[RE: ตำนาน !? ยักษ์แบกเสา ..บนถนนวิภาวดีรังสิต]
ความอาถรรพ์ อีกแล้ว...
ให้อารมณ์เหมือนงูพ่นน้ำที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอ่ะ แต่คำตอบน่าจะดีกว่า
อ้างอิงจาก:
ขออนุญาตตีความตามสัญญะ ในบริบทวัฒนธรรมของไทย นะครับ
งู ที่เป็นปฏิมากรรมประกอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทั้งสี่ด้าน (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นสัตว์ที่อยู่บนดิน เปรียบได้กับประชาชนส่วนใหญ่ หรือ "ไพร่" นั่นเอง
ซึ่งมักจะเป็นเหยื่อของ นก ที่เป็นสัตว์ที่มักจะอยู่ไม่ติดดิน หรืออยู่บนฟ้า ยิ่งเวลาหากิน หรือล่าเหยื่อ จึงเปรียบดังผู้ปกครอง "เจ้า" หรือผู้ที่เหนือกว่า
โดยปกติ งู ก็มักจะตกเป็นเหยื่อของ นก อยู่แล้ว แม้จะว่องไว หรือพิษอย่างไรก็ตาม เพราะโดยกายภาพ งูไม่อาจจะละทิ้งฐานของตัวเอง คือดินได้ (การเขยิบฐานะของ "ไพร่" นั้นเป็นเรื่องลำบาก หรือแทบจะทำไม่ได้) ในขณะที่นก มีสายตากว้างไกล มองได้ทั่วกว่า สัตว์ที่อยู่บนดิน จึงมีความได้เปรียบ แม้กระทั่งจะเอาตัวรอด ยังโผขึ้นฟ้าได้ จึงมีอำนาจเหนือกว่า สัตว์บนดินทั้งมวล (สัญลักษณ์ของหลายประเทศ จึงใช้นก หรือเหยี่ยวเป็นตัวแทนของประเทศ)
อีกทั้งเมืองเรายังรับอิทธิพลทางความคิดจากพราหมณ์ ในเรื่องเทวตำนาน อย่าง ครุฑ และ นาค ซึ่งให้นาค เป็นรอง หรือ แพ้ครุฑ อยู่เสมอ มีตราสัญลักณ์ที่จะพบได้บ่อยคือ ครุฑยุดนาค (กำตัวงูไว้ที่เท้า) ซึ่งคือการแสดงอำนาจที่เหนือกว่า คงไม่ต้องบอกนะว่า ครุฑ ปัจจุบัน เราใช้แทนอะไร ในเอกสารราชการ ทำไมต้องมีตราครุฑ คงจะตอบกันได้
กลับมาที่งูกับน้ำ กันหน่อย งูนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับน้ำ หรือบริเวณที่ชื้นเสมอ (อาจจะเป็นเพราะบริเวณนั้น จะเป็นแหล่งอาหารชุกชุม) น้ำจึงเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตของงู เท่ากับเปรียบได้ว่า ประชาธิปไตย จะเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของ "ไพร่" หรือสามัญชน อยู่เสมอ อีกทั้งน้ำ มีธาตุที่มีมากที่สุด (3/4 ของพื้นที่โลก) และเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พร้อมด้วยคุณสมบัติที่ไหลเวียน เปลี่ยนสภาพ อยู่ตลอดเวลา (ไอน้ำ เมฆ ฝน ลำธาร แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร) น้ำจึงเป็นตัวแทนของพลังที่เป็นอมตะ หรือไม่มีวันหมดสิ้น
เข้าใจว่าคอนเซ็ปต์ในการรังสรรค์อนุสาวรีย์ สัญลักษณ์แห่งการปกครองใหม่ของไทยนั้น น่าจะใกล้เคียงกับคำอธิบายที่ได้กล่าวมา