[ลูกหนังกับมาสเตอร์] ย้อนร้อยอริตลอดกาล "ปืน-ไก่" :ต้นเหตุแห่ง 'นอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้'
โดย : มาสเตอร์ ริท
สำหรับบางคนแล้วฟุตบอลเป็นยิ่งกว่าชีวิต ..กับบางคนลูกหนังอาจไม่ต่างกับลมหายใจ ทว่าหากเอ่ยถึง "นอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้" เชื่อว่าความหมายของลูกกลมกลม ย่อมลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ..
เพราะ นี่คือ สมรภูมิรบที่ไม่ต่างกับ "ความเป็น-ความตาย" !
ค่ำวันเสาร์นี้แล้วที่ศึก "นอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้" ครั้งที่ 183 จะระเบิดเพลงแข้งขึ้น เสียงตะโกน "You know what you are..You're Shit !" เตรียมกลับมาก้องกังวาลในโสตประสาทอีกครั้ง ทว่าก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น ก่อนที่สงครามจะบังเกิด เชื่อเหลือเกินครับว่า มีน้อยคนที่จะล่วงรู้ถึงความเป็นมา ..
วันนี้เราจะมาย้อนท้าวความหลังกันถึงมูลเหตุของ "คู่ปรับตลอดกาล" ในสังเวียนแดนผู้ดีที่โลกไม่มีวันลืม ... ว่ากันว่า นี่ถือเป็น "ความบัดซบ" ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล ..
มาเชิญรับชมกับซีรีส์นี้เพื่ออรรถรสในการรับชมเกมวันรุ่งขึ้นกันได้ครับ ..แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมคู่รักคู่แค้นนี้ ...
"ถึงเกลียดกันยิ่งกว่าขี้"
*********************************
'วันวานที่หอมหวาน'
ย้อนกลับไปในยุคที่โลกยังไร้อินเตอร์เน็ต กระทั่งรถฟอร์ดคันงามยังเป็นแค่เศษอลูมิเนียม ถ้าจะเปรียบความรักของทั้งคู่ก็คงเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่อยู่ในช่วง "ป็อปปี้ เลิฟ" หัวใจของทั้งอาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ช่างสดใสอมชมพูราวกับชีวิตนี้เกิดมาเพื่อกันและกัน
อาร์เซน่อล หรือ 'รอยัล อาร์เซน่อล' (ชื่อทีมในขณะนั้น) ที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นสโมสรในปี 1886 จัดการอัญเชิญมิตรรักทางตอนเหนือของลอนดอนอย่างสเปอร์สมาอุ่นแข้งด้วยในช่วงปรีซีซั่น 1887 ..
นั่นทำให้ประวัติศาสตร์โลกได้จารึกเอาไว้ว่า ..
วันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 1887 ถือเแมตช์แรกที่ทั้งสองสโมสรได้ฟาดแข้งกัน .. "อย่างเป็นทางการ"
ทว่าแม้จะเป็นเกมแรกของทั้งคู่ แต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์กลับจบลงด้วย "เรื่องตลก" และ "แสนขบขัน" ในขณะที่การแข่งขันกำลังดำเนินไปถึงนาทีที่ 75 ณ ตอนนั้นเป็น "ไก่เดือยทอง" ที่กำลังนำอยู่ 2-1 แต่ในห้วงเวลาที่กำลังสดใส ในห้วงเวลาที่กำลังเป็นต่อ .. ราวกับชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออาภัพ กับชัยชนะที่กำลังจะเป็นของสเปอร์สอยู่ทนโธ่แล้วทว่าฉับพลันที่เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 15 นาทีเศษก็ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ..
ผู้ตัดสินในเกมนั้นซึ่งไม่ได้มีการระบุชื่อแซ่ว่า เป็นใคร มาจากไหน กลับทำเรื่อง "งามหน้า" ด้วยการตัดสินใจยุติเกมการแข่งกระทันหัน
รู้สาเหตุไหมครับว่า "เพราะอะไร" !? สาเหตุที่ท่านเปาในตอนนั้นตัดสินใจยกเลิกการแข่งขันเกมนั้นเกิดขึ้นเพียงเพราะ
"ท้องฟ้ากำลังจะมืด !!"
ครับ ... ผู้ตัดสินตัดสินใจยกเลิกเกมเหตุเพราะ รุ่งอรุณเริ่มจะลับขอบฟ้าแล้วนั่นเอง กับยุคนี้ที่สุดไฮเท็คช่างเป็นเรืองที่แสนสบายในการจะหวดบรรเลงเพลงแข้งชนิดที่ล่อไปทั้งคืนก็ยังได้ แต่กับ 100 ปีก่อนที่ยังไม่มีไฟฟ้า ลองจินตนาการภาพตามดูครับว่า ในยุคอดีตที่มีเพียงเทียนไข และ ไม้ คอยจุดไฟจะช่างหนักหนาสาหัสเพียงใดกว่าการที่ "เกมการแข่งขัน" จะบังเกิดขึ้นซักแมตช์ ?
นั่นทำให้จากเดิมที่ชัยชนะเกมแรกของทั้งคู่ควรเป็นของสเปอร์สกลับโดน "ปล้นชัย" ไปซะถนัด กว่าที่การแข่งขันอย่างเป็นทางการจะบังเกิดขึ้นจริงๆก็ต้องรอไปถึงฤดูกาล 1909/10 ที่ทั้งคู่ได้โคจรมาพบกันในลีก ..
เกมครั้งนั้นโชคชะตาไม่เข้าข้างสเปอร์สดั่งเช่นที่ผ่านมา .. ชื่อของ "วอลเตอร์ ลอว์เรนซ์" กลายเป็นคนแรกที่เบิกประตูชัย 1-0 ในเกมแรกของทั้งสอง .. "อย่างเป็นทางการ"
*********************************
" จุดเริ่มต้นของความบาดหมาง"
"ถ้าคุณเผลอไปเอ่ยชื่อ เฮนรี่ นอร์ริส แถวผับตรง ไวท์ ฮาร์ท เลน ล่ะก็ ..ฉับพลันเสื้อของคุณจะต้องถูกละเลงด้วยเลือดอย่างแน่นอน"
นิยามของ เซอร์ เฮนรี่ นอร์ริส หนึ่งในตำนานอาร์เซน่อลที่สาวกลูกหนังผู้ดีโดยเฉพาะกับแฟนบอลสเปอร์ส "ย่อมไม่มีวันลืมเลือน" ในอดีต วูลวิช อาร์เซน่อล (ชื่อเดิม) ตั้งอยู่ที่ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของลอนดอนทว่าการมาของ เฮนรี่ นอร์ริส ที่เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมเมื่อปี 1910 ก็ได้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของทีม
จากเดิมที่ทั้งสองนั้นรักใคร่ ปรองดอง พร้อมไร้ประวัติความบาดหมาง ทว่าในปี 1913 เฮนรี่ นอร์ริส กลับสร้างประเด็นร้อนขึ้นหลังจัดการย้ายบ้านใหม่ของอาร์เซน่อล ที่เดิมตั้งอยู่บริเวณ พลัมสตี้ด ไปตั้งรกรากที่ ไฮบิวรี่ แทน นั่นทำให้ทีม "ไอปืนใหญ่" ได้เปลี่ยนจากสโมสรทางตะวันออกเฉียงใต้มาเป็น "ตะวันออกเฉียงเหนือ" อย่างเป็นทางการ ..
"เราคือนอร์ท ลอนดอน เบอร์ 1 .. ส่วนพวกเขาน่ะเหรอ !? ก็แค่นอร์ทกำมะลอ ! " เสียงจากแฟนสเปอร์สที่กล่าวถึงอาร์เซน่อลซึ่งวลีนี้แน่นอนครับว่า ยังใช้ได้เสมอมา ในปัจจุบันแม้ทีม "ปืนโต" จะประสบความสำเร็จจนก้าวข้าม "ยิด อาร์มี่" ไปหลายขั้นทว่าความจริงก็คือความจริง อาร์เซน่อลไม่ใช่ทีมที่สืบเชื้อสายมาจาก ลอนดอนตอนเหนือโดยตรง เป็น "สเปอร์ส" ต่างหากที่ "Born to Be" มาแต่กำเนิด ..
นั่นทำให้ตามความคิดของสเปอร์สแล้วพวกเขาคือทีมจากลอนดอนเหนือตัวจริง ส่วนอาร์เซน่อลก็แค่ย้ายมาเพื่อหวังลัดฟ้าให้เท่าเทียม ณ เวลานั้น ทั้งสเปอร์ส, เชลซี และ โอเรียนท์ (ทีมเก่าแก่ในตอนนั้น) ต่างยื่นคำร้องต่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษเพื่อขอให้เอฟเอทบทวน และ ห้ามการย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เหตุเกรงว่า "ไอปืนใหญ่" จะมาแย่งฐานแฟนบอลท้องถิ่นที่มี..
กระทั่งสาวกอาร์เซน่อล ในตอนนั้นยังไม่เห็นด้วย ครั้งหนึ่ง เคนติช กาเซ็ตเต้ แฟนบอลพันธ์แท้ของทีมยังออกมาว่านอร์ริส และ บอร์ดบริหารว่า " ผมเชื่อว่า มิสเตอร์ นอร์ริส เลือกเอาผลประโยชน์ของตนเองในการย้ายถิ่นฐานอาร์เซน่อลในครั้งนี้แทนที่จะเห็นใจแฟนบอลท้องถิ่นละแวกนั้น อาร์เซน่อลต้องอยู่ใกล้ย่าน วูลวิช เท่านั้น ทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับย้ายที่ตั้งจากลิเวอร์พูล ไป แมนฯเชสเตอร์ หรอก"
ทว่าก็ด้วยอิทธิพลของ นอร์ริส ทำให้คำประท้วงไม่เป็นผล นั่นทำให้เกมแรกในฐานะ 'นอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้' อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ปี 1914 ในขณะนั้นอาร์เซน่อลอยู่ดิวิชั่น 2 ส่วนสเปอร์สตั้งรกรากอยู่ดิวิชั่น 1
และก็เช่นเคย บทสรุปเกมนี้จบลงด้วยชัยชนะของอาร์เซน่อล 5-1
ก่อนที่จะถูก "สงครามโลกครั้งที่1" พลัดพรากทั้งคู่ให้ว่างเว้นจากวงการลูกหนังในเวลาต่อมา ..
*********************************
" จุดแตกหัก"
ต่อให้ในนครหลวงของอังกฤษจะมีสโมสรลูกหนังอยู่มาก ทว่าถ้าอยากเอาอรรถรสของความบ้าคลั่ง-ความเอาเป็นเอาตายในแง่ประวัติศาสตร์ ยังไงก็ต้อง "คู่นี้" เท่านั้น ..
สงครามโลกครั้งที่ 1 จบแล้ว ..แต่ในด้านเรื่องราวความบาดหมางของทั้งคู่ดังที่กล่าวไปที่ผ่านมานั้นแค่เริ่มต้น ความ "ดุเดือด" ของทั้งสองมาเกิดขึ้นจริงๆในฤดูกาล 1919 ต่างหาก
และแน่นอนว่า นี่คือความ "อัปยศ" ครั้งหนึ่งเท่าที่ฟุตบอลอังกฤษเคยมีมา !
ในฤดูกาล 1919/20 ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่ 1สิ้นสุดลง ได้เวลาแล้วครับที่ วงการลูกหนังจะกลับมาหวดแข้งกันต่อ ในครั้งนั้นสมาคมฟุตบอลอังกฤษตกลงใจที่จะเพิ่มทีมในดิวิชั่น 1 จากเดิม 20 เป็น 22 ทีม ย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะต้องอิงผลการแข่งขันตามซีซั่นสุดท้ายที่มีบอลลีกก่อนที่จะพักให้สงครามโลก ซึ่งนั่นก็คือ ปี 1914/15
ในปีนั้นลีกดิวิชั่น 2 ทั้งดาร์บี้ และ เปรสตัน เป็นสองทีมที่ได้เลื่อนชั้น ทำให้มีการพิจารณาที่จะเพิ่มทั้งสองทีมเข้าสู่ลีกกลายเป็น 22 สโมสร ก็แน่นอนว่า จากการเพิ่มในครั้งนี้เองที่ทำให้ เชลซี และ สเปอร์ส ที่ได้อันดับ 19 และ 20 ของลีกสูงสุดพร้อมตกชั้นในปีนั้นราวกับ "สามล้อถูกหวย" สุดเฮงได้อยู่ในลีกต่อ
แต่แล้วราวกับเกิดมาเพื่อเป็นตัวซวย .. ด้วยอำนาจมืดทำให้เรื่องราวกลับตาลปัตรแบบไม่เคยเป็นมาก่อน จู่ๆ เฮนรี่ นอร์ริส ที่เป็นเจ้าของอาร์เซน่อลกลับเสนอไอเดียที่ "พิศดาร" ที่สุดในโลกด้วยการให้ "ไก่เดือยทอง" ตกชั้นพร้อมดึงอาร์เซน่อลขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดแทน ด้วยเหตุผลที่ว่า ในเมื่อทีมไก่กุ๊กกุ๊กเล่นจนตกชั้นไปแล้ว ..
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรมีสิทธิ์เล่น "ลีกสูงสุด" ต่อ ..
จากชีวิตที่กำลังจะเฟื่องฟูกลับกลายเป็นบัดซบ โลกทั้งใบช่างไม่ยุติธรรมกับพวกเขา เจอเข้าแบบนี้ มีหรือครับที่สเปอร์สจะไม่ประท้วง !? อย่ากระนั้นเลยทางทีม "ยิด อาร์มี่" จึงได้บอกว่า จะให้ตกได้ไงก็ในเมื่อเชลซียังได้อยู่ต่อ ดังนั้นถ้าเชลซีได้อยู่ พวกเขาก็ต้องได้อยู่ด้วย ..
เรื่องราวยื้อกันอยู่นานจนกระทั่งก่อนเปิดฤดูกาลข้อถกเถียงก็เป็นอันยุติ ..ถ้าจะมีใครซักคนที่เป็น 'The Godfather' ณ เวลานั้นคงไม่มีใครเกิน เฮนรี่ นอร์ริส ... นอร์ริส เจ้าเก่าอาศัยบารมีที่เป็นทั้งเจ้าของอาร์เซน่อล และ บอร์ดเอฟเอ ล็อบบี้ผลโหวตโดยเฉพาะจาก จอห์น แม็คเคนน่า เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล และ ประธานฟุตบอลลีกในตอนนั้น เพื่อโค่นล้มสเปอร์ส
ผลโหวตในตอนนั้นออกมาด้วยเสียงโหวต 18-8 ทำให้กลายเป็น อาร์เซน่อลที่เป็นทีมสุดท้ายที่ได้เล่นในลีกสูงสุดในซีซั่นนั้น โดยที่เหนือ สเปอร์ส ที่จบอันดับ 20 ของลีกสูงสุดในปีก่อน พร้อมกับเป็นค่ำคืนที่ "สุดอัปยศ" ครั้งหนึ่งในวงการฟุตบอล แม้สเปอร์สจะพยายามยื้อคดีด้วยการฟ้องร้องว่า พวกเขาควรเป็นทีมที่ได้อยู่ในลีกสูงสุดต่อไปแม้จะตกชั้นเพราะ มีการเพิ่มจาก 20 เป็น 22 ทีม
แต่สุดท้ายเรื่องดังกล่าวก็ไร้ผล "ไก่เดือยทอง" กลายเป็นทีมที่โลกลืม พวกเขาโดนตัดออกจากวงจรลีกสูงสุด และ แพ้คดีอย่างไม่ใยดีพร้อมถูกตราหน้าจากเอฟเอในเวลานั้นถึงการอุทธรณ์ที่สุดมากเรื่อง ..
บทสรุปของปีนั้นกลายเป็น อาร์เซน่อล ที่ได้ก้าวเลื่อนชั้นขึ้นมาลีกสูงสุด เหนือกระทั่ง เบอร์มิงแฮม และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่จบอันดับ 3 และ 4 ของ ดิวิชั่น 2 ทว่ากลับอดไป ..
อาร์เซน่อล ทีมที่จบอันดับ 5 กลายเป็นผู้สมหวัง "คว้าตั๋วใบสุดท้าย" โดยที่อ้างว่า สาเหตุที่ได้เลื่อนชั้นเป็นเพราะ รับใช้ลีกมาอย่างยาวนาน .
กระทั่งสื่อ หรือ โทรทัศน์เจ้าไหนก็ไม่กล้าตีพิมพ์ ..
*********************************
" ไม่เผาผี"
ความเคียดแค้นครั้งนี้ช่างสุดจะเกิน จากเหตุการณ์วิปโยคในครั้งนี้ ทำให้ไร้คำว่า 'ญาติดี มิตรภาพ หรือ เกมกีฬา' ของทั้งคู่อีกต่อไป ..
" ด้วยการที่ทั้งคู่ระยะทางห่างกันแค่ 4 ไมล์ย่อมเป็นการเสี่ยง ถ้าคุณเดินผ่านถนน หรือ ผับแถว ไฮบิวรี่ และ ไวท์ ฮาร์ท เลน ณ เวลานั้นต่อให้คุณจะไม่ใช่แฟนบอลทั้งสองก็คงไม่ต่างกับเอาชีวิตไปทิ้ง เสียงมีดต่างลอยไป-มา กระทบกระทั่งกับถนนตลอดทั้งวัน"
บ็อบ วอลล์ ผู้จัดการทั่วไปของอาร์เซน่อลในตอนนั้นบรรยายสรรพคุณความจงเกลียด จงชัง ของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี .. จากเดิมที่ทั้งคู่เปรียบดั่งพันธมิตรทว่านับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองทีมก็ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
สนามหญ้าอันเขียวขจีแปรเปลี่ยนเป็นสังเวียนที่ฟาดแข้งกันทีไรพร้อมฟาดฟันกันไม่ต่างกับสนามรบ ครั้งหนึ่งในปี 1922 ได้เกิดเหตุการณ์หายนะขึ้นหลังสองเซนเตอร์ของอาร์เซน่อลอย่าง แฟร็งค์ แบร็ดชอว์ และ อาร์เธอร์ ฮัทชินส์ ถูกเอฟเอตั้งข้อหาจากการจงใจเตะเล่นเกม 2 ผู้เล่นสเปอร์สให้บาดเจ็บ ในยุคที่กติการเกมลูกหนังยังไม่มีผู้เล่นสำรอง และ การเปลี่ยนตัว เกมนั้นทำให้ทีม "ไก่เดือยทอง" ต้องรับมือกับการเล่น 9 คนในสนามโดยที่พวกเขามิได้ทำอะไรผิด ..
แฟนบอลทั้งสองต่างตะลุมบอนไป-มา ไม่ต่างกับสัตว์ที่กระหายเลือด บรรยากาศนอกสนามระหว่างทั้งสองทีมสุดเข้มข้นไม่แพ้เกมในสังเวียน ช่างเป็นภาพที่สุดสะเอียนสายตากระทั่งนักข่าวจาก "ซันเดย์ เทเลกราฟ" ยังทนกับสิ่งที่เห็นไม่ไหวถึงขนาดรายงานข่าวผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ว่า " นี่เป็นหนึ่งในความเลวร้าย และ บัดซบ เท่าที่ผมเคยทำข่าวมา แฟนบอลทั้งสองเข้าใส่กันไม่ยั้ง เช่นเดียวกับนักเตะที่ผลัก และ เตะกรรมการราวกับสัตว์ป่า"
ครับ .. และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ .. จากเดิมที่เคยรักใคร่กันนับจากนั้นความสัมพันธ์ได้แปรเปลี่ยนพร้อมทลายไปราวกับผงเถ้าธุลี จากที่เคยรักใคร่กันกลายเป็น "ไม่เผาผี" กันอีกเลย ..
ประวัติศาสตร์สอนให้เราได้รู้ว่า ในอดีตอาร์เซน่อลไม่ต่างกับผู้ร้าย ส่วนสเปอร์ส ช่วงชีวิตของพวกเขาย่อมผ่านความขมขื่นมานับไม่ถ้วน จากการเลื่อนชั้น และ ถูกปรับตกชั้นแบบไม่เป็นธรรมนั่นทำให้ "ยิด อาร์มี่" ย่อมเกลียดทีม "ปืนโต" ยิ่งกว่าขี้ ..
อย่างไรก็ตามนั่นก็แค่เรื่องราวของคนในอดีตกาลเวลาผ่านไปเฉียดร้อยปีค่ำคืนวันเสาร์นี้ "ความเข้มข้น" ของคู่นี้จะกลับมาอีกครั้ง ...
ส่วนจะ ดุเดือด- เร้าใจมากน้อยแค่ไหน .. ติดตามตอนต่อไป ..
*********************************
รู้จักกับอาเฮีย ' เซอร์ เฮนรี่ นอร์ริส'
นี่คือหนึ่งในตำนานที่แฟนบอลอาร์เซน่อลควรรู้จัก หลายคนอาจไม่รู้ว่า เซอร์ เฮนรี่ นอร์ริส นั้น นอกจากจะเป็นเจ้าของสโมสรอาร์เซน่อลแล้วเจ้าตัวยังเป็นเจ้าของทีมฟูแล่มซึ่งโลดแล่นอยู่ในดิวิชั่น 2 ร่วมกับไอปืนใหญ่แบบหน้าตาเฉยทั้งที่สองทีมนี้อยู่ลีกเดียวกัน
อันที่จริง นอร์ริส เคยเสนอแนวคิดที่จะร่วมทั้งสองสโมสรเข้าด้วยกันพร้อมจับสนาม คราเวน ค็อทเทจ ของฟูแล่มเป็นสังเวียนในปี 1914 แต่ถูกทางเอฟเอขัดขวางไว้ ทว่าก็ไม่ทราบว่า เพราะเหตุใดที่นอร์ริสถึงสามารถบริหารงานควบระหว่างสองสโมสรได้
แต่ก็ต้องขอบคุณนอร์ริส เพราะ นั่นทำให้นับจากนั้นอาร์เซน่อลยังคงมีอยู่ต่อไปกระทั่งเรื่อยมายันปัจจุบัน สำหรับแฟนบอลอาร์เซน่อลแล้วไม่นับวีรกรรมอื้อฉาวที่ทำ สิ่งที่นอร์ริสได้มอบให้สโมสรนั้นช่าง "ราวกับพระเอก" เจ้าตัวคือ "เดอะ คิง" ของปืนโตสถาปนาให้ทีมคว้าแชมป์มากมาย ..
แต่กับสาวก "ไก่เดือยทอง" ทั้งหลาย ..
ผมเชื่อว่าเจ้าตัวไม่ต่างกับ "โจร" และ "มาเฟียลูกหนัง" ของวงการ
- มาสเตอร์ ริท -
************
ติดตามกันได้ครับ ^^