นาซ่าล้ำมว๊ากก! เปลี่ยน”อึ”เป็น”อาหาร” ให้นักบินอวกาศ แถมมีโอเมก้า3 ด้วย!?
พูดไปใครจะเชื่อว่าเทคโนโลยีสมัยนี้มันจะก้าวล้ำไปไกลถึงขั้นแปรสภาพ “อึ” ให้กลับกลายมาเป็น “อาหาร” ได้!? เพราะ “อาหาร” ต่างหากที่ควร(กินเข้าไปแล้ว)กลายสภาพเป็น “อึ” แต่นาซ่าเขาทำได้แล้ว!!!
เว็ปไซค์ RT.COM ของ สหรัฐรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ( นาซ่า ) ได้มอบเงินทุนจำนวน 200,000 ดอลลาร์ต่อปี ให้กับทีมวิจัยจาก มหาวัิทยาลัยเคลมสัน สหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบปรับเปลี่ยนของเเสียจากร่างกายมนุษย์ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง ในรูปแบบของอาหารและวัสดุที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในห้วงอวกาศเป็นระยะเวลานานๆ
ก่อนหน้านี้ นาซ่า ประสบความสำเร็จในการปลูกผักในห้วงอวกาศเป็นครั้งแรก และเนื่องจากนาซ่ามีโครงการที่จะส่งให้มนุษย์ไปยังดาวอังคารให้ได้ภายในปี 2030 ดังนั้นจึงให้ความเห็นชอบกับแนวความคิดของ มาร์ค เบลนเนอร์ ศาสตราจารย์จากภาควิชาเคมี และ วิศวชีวภาพของมหาวิทยาลัย เคลมสัส ในเรื่องของการแปรสภาพของเสียจากร่างกายให้เป็นอาหาร เพื่อเป็นหนทางให้นักบิน อวกาศสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในภารกิจระยะยาว
ศาสตรจารย์เบลนเนอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมวิจัย เชื่อว่ายีสต์ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม สามารถนำมาใช้ใการรีไซเคิล ของเสียที่ถูกขับออกมาจากร่างการมนุษย์ ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบสิ่งของจำเป็นต่อการใช้ชีวิต แถมยังไม่ต้องกำจัดของเสียในร่างกายทิ้งอีกด้วย
ศาสตรจารย์เบลนเนอร์ ระบุว่า สายพันธุ์จำเพาะบางชนิดของยีส์เมื่อนำมา ปรับแต่งพันธุกรรม จะสามารถเป็นของเสียคนเรา ได้ลายอย่างมาก ตั้งแต่ " โอเมก้า 3 "
ที่อยู่ในรูปแบบของอาหาร รวมไปถึงการลิต 'โพลีเม " หรือพลาสติคที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
หลักการก็คือ เบลนเนอร์ ใช่้ไนโตรเจน ซึ่งมีอยู่มากมายใน ปัสสะวะ มนุษย์ กับสาหร่ายที่สามารถสร้าง 'ลิพิด' หรือไขมันจาก คาร์บอนไดร์ออกไซค์ ซึ่งออกมาจากลมหายใจของมนุษย์ เป็นส่วนประกอบสำคัญ สำหรับการป้อนให้กับยีสต์ที่สามารถเปลี่ยน ลิพิด และ ไนรโตรเจน ดังกล่างให้กลายเป็น พลาสติก หรือ โอเมก้า 3 ได้
ที่ผ่านมาทีมวิจัยของ เบลนเนอร์ สามารถสร้างยีสต์ซึ่งผลิตพลาสิก ดังกล่าวขึ้นได้ด้วยการนำเอาพันธุกรรมจากจุลชีพอย่างอื่นมาตัดต่อเข้ากับพันธุกรรมของยีนส์ แล้วสร้างยีนต์ ที่เปลี่ยนลิพิด เป็น โพลิเมอร์ หรือ พลาสิกได้ สำเร็จ
ทั้งนี้ เบลนเนอร์มีระยะเวลาในการพัฒนาระบบนี้ให้สามารถใช้งานได้จริงภายใน 3 ปีนี้
..