[MOVIE REVIEW] Ex Machina | ปัญญาประดิษฐ์ ความคิด และจิตใจ (No Spoil)
จริงๆ มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้มาสักพักได้แล้ว แต่เพิ่งจะสบโอกาสได้เขียนสักที ถ้าตกหล่นอะไรไปก็ขออภัยทุกท่านด้วย ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นหนังแนว Sci-Fi ทั่วๆ ไป แต่ไปๆ มาๆ พบว่าหนังเรื่องนี้ยังมีความเป็น Thriller ทั้งยังเล่นกับความรู้สึก ความคิด และจิตสำนึกคนดูได้อย่างอยู่หมัด
เรื่องย่อ (NO SPOIL)
Spoil
Caleb Smith (รับบทโดย Domhnall Gleeson) โปรแกรมเมอร์ฝีมือดีแห่ง Bluebook เสิร์ชเอ็นจิ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต ได้รับโอกาสไปเยี่ยมคฤหาสน์หลังงามบนหุบเขาของ Nathan Bateman (รับบทโดย Oscar Isaac) ซีอีโอบริษัทอัจฉริยะผู้ลึกลับ ระหว่างทริปนั้นเอง เคเล็บก็ได้พบความจริงว่าแท้จริงแล้วเนธานเลือกเขามาที่นี่เพื่อให้เป็นผู้ทดสอบสมรรถภาพหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) ซึ่งบททดสอบนี้เรียกว่า Turing Test เคเล็บจะต้องประเมินถึงความสามารถ รวมไปถึงระบบการคิด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของหุ่นนี้ด้วย Ava (รับบทโดย Alicia Vikander) คือผลงานชิ้นล่าสุดของเนธานที่เคเล็บจะต้องทดสอบ สติปัญญาและความคิดของเธอมีอาจเหนือความสามารถของเคเล็บ และนั่นอาจนำสิ่งที่ไม่คาดคิดมาสู่ชีวิตของเขาได้
สารภาพว่าก่อนดูเรื่องนี้ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่ได้ดูกระทั่ง trailer หรืออ่านเรื่องย่อ เห็นแค่หน้าปกกับคำวิจารณ์ที่ออกมาในทางบวกก็ตัดสินใจว่า
เอาวะ ลองดูละกัน ปรากฏว่ากลายมาเป็นอีกหนึ่งหนังที่ชอบโดยปริยาย
ความคิดหลังดูจบ (NO SPOIL)
ขอบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีอุปกรณ์ฉากหลังอลังการ (งบประมาณเรื่องนี้ถูกจำกัดด้วยเหตุผลสำหรับการสร้างสรรค์งาน แต่ถึงกระนั้นเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ก็ออกมาเนียนตามาก) ไม่มีฉากกองทัพหุ่นยนต์ ไม่มีฉากระเบิดรถ เผาตึกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ทั้ง 110 นาทีของเรื่องนี้คือการนั่งดูตัวเอกทั้ง 3 (Caleb / Nathan / Ava) ดำเนินชีวิตไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าขนลุก ให้เราซึมซับกับข้อมูลผ่านบทสนทนา (ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องทั้งสิ้น) สังเกตพฤติกรรมตัวละคร ในขณะเดียวกันก็ระแวงพวกเขาไปด้วย แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเรียกใคร "พระเอก" หรือ "ตัวโกง" ก่อนจะสนับสนุนการกระทำของเขาและเอาใจช่วย
ต้องขอพูดถึงชื่อเรื่องเสียก่อน ว่า Ex Machina มาจาก Deus Ex-Machina คำภาษาละติน ที่แปลว่า "เทวดามาโปรด" (หากแปลตรงตัวเลยคือ a god From the Machine หรือ เทพเจ้าจากเครื่องจักร อ่านที่มาและความหมายเพิ่มเติมของคำนี้ได้จาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Deus_ex_machina ) เป็นหนึ่งในกลวิธีการเขียนเรื่อง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าเทพเจ้าคือทางออกที่โผล่มาในตอนตัวละครกำลังประสบปัญหาหนักอึ้ง ความหวังดูริบหรี่ อุปสรรคดูเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในสถานการณ์ แต่ท่ามกลางความมืดมนนั้น กลับมีสิ่งที่คลี่คลายความกังวลได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่เรื่องราวจะจบอย่างมีความสุข
นั่นเป็นหนึ่งในกลยุทธการแต่งเรื่องที่นิยมสำหรับโศกนาฏกรรมกรีก (Greek Tragedy) แต่สำหรับบทสรุปในภาพยนตร์ไซไฟในยุคร่วมสมัยเช่นนี้ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะสิ้นสุดอย่างไร จนกระทั่งฉากสุดท้ายจบลงจริงๆ
นักแสดง ผู้กำกับ ฯลฯ
แม้จะเป็นผลงานกำกับเรื่องแรก ผู้กำกับ Alex Garland ก็ทำงานออกมาได้อย่างเป็นมืออาชีพ แต่คงไม่ถึงกับคำว่า 'น่าเหลือเชื่อ' เพราะเขาไม่ใช่คนไร้ตัวตนในโลกฮอลลีวู้ด จากการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง 28 Days Later และ Never Let Me Go ใช่ ทั้งสองเรื่องนั้นมีความแตกต่างกันในแนวทางอย่างชัดเจน ในขณะที่ 28 Days Later เป็นภาพยนตร์เขย่าขวัญ เรื่องหลังกลับเป็นเรื่องราวของความรัก อารมณ์เกลียดชัง และการต่อสู้ เมื่อมาคิดดูดีๆ Ex Machina มีส่วนผสมของสิ่งที่กล่าวมาอย่างละน้อย แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้คือการทำเพื่อตัวเอง ซึ่งทั้งสามตัวละครมีเป้าหมายชัดเจนในแต่ละทางที่แตกต่างกันไป
เช่นเดียวกับสามนักแสดงนำ Domhnall Gleeson, Alicia Vikander และ Oscar Isaac (ซึ่งรายหลังสุดนี่ไว้ใจได้อยู่แล้วเรื่องการแสดง แต่ก็ยังอดชมไม่ได้ เพราะแสดงออกมาได้น่าเชื่อถือและคิดว่าตัวละครแบบนี้มีตัวตนอยู่จริงๆ) ซึ่งดอห์มแนลทำได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ส่วนอลิเซียก็เล่นเป็นหุ่นยนต์ที่ทำให้เราเข้าใจทุกอารมณ์ของเธอ เหมือนกับที่เคเล็บเข้าใจได้อย่างอยู่หมัด และหากอลิเซียยังคงมาตรฐานของตัวเอง (หรือทำได้ดีกว่าเดิม) ไว้ เส้นทางบนฮอลลีวู้ดของเธอย่อมสดใสแน่นอน ยิ่งดูจากรายชื่อภาพยนตร์ในอนาคตของเธอแล้ว บอกได้เลยว่าเรื่องต่อๆ ไปน่าลุ้นว่าจะส่งโอกาสให้โลดแล่นขึ้นทั้งนั้น
จุดเด่น จุดด้อย ฯลฯ
หากนึกถึงภาพยนตร์ AI แน่นอนว่าต่อไปนี้ Ex Machina จะต้องติดอยู่ในรายชื่ออย่างแน่นอน ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังที่ดูแล้วจะลืมไปได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับเราแล้ว มันกลับทิ้งคำถามให้ขบคิดต่อ และนั่นคือสิ่งที่จะทำให้หนังถูกจดจำได้ในระดับหนึ่ง
จุดด้อยของเรื่องนี้คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของฉาก ซึ่งอาจไม่เรื่องที่ "รับไม่ได้" แต่อย่างใด แต่ก็อดทำให้คนดูอย่างเราแอบรู้สึกขัดใจหน่อยๆ ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การมองข้ามความผิดพลาดเหล่านั้นก็ทำได้ง่าย
อย่างที่ได้กล่าวไปในส่วนของความคิดหลังดูเสร็จ หากท่านต้องการดูภาพยนตร์ไซไฟที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นหรือความมันส์ชนิดที่ทำให้นั่งไม่ติดเก้าอี้ Ex Machina จะไม่ใช่คำตอบของโจทย์อย่างแน่นอน ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปทีละขั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทิ้งปริศนาไปให้เรื่อยๆ ก่อนที่จะท่วมท้นในช่วงท้าย และคลี่คลายออกมาในตอนจบ
สุดท้ายนี้ ขอแนะนำหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษสำหรับคนที่สนใจเรื่อง AI ไม่ใช่ในด้านความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของศีลธรรมและปรัชญามากกว่า เมื่อดูแล้วต้องได้อะไรกลับไปคิดบ้างแน่นอน
ฉากที่ชอบ (SPOIL 100%)
Spoil
- ตัวละครเคเล็บกรีดแขนตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นคนดูต้องตั้งคำถามต่อแน่ๆ ว่าตัวละครนี้เป็น AI หรือเปล่า
- เนธานกับเคียวโกะเต้น
สิ่งขัดใจ (SPOIL 100%)
Spoil
- ฉากที่เอวาเอาชิ้นส่วนของหุ่นอื่นๆ มาใส่ คือเห็นๆ อยู่ว่าเนธานสร้างทั้งหุ่นเอเชีย ผิวสี ฯลฯ แต่ทำไมพอเอวาเอามาประกอบตัวเองแล้วเนียนจัง
- เนธานน่าจะมีระบบ security ดีกว่านี้หน่อย อย่างเรื่อง key card เงี้ย
แลกเปลี่ยนความเห็นกัน (SPOIL 100%)
Spoil
ท่านคิดว่าใครเป็นตัวโกงที่แท้จริงกันแน่เรื่องนี้?
อันนี้จขมยังตอบไม่ได้เลย แต่คิดว่าเอวาเป็นหุ่นที่ fail แหงๆ ล่ะ คงไม่มี 'มนุษย์' คนไหนทำแบบนั้นตอนจบแน่ๆ พอจบปุ๊บเข้าใจเนธานเลย แต่ก็รู้อยู่ว่าเอวาต้องทำเพื่อความอยู่รอด ส่วนเคเล็บนี่เป็นตัวละครที่เหมือนจะเข้าใจง่ายสุด แต่ก็ยังงงๆ อยู่ดี แต่ถ้าจะให้เรียกว่าตัวโกงเลยก็รู้สึกไม่ถูกอยู่ดี
ไม่เคยทำรีวิวแบบละเอียด ถ้าผิดพลาดหรือมีข้อเสนออะไรก็ติชมได้เลยนะทุกท่าน ใครดูแล้วก็มาคุยกันได้