ย้อนไปก่อนหน้าเล็กน้อย หากมีใครสักคนบอกว่า รอย แคร์โรลล์, มิเกล ซิลแวสต์, จอห์น โอเชีย, ดาเรน เฟลชเชอร์ แม้กระทั่ง เคียแรน ริชาร์ดสัน หรือเหล่าจตุรเทพที่แฟนๆ ล้อนักล้อหนา จะพาทีมได้แชมป์ลีค และถ้วยยุโรปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

หากโลกนี้ไม่มีป๋า ทุกคนคงคิดว่ามันเป็นมุกตลกมุกนึง

แต่เฟอร์กี้ทำได้ เขาได้ปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งแชมป์ให้นักเตะที่ดูไม่ได้มีอะไรให้ดูพิเศษได้ เมื่อรวมกับแทคติค และการจัดการทีมระดับเทพแล้ว แชมป์จะไปไหน

ย้อนกลับมาที่แอนฟิลด์ ปีนี้ลิเวอร์พูลของเยอร์เก้น คลอปป์มีโอกาสคว้าโทรฟี่สักใบสูงมาก

...เหตุผลเพราะคลอปป์เองนั่นแหละ



หากเราไม่หลอกตัวเองจะรู้ว่าในอดีตช่วงหลัง พลพรรคหงส์แดงยังต้องการประสิทธิภาพในเชิงลึกอีกเล็กน้อย ที่จะทำให้ทีมท้าชิงแชมป์ได้อย่างสง่าผ่าเผย

ประสิทธิภาพที่ว่างั้นมันรวมระหว่าง กึ๋นของผู้จัดการทีม คุณภาพผู้เล่น และจิตวิญญาณแชมเปี้ยนของเหล่านักเตะเอง

นักเตะหงส์แดงทุกคนมักพูดว่า "พวกเขาคิดว่าเขาทำมันได้ เขาคว้าแชมป์ได้ เขาพร้อมแล้วสำหรับการชิงแชมป์" แต่ลึกๆลงไปในใจแล้ว ผมรู้ว่าเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างอย่างจริงใจว่าเขายังต้องทำอะไรอีกมาก เพื่อจะให้อยู่ในจุดนั่น

นักเตะลิเวอร์พูลมักมีปัญหาเสมอๆ เจอทีมเก่ง พวกเขาต่อกรได้อย่างสนุก หากแต่เจอทีมอ่อนชั้นกว่า พวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าเขายังมีความเป็นเพชรฆาตไม่มากพอ บางเกมเขาทำแต้มหล่นแบบน่าเสียดายเพราะความผิดพลาดบางอย่างเสมอๆ

แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อยอดทีมแห่งเมอร์ซีไซด์ได้กุนซือโรคจิต บ้าคลั่ง และทำทุกอย่างเพื่อทีมอย่างคลอปป์เข้ามาดูแล

ช่วงแรกๆนั่น มรดกตกทอดจากผู้จัดการคนเก่าที่เหลือ และการถ่ายทอดปรัชญาของเขายังคงตะกุกตะกัก และนักเตะหลายคนดูเหนื่อยล้ามากในแต่ละเกม

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อคลอปป์ได้สร้างอาณาจักรของเขา และปรัชญาต่างๆเริ่มเห็นผลเป็นรูปเป็นร่าง คำถามที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันนั่นคือ เครื่องจักรสีแดงกำลังจะกลับมาหรือเปล่า?

มันคงเร็วเกินไป หากบอกว่าลิเวอร์จะได้แชมป์ในปีนี้ และก็ยังเร็วไปที่แห่แชมป์ลีคเหมือนบางประเทศทำกัน

ดูเหมือนมันจะเป็นดั่งฝันเฟื่องขาดสติ แต่ทุกคนมีสิทธิ์ฝัน และปีนี้ลิเวอร์พูลเองก็ฝันว่าแชมป์ลีคที่มองหามานาน จะได้กลับมาสู่อ้อมกอดของพวกเขาบ้าง



สิ่งที่คลอปป์นำมาสวมหัวลูกทีมแต่ละคน ความสำคัญไม่ใช่เกเก้น เพรสซิ่ง ไม่ใช่นักเตะใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ หรือโกล์ที่หล่อเหมือนพระเอก แต่คือความเป็นแชมเปี้ยน ความกระหาย และความต้องการให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบต่างหาก คลอปป์ไม่เคยพอใจกับอะไรที่ทีมทำได้ เขาต้องการมันมากขึ้นเสมอๆ เขาผลักดันขีดจำกัดของลูกทีมแต่ละคน ดึงความเชื่อมั่นที่แอบซ่อนอยู่ลึกๆให้แสดงตัวออกมา

สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีค่า เป็นสิ่งที่เดอะ ค็อปทุกคนมองหามันจากผู้จัดการทีมคนไหนสักคน

ทุกวันนี้ลิเวอร์พูลมีความกระหาย พวกเขาวิ่งไล่บอลอย่างบ้าคลั่ง ชอบเอาชนะ ไม่เกรงกลัวที่เปิดเกมรุกใส่ใคร ไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม

นี่คืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะใหม่มากสำหรับทุกคน แต่คลอปป์ก็ทำมันได้สำเร็จ

แม้อาจจะไม่ใช่วันนี้ ปีนี้ ที่จะกล้าพูดแบบนั้น แต่ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วในใจของ The Kop ทุกคนในตอนนี้คงตะโกนบอกว่า การรอคอยที่แสนยาวนานมันจะได้จบลงสักที

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล.เหมือนโม้ๆ แต่เป็นสีสันของการเขียนบทความเนอะ อย่าเพิ่งหาว่าอวยกันล่ะ

ปีนี้ผมว่ายังไม่เท่าไหร่ ปีหน้าน่าจะลงตัวกว่านี้

วิ่งกันระห่ำมาก เมื่อคืน ครึ่งหลังตะคริวขึ้นกันเต็ม

เมื่อคืนผมเห็น ลิเวอร์พูล เพรสซิ่งกันจนนักเตะเป็นตะคริว
ช่วงแรกๆอาจจะดีก็จิง..ไล่บี้คู่แข่ง หลังๆอาจจะเป็นผลเสียก็ได้
นักเตะอาจจะกรอบหมด

ไม่มีเกมส์ยุโรปไง

มูจ๋า ว่าไงเอ่ย

มู้ดี ๆ แบบนี้ แต่ดันมีพวกชอบแขวะไม่รู้เวล่ำเวลา โดยไม่เกี่ยวกับเนื้อหากระทู้เลย มาทำให้เสียบรรยากาศ

เฮ้อ เซ็งแทน ขจม.

ใครเรียก มู เอ่ย..
มู ตอบกลับว่า พรีเมียร์น่ะฉันไม่รู้ รู้แต่ไม่ใช่ฉันคนนี้หรอ ที่ทำทีมแกได้แชมป์ลา ลีกา น่ะ คริๆ จนฉันจากมา 4 ปี ก็ยังไม่เห็นได้เลย
ผ่าง ผ่าง นาจา นาจา

เสริมกองหน้าดีๆอีกตัวก็โหดแล้ว

ส่วนตัวผมนะ

คือผมมองว่าปัญหาเกมส์รับยังแก้ไขไม่หายขาด การเสียประตูง่ายๆ(และอาจจะเรียกว่าโง่ๆด้วยซ้ำ)จากลูกเซทพีซ (เช่นเกมส์กับฮัลล์) ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง เหมือนพร้อมจะโดนทุกครั้ง

เตะมุม ฟรีคิก เปิดจากริมเส้น เป็นปัญหาคลาสสิคของทีม

แม้ว่าจะได้กองหลังรูปร่างสูงเข้ามาเพื่อการนี้ แต่กลายเป็นความผิดพลาดในการยืนตำแหน่ง หรือการออกมาตัดบอลของผู้รักษาประตูที่ก่อให้เกิดความเสียหาย (ซะอย่างนั้น)

รวมถึงการเจาะทีมที่ตั้งใจมาเล่นเกมส์รับไม่ได้ อย่างเมื่อคืน เจอการวางหมากรับ 2 ชั้น

นักเตะอย่างมาเนโดนตัดออกไป ไม่มีพื้นที่เล่น สเตอร์ริดจ์โดดเดี่ยว เล่นบอลไม่ได้เลย การบีบพื้นที่เร็วทำให้ขึ้นเกมส์ ปั้นเกมส์จากกลางได้น้อยมาก ฯลฯ

ทั้งหมดทั้งมวล ผมเลยมองว่า หงส์ยังค่อนข้างจะห่างไกลกับคำว่าลุ้นแชมป์ แม้จะผ่านมาแค่ 8 นัด

แต่ถ้าปัญหาเกมส์รับ (ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากๆ) ถูกแก้ไขอย่างจริงจังและสัมมฤทธิ์ผล เมื่อนั้นจะเรียกได้เต็มปากว่าได้ลุ้นกับชาวบ้านเค้าอีกสักรอบครับ

โอกาสมีอยู่นะ

เหมือนเครื่องจักรได้จาระบีมาหยอดครับ แรกๆอาจค่อยๆเคลื่อนตัว อีกสักพักคงทำงานได้เต็มที่ ผมเป็นแฟนแมนยู สิ่งที่ยังขาดไปคือตัวสำรองที่ทดแทนกันได้กับตัวจริงครับ ถ้าตัวรุกหลักๆเจ็บไปนี่ไม่รู้ว่าจะเป็นไง ส่วนเรื่องพละกำลังในช่วงท้ายๆ ผมว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะทีมมีพลังหนุ่มแถมไม่มีบอลยุโรปด้วย เจอกันคราวหน้าที่โอลแทรฟฟอรอด หวังว่าจะเข้าฝักทั้งคู่ครับ เมื่อคืนแข่งกันด้านแทคติกเยอะมาก

อวยได้แต่อย่าโคมละกัน

บทความมีกลิ่นไอสำนวนเหมือน บอบู๋ แต่เป็นบอบู๋เวอร์ชั่นสุภาพอ่ะ

ปีนี้ขอติด ท๊อป 4 พอ ขอกลับ UCl จะได้ดึงตัวดีๆมาได้บ้าง

ถึงว่าคลอปไม่สนใจพวก บิ๊กเนม แกคงคิดว่าคนที่จะเข้าแผนส่วนหนึ่งต้องยอมรับแนวความคิดแกให้ได้ก่อน เป้นหลัก

ถัดมาก็ต้องเป็นพวกที่มีความฟิต อายุน้อยพอสมควร ประวัติการบาดเจ็บไม่รุนแรง

ถัดมาก็ต้องเป็นพวกสกิลที่แกต้องการ อย่างเช่นมาเน่ ก็มีสกิลในการกระชากป่วน วิ่งส่ายสลับตลอดเวลา จีจี๊ ก็ต้องวิ่ง รับถ่ายบอลในแดนหน้าให้ไว ไม่ต้องมีสกิลเลี้ยงแบบเทพ เอาแค่พอเอาตัวรอดเสียบอลยากก็พอ

ที่เหลือถือว่าโชคดีที่ของเก่าเข้าใจความคิดแกและสามารถปรับเปลี่ยนความคิดตามได้เช่น ลัลลานา ลอฟเลน คูตี๊ มิลเนอร์ เฮนเดอร์สัน และคนอื่นๆ ไม่ต้องล้างบางทั้งทีม เสียเวลาประกอบทีมใหม่ ตรงนี้สำคัญมาก

ส่วนพวกคาแรคเตอร์สตาร์ อยู่ยาก บาโล แทบไม่ต้องคุยกัน หริดนี่น่าเป็นห่วง

แต่ในส่วนที่แกใช้จิตวิทยายังไงในการปลุกระดมนักเตะ อันนี้ถือเป็นพรสวรรค์ที่แตกต่างจากคนอื่นของแกละกัน


ี

เมื่อวานไม่มีไวนาลดุมกับลัลลาน่า เห็นผลเลยนะครับ

ชานยังไม่เข้ากับแทคติคเท่าที่ควร อตนนี้น่าจะกำลังปรับตัวอยุ่

คล้อปน่าจะมองเห็นรูปเกมส์ที่จะต้องปรับแทคติคเวลาเจอเกมรับสองชั้นแล้วนะครับ

JK เคยกระตุ้นเสือเหลืองกัดเสือใต้จมเขี้ยวมาแล้ว

ถ้าจะทำหงส์ชูถ้วย คงต้องจิกหอย จิกซากศพ จิกใบเรือ ตีไก่ และขี้ใส่ปากกระบอกปืน 555

อ้าว ทีมเซาท์ฯได้แชมป์นี่หว่า เด็กเก่ามันทั้งนั้น

ระบบเพรซซิ่ง เหมือนจะเป็นระบบที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีมากกว่าจากทีมอื่นตอนนี้
เห็นได้ชัดจากนัดเจอสวอนซี สวอนซีพยายามเลียนแบบการเพรซซิ่งในครึ่งแรกของเกมนั้น
ซึ่งสวอนซีก็ทำได้ดีและเป็นที่มาของประตูแรกด้วย แต่สังเกตไหมว่า 35 นาทีเป็นต้นไปสวอนซีหมดแรง!!
ก็เพราะไม่ได้ซ้อมมาแบบนั้นไง
เหมือนเกมแมนยู แมนยูพยายามเพรซซิ่ง แต่พอครึ่งหลังปุ๊บ ไม่เพรซเลย
หมดแรงหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ไม่ได้ซ้อมเพรซซิ่งหนักแบบลิเวอร์แน่นอน
ต้องรอดูต่อไปว่าลิเวอร์จะทำสำเร็จป่าว แฟนบอลส่วนใหญ่ก็อยากได้แชมป์หมดแหละ
แต่ในบอร์ดนี้เรื่องการโม้มันโดนจับตาทุกทีมอยู่แล้ว

ใช่เลย มีส่วนเลยหละ เล่นได้สบายพัก 7 วันเต็ม

คล๊อป ก็คงมองจุดนี้แล้ว ทำยังไงให้ได้เปรียบ

แสดงความเห็นดี ๆ จะเป็นไข้หวัดหรือครับ