บทความ(แปล) :"รูปแบบการเล่นของLVG ที่อาจซ้้ำรอยประวัติศาสตร์United"
เอาหละ ผมขอเริ่มต้นบทความด้วยประโยคนี้
"แมนยูชุดปัจจุบัน คือ สิ่งที่เซอร์เคยคาดหวัง และแฟนๆเคยต่อต้าน"
ฟังแล้วดูน่าแปลกใจใช่มั้ยครับ?
เพราะเวลาเราพูดถึงการทำทีมของท่านเซอร์ เราจะนึกถึงเกมรุกที่จัดจ้าน ระบบปีกสอข้างที่พร้อมจะฉีกกองหลังคู่แข่งออกเป็นชิ้นๆ และคู่หูกองหน้าจอมถล่มประตู ซึ่งแตกต่างจากทีมแมนยูในยุคหลุยส์ ฟานฮาล อย่างสิ้นเชิง
จุดเริ่มต้น
ย้อนกลับไปปี 2000 หนึ่งปีถัดจากยุคทองของยูไนเต็ด ที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาล1998-99
แมนเชสเตอร์ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง ด้วยการเดินหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนั้น ด้วยคะแนนนำห่างทีมอันดับสองอย่างอาร์เซน่อลถึง 18คะแนน พร้อมกะหน่ำประตูไปได้มากถึง97ลูกใน38เกม
แต่ถึงกระนั้นแมนยูก็ไม่สามารถเข้าไปป้องกันแชมป์ในเวทีUCLได้สำเร็จ หลังจากแพ้ให้กับเรอัล มาดริดในรอบ8ทีมสุดท้าย
ในเลกแรก ทั้งสองทีมเสมอกันไป 0-0และเป็นมาดริดที่ครองเกมบุกได้เป็นส่วนใหญ่ จากนั้นเลกที่สอง เรอัลมาดริดของเดล บอสเก้ ที่ไปเยือนโอล์ดทราฟฟอร์ดด้วยระบบ 3-3-2-2 ส่วนแมนยูใช้ระบบ4-4-2เหมือนกับเลกแรก โดยเกมนี้แมนยูมีโอกาสยิงไปทั้งหมด15ครั้ง ส่วนมาดริดมีโอกาสยิงเพียง5ครั้งเท่านั้น แต่สุดท้ายกลายเป็นฝ่ายทีมเยือนที่สามารถเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-2 โดยลูกแรกมาจากการสกัดเข้าประตูตัวเองของรอย คีน และอีกสองประตูของมาดริด มาจากการเล่นเกมสวนกลับและการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยมของราอูล
จบเกมนัดนั้น เซอร์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
"One of the forceful reminders delivered by that defeat was that consistent success in Europe would be more readily achieved if we improved our capacity to defend against the counterattack"
“สิ่งที่ได้จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ บอกให้เรารู้ว่า หากเราต้องการจะประสบความสำเร็จในเวทียุโรป เราจะต้องแก้ไขการป้องกันลูกสวนกลับให้ดีกว่านี้” –เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน
เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันได้ยอมรับและกล่าวโทษตัวเอง ที่ไม่คิดว่ามาดริดจะใช้แผน3-3-2-2 โดยมี “เรดอนโด้” เล่นเป็นมิดฟิล์ดตัวกลางเพียงคนเดียว
"If I had altered the team early to a 4-3-3 … I am sure we could have won handily, I know that, and could kick myself for delaying the change."
“ถ้าหากเราเปลี่ยนไปเล่น 4-3-3 ผมมั่นใจว่าชัยชนะจะเป็นของเรา ,แต่มันก็สายไปแล้ว ผมหละอยากเตะตัวเองสักครั้งจริงๆ”
จากบทสัมภาษณ์นี้ มันค่อนข้างชัดเจน ท่านเซอร์ได้ตระหนักแล้วว่า ลำพังแผน4-4-2ไม่สามารถเอาชนะรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย และแทคติกที่ซับซ้อนของทีมในยุโรปได้ และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่
ในฤดูกาล2001-2002 เป็นปีของการลองผิดลองถูก โดยเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันได้นำเข้านักเตะอย่าง Juan Sebastian Veron และ Ruud Van Nistelrooy เพื่อปรับจากเกมที่เน้นใช้พละกำลัง มาเป็นเกมที่มีรูปแบบการเข้าทำที่ลงลึกในรายละเอียดมากกว่าเดิม
อีกทั้งยังเปลี่ยนจากระบบ 4-4-2 มาเป็น 4-5-1 โดยใช้คู่กลางเป็น รอย คีน และ เวรอน และให้พอล สโคล ยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก คอยซัพพอร์ทหน้าเป้าอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย
แต่ดูเหมือนว่าการปรับระบบครั้งนี้ มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย
ในฤดูกาลนั้นแมนยูภายใต้ระบบใหม่ของท่านเซอร์ ทำผลงานกันได้อย่างย่ำแย่
โดยช่วงก่อนคริสมาสต์ พวกเขาแพ้ไปแล้วถึง10เกมในพรีเมียร์ลีก
และจบฤดูกาลด้วยอันดับสามเท่านั้น แถมโดนบาร์เยิร์น มิวนิค เขี่ยตกรอบ8ทีมสุดท้ายในถ้วยUCLอีก
คาร์ลอส กีย์รอซ ฟันเฟืองชิ้นสำคัญ
ในปี2002 กระบวนการปรับโฉมทีมยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้จะมีกระแสต่อต้านจากแฟนบอลก็ตาม แต่ท่านเซอร์ก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะปรับสไตล์การเล่นให้พอฟัดกับทีมในยุโรปได้
โดยคราวนี้ อาศัยตัวช่วย ด้วยการนำโค้ช ผู้ได้ชื่อว่าเป็น "โค้ชแห่งฟุตบอลสมัยใหม่" เข้ามาเป็นมือขวา
คาร์ลอส กีย์รอซ เข้ามารับตำแหน่งมือขวาในฤดูกาล2002-2003 และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
(และฤดูกาลนี้เป็นฤดูการสุดท้าย ของ เดวิด เบ็คแฮม )
ปี2003-2004 กีย์รอซย้ายไปคุมทีมมาดริดได้เพียงฤดูกาลเดียว ก็ถูกปลด เพราะจบฤดูกาลด้วยอันดับ4เท่านั้น
ปี2004-2005 แมนยูพลาดแชมป์ให้กับเชลซี โดยมีคะแนนตามหลังแค่3คะแนน
จุดสิ้นสุดยุคเดิม และเริ่มต้นเข้าสู่ยุคใหม่
กีย์รอซ มีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นอย่างมาก เขาพยายามปรับรูปแบบการซ้อม ให้เน้นซ้อมเล่นบอลกับพื้นมากขึ้น ฝึกการเข้าทำ
แต่ดูเหมือนผู้เล่นจะไม่ค่อยแฮปปี้กับรูปแบบการซ้อมที่ดูน่าเบื่อสักเท่าไหร่ และแน่นอนตัวก่อหวอดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน "รอย คีน" คู่กรณีของ คาร์ลอส กีย์รอซ นั่นเอง
"พวกเราเบื่อรูปแบบการฝึกซ้อมของเขา"-Gary Nevile
คำพูดที่เนวิลล์บอกกับเซอร์หลังเหตการณ์ที่รอย คีน ทะเลาะกับกีย์รอซ เพราะไม่พอใจเรื่องบ้านพักที่กีย์รอซเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้ช่วงปรีซีซั่น2005/2006 ซึ่งเนวิลล์เป็นตัวแทนในการประชุมทีมในวันนั้น ประโยคดังกล่าวเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า พวกเขาไม่แฮปปี้กับแท็คติกและเซสชั่นการซ้อมของคาร์ลอส กีย์รอซ
"รอย คีน มีอิทธิพลอย่างมากในห้องแต่งตัวของเรา และผมเชื่อว่าเขาได้ใช้อิทธิพลนั้นพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์"
"พวกคุณฟังผมนะ กีย์รอซนั้นเป็นโค้ชและผู้ฝึกสอนที่ยอดเยี่ยม มันก็จริงที่เขาอาจจะจัดตารางการออกกำลังซ้ำๆซากๆ
แต่นั่นแหละที่ทำให้คุณเป็นนักฟุตบอลที่ดี มันคือพลังแห่งกิจวัตรที่เกิดจากการเฝ้าทำทุกๆวัน" - จากหนังสือ Alex Ferguson: My Autobiography
หลังเหตุการณ์ในตอนนั้น เซอร์ตัดสินใจขับไล่ รอย คีน ออกจากทีม นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่า ท่านเซอร์มีความเชื่อมั่นในตัวของคาร์ลอส กีย์รอซอย่างมาก
ถึงแม้แทคติกที่กีย์รอซนำมาติดตั้งให้ จะเป็นสิ่งที่ถูกต่อต้านจากนักเตะ และแฟนบอลก็ตาม แต่ท่านเซอร์ก็ยังคงเชื่อมั่นว่า รูปแบบการเล่นที่ทันสมัย จะนำมาซึ่ง ถ้วยรางวัลจากเวทีแชมป์เปี้ยนลีกมาได้อย่างแน่นอน
ในตอนนั้นแฟนบอลรู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก โดยมุ่งเป้าโจมตีไปที่สไตล์การเล่นที่เอาแต่ครองบอล แฟนบอลในโอลด์ แทรฟฟอร์ดพร้อมใจกัน ตระโกนว่า
"Four Four Two","Four Four Two"
เพื่อแสดงออกถึงความต้องการที่จะให้เซอร์เฟอร์กี้ กลับมาใช้ระบบ4-4-2เหมือนเดิม
(อ่านถึงตรงนี้ ยิ่งไม่อยากจะเชื่อเลยเนอะ ว่ามั้ย? มันดูเหมือนเหตุการณ์ในตอนนี้มากๆ ที่แฟนๆตะโกน"Attack,Attack"ใส่ทีมของหลุยส์ ฟานฮาล
VIDEO
หลังจากรอย คีนโดนท่านเซอร์ถีบส่ง สื่อต่างๆเริ่มวิพากย์วิจารณ์ และโจมตีกีย์รอซว่าเป็นตัวการที่ทำให้ทีมต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ
"กีย์รอซนำระบบ4-5-1มาติดตั้งให้กับยูไนเต็ด ทำให้พวกเขาต้องเจอกับความยากลำบากตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา
และจากสามเกมล่าสุด (เกมกับแมนซิตี้,บียาเรอัล และลิเวอร์พูล) พวกเขายิงตรงกรอบแค่ห้าครั้งเท่านั้น" - Dominic Fifield,The Guardain
"กีย์รอซ คือบุรุษผู้ที่แฟนบอลเย้ยหยัน ว่าเป็นชายผู้ที่เข้ามาพร้อมกับความล้มเหลว" -Johnny Flacks
"พอกันทีสำหรับระบบ4-3-2-1 มันคือการฉีกวัฒนธรรมเดิมๆของสโมสรที่มีมาตั้งแต่ยุค60" -Rob Symth, The Guardian.
ยุคสมัยใหม่ของUnited
การพลาดได้ตัว Robben และ Ronaldinho ทำให้ยูไนเต็ด ต้องหันไปนำเข้านักเตะหนุ่ม อย่าง Rooney และ Ronaldo
คาร์ลอส กีย์รอซพูดเอาไว้ว่า
"อนาคต มันน่าตื่นเต้นเสมอ และผมเชื่อว่า ถ้าหากพวกเราสามารถรักษานักเตะที่ดีที่สุดเอาไว้ได้ เราจะกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ไปตลอดอีก10ปี"
หลังจากนั้น กีย์รอซ ก็ยังคงมองหานักเตะใหม่ คนที่เหมาะสมกับระบบการเล่นของเขา เข้ามาสู่ทีมเรื่อยๆ
ต่อมาในฤดูกาล 2007-2008 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ได้สำเร็จ โดยตลอดเส้นทางการคว้าแชมป์เปี้ยนลีกส์ พวกเขามักจะเลือกใช้ระบบ4-5-1หรือ4-4-1-1กับทีมยุโรป และใช้4-4-2เมื่อเจอทีมพรีเมียร์ลีก
(สังเกตุได้จากการที่พวกเขาใช้แผน4-5-1(4-2-3-1) ในการรับมือกับบาร์ซ่า ในรอบรอง และกลับมาใช้4-4-2ในรอบชิงกับเชลซี(ทีมจากอังกฤษ))
เราอาจพูดได้ว่า นี่คือ
"การตกผลึกทางแทคติก" ของท่านเซอร์
เพราะนับจากนั้น เรามักจะเห็นท่านเซอร์ใช้แผน4-4-1-1ในUCLมาตลอด
จบแล้วครับ
เหตุผลนึงที่ผมเลือกบทความนี้มาแปล จริงๆแล้ว ชื่อภาษาอังกฤษของบทความนี้คือ
"LEARNING FROM THE PAST: LOUIS VAN GAAL & CARLOS QUEIROZ"
บทเรียนจากอดีต : หลุยส์ฟานฮาล และ คาร์ลอส กีย์รอซ
ซึ่งผมก็ว่ามันเหมือนกันจริงๆ
โดยเฉพาะรูปแบบการเล่น การปล่อยนักเตะลูกหม้อออกจากทีม การผลัดใบด้วยนักเตะหน้าใหม่ และรวมไปถึงกระแสต่อต้านจากแฟนบอล และนักวิจารณ์
ต่างกันตรงที่ ตอนสุดท้าย ท่านเซอร์ค้นพบแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับทีม
ส่วนตอนนี้ก็คงต้องมาลุ้นว่า หลุยส์ ฟานฮาล จะเขียนตอนจบของตัวเองยังไง
ที่มา แปลมาจาก
http://livelifeunited.com/ target="_blank" href="http://upic.me/show/57230460" rel="nofollow" title="http://upic.me/show/57230460" target="_blank">
[url= http://upic.me/show/57230213]