต์แวะมาเยี่ยมเยือนเกือบจะทุกวัน

รายชื่อผู้ฝึกสอนระดับโลกหลายต่อหลายรายถูกนำเสนอส่งให้พิจารณา รวมถึงกุนซือหลายคนที่ตัดสินใจเดินทางมาพรีเซนต์ตัวเองที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เพื่อหวังจะได้เป็นเฮดโค้ชคนใหม่ของ “ช้างศึก”

สื่อมวลชนและแฟนบอลลุ้นกันแทบทุกวันว่าจะใครจะเข้าป้ายได้ทำงาน ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย เพราะก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่รู้กันอีกที “ช้างศึก” ก็ประกาศตัวโค้ชคนใหม่แล้ว หรือถ้ามีลุ้นก็แค่ไม่กี่ราย แต่นี่ลุ้นกันต่อเนื่องว่าจะเป็นใคร

เบื้องหน้าที่เห็นเป็นอย่างนี้ แต่เบื้องหลังการถ่ายทำข่าวว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว โดยเฉพาะพวกเอเยนต์ต่างงัดยุทธวิธีมาสู้กันแบบสารพัด กระบวนการ “ดิสเครดิต” เป็นสิ่งที่หลายคนยืนยันว่ามีการกระทำจริงๆ ว่ากันว่าถึงขั้น “จ้างเขียนด่า” เลยก็มี !!!

แต่ที่สุดแล้ว สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้ตัดสินใจที่จะเลือก “ราเยวัช” เข้ามาทำทีม ด้วยเหตุผลที่ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานพัฒนาเทคนิคชี้แจงว่าประสบการณ์สูง จิตวิทยาดี แนวทางตรงกัน และประทับใจที่ไปดูไทยลีกตั้งแต่ยังไม่ได้ถูกเลือกทำงาน

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่กุนซือเซอร์เบียชนะใจคือ “ทีมงาน” ที่ “โค้ชเฮง” บอกว่าดีกว่าคนที่เสนอตัวมาคุมทีมชาติไทยรายอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ “ราเยวัช” จึงมีสตาฟฟ์มาด้วยอีก 3 คนคือโค้ชผู้รักษาประตู โค้ชฟิตเนส และผู้ช่วยโค้ช

แต่การเซ็นสัญญาไม่ได้ทำแบบเหมายกแพ็คหรือเซ็นกับ “ราเยวัช” คนเดียวแล้วให้ไปแบ่งกันกับทีมงานเอาเอง แต่เซ็นสัญญาแบบแยกรายคน ทั้ง 4 คนเซ็นสัญญาแยกกันชัดเจน ทุกคนคือลูกจ้างของ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

ส่วนสนนราคาค่าจ้าง “เรยาวัช” และทีมงานไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่เท่าที่สืบมาได้ความว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าการจ้างทีมงานผู้ฝึกสอนชุดเก่าแน่นอน เพราะต้องมีทั้งค่าทีพัก ค่าเครื่องบิน ค่ารถ แต่รวมๆแล้วเป็นตัวเลขที่ไม่สูงเกินไป

ตรงนี้จะว่าไปแล้วจะถูกหรือแพงคงต้องอยู่ที่ผลงานและการทำงาน หาก “ราเยวัช” ทำได้ตามเป้าหรือทะลุเป้ากว่าที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ วางไว้ต้องถือว่าไม่แพง ดังนั้นคงจะบอกตอนนี้อีกไม่ได้เหมือนกันว่าจะคุ้มค่า คุ้มราคาหรือไม่

อย่างไรก็ดีหากดูจะองค์ประกอบต่างๆแล้วส่วนตัวยังเชื่อว่าการเข้ามาของ “ราเยวัช” น่าจะเป็นทิศทางที่ดี กุนซือเซอร์เบียรายนี้ถึงจะอายุ 63 ปีแล้วแต่ไฟยังแรง เริ่มต้นทำการบ้านและเตรียมการทำงานเพื่อทีมชาติไทยแบบเต็มที่

“ราเยวัช” ขอโปรแกรมไทยลีกไปดูและวางแผนงานไว้เรียบร้อยแล้ว กำหนดการคือเดินทางถึงไทยวันที่ 4 พ.ค. จากนั้นวันที่ 6-7 พ.ค.มีข่าวว่าจะไปดูเกมทันที เริ่มจากคู่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พบ ราชนาวี แล้วต่อด้วย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจอ ราชบุรี มิตรผล

ตามแผน “ราเยวัช” มีเวลาราว 1 เดือนดูตัวผู้เล่นเพื่อประเดิมคุมทีมนัดแรกวันที่ 6 มิ.ย.ด้วยการออกไปเยือน อุซเบกิสถาน ในเกมอุ่นเครื่อง จากนั้นจะกลับมาเตะ ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย เกมที่ 8 กับ ยูเออี วันที่ 13 มิ.ย.

แม้จะมีเวลาดูฟอร์มนักเตะไม่มากแต่ “ราเยวัช” คงไม่ถึงขั้น “หูหนวกตาบอด” เพราะคนลูกหนังเซอร์เบียหรือพวกจากชาติยูโกสลาเวียเก่าในไทยตอนนี้มีเยอะมากทั้งโค้ชและผู้เล่น แม้กระทั่งลูกทีมเก่าอย่าง โดมินิค อาดีเยียร์ ก็เล่นอยู่ในลีกไทยมาเป็นปีแล้ว

ดังนั้น “ราเยวัช” น่าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ทำการบ้านไว้ให้ได้เยอะทีเดียว แต่โฉมหน้าค่าตาของ “ช้างศึก” ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่จะเป็นอย่างไรคงต้องลุ้นกันต่อไป

ที่แน่ๆสถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับ “เซตซีโร่” เริ่มต้นกันใหม่หมดละครับ นักเตะทุกคนที่เป็นคนไทยมีโอกาสติดทีมชาติไทยได้เท่ากันทุกๆคนแบบไม่ต้องมีข้อแม้หรือข้ออ้างอะไรเยอะแยะมากมาย

แต่ “ราเยวัช” จะทำทีมได้ถูกใจแฟนบอลไทยมากขนาดไหนรอลุ้นกันต่อไปนะครับพี่น้อง เอาเป็นว่าตอนนี้ขอแค่กล่าวคำว่า “เวลคัม ทู ไทยแลนด์” ก่อนก็แล้วกัน

“บับเบิ้ล”

เอาใจช่วยนะครับ โค้ชเรวัช

ที่ผ่านมาก็มีกุนซือดังๆ มาคุมหลายคนนะ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก ต้องพัฒนาที่ตัวนักเตะก่อนเลย เรื่องพละกำลังและควาามฟิต

อ่านบทความแล้วรู้สึก hype ว่ะ เคยพากาน่าไปquarter finalมานะโว้ย คนไทยตั้งใจซ้อม ตั้งใจทำงาน +กับโค้ชคนนี้ มันต้องได้ไปบ้างสิวะบอลโลก ไหนจะมีโอกาสขยายจำนวนทีมเพิ่มอีก

นักเตะไทย..มีความสามารถเฉพาะตัวดี แม้ตัวไม่ใหญ่มาก แต่หากมีรูปแบบการเล่นที่ดีๆหลากหลายและเหมาะสมน่าจะสู้กับระดับเอเซียได้ดีกว่าเดิม

โค้ชฟิตเนสนี่สำคัญเลย เชื่อว่าจะเข้ามาพัฒนาเรื่องสภาพร่างกายให้ชนกับพวกรูปร่างใหญ่ๆได้สนุก

ลุ้นๆหน้าตานักเตะหน้าใหม่หน้าเก่า ใครจะมาใครจะไป..แค่นี้ก็สนุกล่่ะ

ค่าจ้างเห็นพี่ทอมบอกว่าได้พอๆกับซิโก้ แต่มีพวกค่าที่พักค่าเดินทางค่ารถพาหนะ รวมๆแล้วเดือนก็เกือบ 3 ล้านได้ แต่ก็ถือว่าไม่แพง ถูกกว่าสมัย ปีเตอร์ รีด และ ร็อบสัน แต่ครั้งนั้นบังยีมีสปอนเซอร์อุ้ม ไม่รู้ของสมยศจะหาสปอนเซอร์มาช่วยแชร์ด้วยไหม

ในส่วนแผนการเล่นคงต้องรอดู แต่เรื่องตัวผู้เล่นนี่น่าคาดหวัง อย่างน้อยๆในเรื่องกองหลังก็ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่มาก เชื่อว่าคงถูกใจแฟนบอลหลายคนมากกว่าโค้ชคนเก่าที่ชอบเอาเจ้าตั้มไปยืนเซ็นเตอร์อยู่ร่ำไป(หวังว่านะ)

ค่าเครื่องเบิน 555555

ต้องปรึกษา Mark Clattenberg

รอชมผลงาน

พวกรอซ้ำ โดยเฉพาะ สยองกาลี พลาดมาเละแน่ลุงเย

เดินหน้าไปครับ เชียร์ทีมชาติไทยเป็นเบอร์หนึ่งในดวงใจอยู่แล้ว

เอาใจช่วยคับ
นักเตะและทีมงานของไทยก็ควรจริงจังให้มาก ๆ ด้วย เรียนรู้จากเขาให้เยอะ ๆ จะได้คุ้มค่าจ้าง[/instagram]

นายกสมเย กุนซือราเย
เหมาะสมกันดีครับ

คาดหวังว่า ทีมชาติคงจะมีพัฒนาการในการเล่นที่ดีขึ้นกว่าเดิม สู้ ๆ ครับ

ยินดีต้อนรับ