ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
หน้าแรกบอร์ด >> "เอาอาร์เซน่อลเราคืนมา"
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ปลายอาชีพค้าแข้ง
Status: @Ya_Gunners_Ya@
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 20991
ที่อยู่: บ้านเมีย
โพสเมื่อ: Mon Dec 08, 2014 06:39
"เอาอาร์เซน่อลเราคืนมา"
บทความ ''เอาอาร์เซน่อลเราคืนมา

ทุกๆ ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องน่าเจ็บปวดเสมอโดยเฉพาะในวันที่เราได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างลงไป

เราควรได้รับสิ่งตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ลงเอยด้วยความผิดหวังซ้ำซาก

นานมากแล้วที่อาร์เซน่อลไม่ได้ขึงเกมรุกเข้าใส่แมนฯ ยูไนเต็ดตลอดทั้งเกมแบบนี้

จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่การครองบอล, โอกาสทำประตู และอีกหลายๆ อย่างออกมาเหนือกว่าผีแดงเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ปืนใหญ่ควรได้อะไรมากกว่าความเป็นจริงที่ว่า.....




* ตามหลังจ่าฝูงเชลซี 15 คะแนนทั้งที่การแข่งขันยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของเส้นทาง

* 17 คะแนนจาก 12 นัด คือผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 32 ปี

* แพ้เกมลีกคาบ้านนัดแรกในรอบ 24 นัด

* จาก 15 นัดหลังสุดที่เจอแมนฯ ยูฯ สะกดคำว่า "ชนะ" ได้เพียง "นัดเดียว"




ไม่ว่าจะเล่นดี เล่นแย่ ฝนตก ฟ้าร้อง เหนี่ยวไก่หายไม่หาย อาร์เซน่อลก็คือฝ่ายที่ต้องผิดหวัง

ได้เล่นในบ้านและเจอแมนฯ ยูไนเต็ดในวันที่กองหลังห่วยแตกที่สุด อาร์แซน เวนเกอร์ ยังกล้าๆ พาทีมแพ้

พูดได้เต็มปากเลยว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้า เราคงไม่ได้เห็นกองหลังผีแดงลงสนามแล้วทำให้แฟนบอลตัวเองกุมขมับมากเท่านี้อีกแล้ว

นี่คือโอกาสที่ดีของอาร์เซน่อลในการหาจุดเปลี่ยนเพื่อพาทีมกลับสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

อาจจะไม่ถึงขั้นลุ้นแชมป์ แต่ทำให้การไล่ล่าพื้นที่ท็อปโฟร์มั่นคงมากขึ้น

และก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าเจอทีมใหญ่ก็ชนะได้เช่นกัน ไม่ใช่แข้งขาอ่อนแล้วก็โดนสอนบอลจนแพ้แบบสู้ไม่ได้

แต่อาร์เซน่อลก็ฉกฉวยโอกาสทองของตัวเองไม่ได้




แมนฯ ยูไนเต็ดขึ้นนำ 1-0 ทั้งที่ยังไม่ได้ยิงบอล "เข้ากรอบ" แม้แต่ครั้งเดียว

ด้วยกองหลังผีแดงชุดนี้ อาร์เซน่อลควรจะนำไปก่อน 2-3 ลูกตั้งแต่ 45 นาทีแรกด้วยซ้ำ
แจ็ค วิลเชียร์ ควรจะเป็นฮีโร่ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำจากจังหวะหลุดเดี่ยวแบบนั้น ไม่ใช่ติดเซฟ

ดาบิด เด เคอา สมควรเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ แต่นายทวารสแปนิชก็ไม่ได้ซูเปอร์เซฟชนิดที่ว่าเหินหาวพุ่งปัดออกจากสามเหลี่ยมหรือโคนเสา

มีเพียงลูกตีไข่แตกของ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลูกเดียวที่ห่างตัวและปัดได้เพียงปลายมือ

ที่เหลือเป็นอาร์เซน่อลเองที่ยิงไม่ดีหรือไม่เข้ามุมมากพอ






ความเฉียบขาดหน้าปากประตูคือสิ่งที่ เวนเกอร์ ยังหาทางแก้ไขไม่ได้นับตั้งแต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ย้ายไปร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด

แดนนี่ เวลเบ็ค ทำได้ดีกว่าถ้าเทียบกับอดีตฮีโร่ชาวดัตช์ที่กลับมาเยือนถิ่นเก่าในเกมนี้

แต่หากสุดท้ายเขาไม่สามารถยิงประตูหรือพาทีมชนะได้มันก็ไม่มีความหมาย

หลายคนพอใจผลงานส่วนตัว แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้คือผลการแข่งขัน

เหมือนกับที่อาร์เซน่อลครองบอลเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ แต่จบด้วยการแพ้คาบ้าน อันดับในตารางกราวรูดลงต่อเนื่อง




จากโอกาสมากมายที่มี เวลเบ็ค น่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อตอกกลับคำเย้ยหยันของ หลุยส์ ฟาน กัล ว่าเขามีดีกว่าที่คิด และทำให้คนที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เห็นว่าพลาดแล้วที่เฉดหัวเขาทิ้ง

หลังสิ้นเสียงนกหวีดเขาได้รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยในการที่จะลบคำสบประมาท และคงต้องพยายามให้มากยิ่งกว่านี้

ความพยายามของเวลเบ็คที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง หรือ อเล็กซิส ซานเชซ และ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ที่วิ่งเป็นม้ายังไม่มากพอสำหรับชัยชนะในสนามที่บางนัดก็ต้องอิงแอบกับเรื่องของโชคลาง

อาร์เซน่อลโชคไม่ดีที่ วอยเชียจ เชสนี่ย์ กับ คีแรน กิ๊บบ์ส ชนกันเองและจังหวะต่อเนื่องยังเป็น กิ๊บบ์ส ที่สกัดผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเองสงเคราะห์ให้แมนฯ ยูฯ ขึ้นนำ




แต่ทำไมทั้งคู่ถึงสื่อสารกันผิดพลาดทั้งที่เล่นด้วยกันมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และรู้จักกันมานานกว่านั้น

มีโอกาสแต่ทำไม่ได้ แถมยังมาเสียประตูแบบไม่น่าเสีย สิ่งที่แย่กว่าสกอร์ที่ตกเป็นรองคือ "กำลังใจ" ที่โดนทำลาย

ในวันที่เล่นแย่ ทุกคนเข้าใจได้ถึงความพ่ายแพ้อันน่าสมควร แต่ในวันที่ทำได้ดีกลับไม่มีเทพีแห่งโชคยืนเคียงข้าง

ไม่ชนะแมนฯ ยูไนเต็ดนัดนี้ แล้วคิดว่าอีกพี่ภพชาติถึงจะมีโอกาส




ประตูแรกที่เสีย เวนเกอร์ อาจจะโทษอย่างอื่นเหมือนกับที่เคยทำมาตลอดได้ แต่ท้ายที่สุดเขาคือคนที่ต้องรับผิดชอบ

ประตู 2-0 ของ เวย์น รูนี่ย์ และน่าจะเป็น 3-0 จาก อังเคล ดิ มาเรีย คือบทเรียนที่อาร์เซน่อลไม่เคยหลาบจำ

เกมเสมออันเดอร์เลชท์ ต่อด้วยโดนสวอนซีแซงชนะ และล่าสุดกับแมฯ ยูไนเต็ดต่างปัญหาเดียวกันคือ "ไม่สามารถรับมือกับเกมโต้กลับได้"

3 นัดติดต่อกันที่แข้งปืนใหญ่โดนลงโทษด้วยความผิดเดิมๆ




หากเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ อย่าว่าแต่เกิดขึ้นซ้ำสามเลย แค่ซ้ำสองยังไม่มีด้วยซ้ำ

ทุกคนเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ แต่เวนเกอร์ไม่เคย และยังดื้อดึงไม่ฟังเสียงทั้งนั้น

เขาทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับต้องใช้ แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ จับคู่กับ นาโช่ มอนเรอัล ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟมาตลอดนับตั้งแต่ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ เจ็บหนัก

แต่ทั้งคู่ต่างก็มีขีดข้อจำกัดของตัวเอง

คนหนึ่งช้า ลืมไปได้หากโดนโต้กลับ ต่อให้ออกตัวก่อนก็ตกเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ดี

อีกคนก็ไม่ใช่เซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพ รูปร่างเสียเปรียบ ไม่มีความแข็งแกร่ง พยายามอย่างเต็มที่แต่ก็ได้ตามศักยภาพที่ตัวเองมี

อย่าโทษ แมร์เตซัคเกอร์ กับ มอนเรอัล เลย คนที่ต้องโทษคือ "เวนเกอร์"




ไม่มีใครรู้ว่า กอสซิแอลนี่ จะเจ็บนานกว่าที่คิดเช่นเดียวกับ มาติเยอ เดบูชี่ ทำให้แผงแนวรับมีข้อจำกัด

แต่หากเวนเกอร์เตรียมตัวให้ดีก่อนตลาดซื้อขายปิดตัวลง เขาจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้แน่นอน

ปล่อย โธมัส แฟร์มาเล่น ออกไป แต่ไม่ดึงใครมาเพิ่ม เหลือเซนเตอร์แท้ๆ เพียงแค่ 2 คน

ทำไมถึงคิดว่าขุมกำลังที่มีอยู่เพียงพอต่อการลงสนามทั้งฤดูกาล

และหากคิดว่า คาลั่ม แชมเบอร์ส สามารถพัฒนาตัวเองให้เอาดีในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางได้

"ทำไมถึงไม่ให้โอกาส"




คำถามวนไปวนมาอยู่อย่างนี้

เห็นกันอยู่ว่า แมร์เตซัคเกอร์ กับ มอนเรอัล ไม่สามารถรับมือเกมรุกคู่แข่งได้ แต่ก็ไม่ปรับเปลี่ยน

กล้าๆ ปรับไปเลยให้ แชมเบอร์ส เข้ามายืนตรงกลาง และส่ง เฮคเตอร์ เบลเลริน ลงเล่นแบ็กขวา

เวนเกอร์ ไม่รู้สึกมั่นใจหากต้องใช้ดาวรุ่งถึง 2 คนใน 4 แนวรับ แต่ที่จัดตัวลงทุกวันนี้มันดีกว่าตรงไหน

คิดว่ากองหลังตัวเองมีทางเลือกน้อย แต่ลองมองไปที่แมนฯ ยูไนเต็ดสิ แย่กว่าเสียอีก




นักเตะอย่าง คริส สมอลลิ่ง ยังต้องรับบทพี่ใหญ่คอยประคองน้องๆ

ฟาน กัล ยอมกลับมาเล่นระบบ 3 กองหลังอีกครั้งทั้งที่เคยโดนวิจารณ์ในช่วงต้นฤดูกาลเพราะรู้ว่าหากยืนกันแค่ 2 คนคงรับมือไม่ไหว

ทีมมีปัญหาก็ลองปรับเปลี่ยน หาทางออกที่ดีที่สุด ผลลัพท์ที่ได้มัน 50-50 คือ แย่กว่าเดิม หรือ ดีขึ้น แต่กุนซือดัตช์ก็กล้าเสี่ยง ตรงกันข้ามกับเวนเกอร์ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเหมือนเดิม

สุดท้ายก็โดนลงโทษ แผลที่เน่าอยู่แล้วยิ่งเละไปกันใหญ่




ในวันที่ร่างกายสมบูรณ์ก็ยังดูแข็งแรงน้อยกว่าเชลซีและแมนฯ ซิตี้ แต่นี่สภาพราวกับคนป่วย แถมเป็นคนป่วยที่ไม่ยอมกินยา ไม่ฟังคำแนะนำของหมอใดๆ ทั้งสิ้น

ทุกทีมล้วนมีวันที่บางจังหวะรูปเกมอะไรไม่เป็นใจ เสียประตูแบบง่ายๆ อ่อนหัด แต่สิ่งที่จะแยกแยะว่าทีมไหน "ของจริง" หรือ "ของปลอม" คือศักยภาพที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

แผนนี้ไม่เวิร์ก ก็ลองอีกแผน อะไรไม่เข้าท่าต้องเปลี่ยนทันที

สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยมากกับอาร์เซน่อล

แผนเดียวของ เวนเกอร์ คือต่อบอลตามช่องไปเรื่อย เล่นในสไตล์เดิมจนขึ้นอื่นจับทางได้หมดแล้ว




ฟุตบอลสไตล์นี้เคยทำให้อาร์เซน่อลของ เวนเกอร์ ได้รับเสียงชื่นชมและปรบมือจากทั่วสารทิศ แต่นั่นคือเรื่องในอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่คิดว่าดีในวันวานไม่ได้หมายความว่าจะยังคงใช้การได้ในวันนี้

ทุกอย่างมีช่วงเวลาของมัน เหมือนกับอาร์เซน่อลที่อยู่ในช่วง "ขาลง" อย่างแท้จริง

ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า เวนเกอร์ จะอยู่ครบสัญญา 3 ปีที่เซ็นไว้หลังได้แชมป์เอฟเอ คัพ ฤดูกาลก่อนหรือไม่

รู้แต่ว่าเขาเดินมาถึงปลายทางเต็มที




ยิ่งนานวันเรายิ่งโหยหาวันชื่นคืนสุขที่เคยยิ่งใหญ่ ย่างกรายไปทางใดก็มีแต่คนยำเกรง กลายเป็นนักเลงปืนโตที่ไม่เคยกลัวใคร

ในวันที่อะไรก็ไม่เป็นใจ เรายิ่งนึกถึงอดีตที่เคยหอมหวาน ใครก็อยากย้อนเวลากลับไป

วันนี้เสียงตะโกน "เอาอาร์เซน่อลเราคืนมา" ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง

เวนเกอร์เคยพาทีมเป็นแชมป์ได้มากมาย, ผลักดันสนามใหม่ให้เกิดขึ้น, ปั้นดาวขึ้นมาจากก้อนดิน, เป็นมากกว่าผู้จัดการทีมข้างสนาม ฯลฯ

แต่ก่อนที่กุนซือชาวฝรั่งเศสย่างกรายมาที่สโมสรเมื่อ 18 ปีก่อน ทีมปืนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบที่ว่านี้เลยสักนิด




หากนี่คือปลายทาง ใกล้ถึงวันอำลา เวนเกอร์ก็คงทำในสิ่งที่แฟนบอลกำลังเรียกร้อง

หอบหิ้วอาร์เซน่อลเดิมๆ กลับคืนมา

"นี่ไงทีมของพวกคุณ"



Credit : siamsport.co.th บทความโดย เสือเตี้ย , dailymail.co.uk
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกบอร์ด >> "เอาอาร์เซน่อลเราคืนมา"
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel