ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Nov 2006
ตอบ: 676
ที่อยู่: ที่ตรงนั้นอยู่ตรงนี้
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:20
ถูกแบนแล้ว
กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)

สวัสดีครับเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกท่าน จขกท.เองประจำอยู่ห้องหว้ากอและศุภชลาศัย
แต่วันนี้อยากขอลองตั้งกระทู้ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กขี้ยา ที่ขี้ยาจริงๆคนหนึ่ง ในรูปแบบของเรื่องสั้นให้เพื่อนๆในนี้ลองพิจารณาอ่านกันดูครับ

ปกติจขกท.จะตั้งกระทู้เกี่ยวกับยาเสพติดแบบเจาะลึกในห้องหว้ากอครับ แนววิทยาศาสตร์

จึงคิดว่าอาจจะพลาดมุมมองเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับยาเสพติดเรื่องอื่นๆที่หลายท่านไม่เคยรู้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์เพียวๆ

เลยอยากลองถ่ายทอดออกมาแบบวรรณกรรมแทน เพราะจะได้ประสบการณ์และรายละเอียดของโลกแห่งยาเสพติดครบทุกมุมมอง

จุดประสงค์เพื่ออยากให้ผู้อ่านรู้ถึงความน่ากลัวของมัน(ยาเสพติด)และความน่ากลัวของวงการนี้ ที่อาจจะหาอ่านได้ไม่ง่ายนัก

ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

ช่วยกันติชมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


NOTE : พอดีผมเปลี่ยนชื่อเรื่องสั้นใหม่ เลยขออนุญาตตั้งกระทู้ใหม่นะครับ ขอบคุณครับ

_______________________________________________________________


ตอนที่ #1 ... ทางเดิน


คุณว่าเงิน 500 บาท เยอะไหม?



คำตอบของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะฐานะหรือความยากดีมีจน แต่ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่คุณต้องเสียเงินนั้นไป

ถ้าเป็นเพราะต้องเสียค่ารักษาชีวิตคนที่คุณรัก 500 บาท คงถูกมาก

ถ้าเป็นเพราะต้องจ่ายค่าอาหารดีๆสักมื้อ 500 บาท ก็ยังคุ้มค่า

ถ้าเป็นเพราะเผลอทำหล่นหายไป 500 บาท มีค่าน่าเสียดายจัง

...แต่สำหรับผมแล้ว เงิน 500 บาทนี้ เป็นก้าวแรกสู่โลกยาเสพติดของผม


มันเริ่มขึ้นจากปัญหาชีวิตเด็กวัยรุ่นที่รุมเร้าในช่วงมหาวิทยาลัยมากมายหลายเรื่อง เล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่เรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษย์โลกเราคือเรื่อง"ความรัก"



ผมอกหักครับ .....



แต่ช้าก่อน...ผมไม่ได้บอกว่าการอกหักหรือความรักคือสาเหตุที่ทำให้ผมติดยานะครับ สาเหตุของการติดยาคืออะไรนั้น ถ้าคุณอ่านไดอารี่ของผมไปเรื่อยๆเดี๋ยวคุณจะรู้เองครับ
อาการอกหักมันแย่ขนาดไหน? ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจ เพราะน้อยคนนักที่จะไม่เคยเข้าใจมัน
แต่อาการอกหักของผมมันมาพร้อมกับปัญหาเรื่องการเรียน สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ท่านฝากความหวังไว้กับลูกซึ่งเป็นดั่งดวงใจของท่าน
แต่ผมกำลังจะทำให้ท่านผิดหวัง



ใช่ครับ .... ผมกำลังจะเรียนไม่จบ



ณ ห้วงเวลานั้น สำหรับเด็กหนุ่มอายุ 20 ที่ถือว่าบรรลุนิติภาวะทางกฎหมายแล้ว แต่กลับยังไม่บรรลุนิติภาวะทางปัญญา

ผู้ชายส่วนใหญ่เวลาอกหักมักจะพบรักกับเหล้า เผอิญว่าผมก็ด้วยสิ



ครับ .... ผมแก้ปัญหาด้วยการดื่มเหล้า



ดื่มเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดและลืมเรื่องเครียดๆในสมอง ซึ่งมันก็ได้ผล แต่ได้ผลอยู่แค่ไม่นาน แถมอาการข้างเคียงของมันยังทรมานอย่างมากด้วย
ทรมานตัวผมเอง เพราะเวลาเมาจนอ้วกเนี่ยมันทรมานสุดๆ ตื่นมาเมาค้างทรมานยิ่งกว่าอีก
ทรมานเพื่อนของผม เพราะแทนที่พวกมันจะได้สนุกกัน กลับต้องมาคอยหิ้วร่างคนเมาปลิ้นที่บางทีเลอะอ้วกด้วยมาทิ้งลงบนเตียง


วันหนึ่ง เก๋ เพื่อนผู้หญิงที่ผมรู้จักกันเพราะเป็นเพื่อนของเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มอีกที เก๋มาหาเพื่อนสาวของเธอซึ่งก็คือเพื่อนของผมนี่แหละ
ปกติแล้วเก๋จะไม่ได้พักอยู่แถวๆมหาวิทยาลัยของผมหรอก แต่อยู่คนละมุมโลกกันเลย ถ้าเปรียบในกรุงเทพฯก็เหมือนรังสิตกับพระประแดงน่ะครับ
บังเอิญว่าวันนั้นผมเมาค้างเดินสะโหลสะเหลไปหาอะไรกินใต้หอเพื่อนผมพอดี แล้วบังเอิญได้เจอกับเก๋ เราเลยนั่งคุยกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนาน
เมื่อเก๋ได้ฟังถึงสาเหตุที่ผมไปเมาค้างอ้วกแตกอ้วกแตนมา เธอรับฟังอย่างเข้าใจ และให้คำแนะนำที่ผมไม่เคยได้จากใครมาก่อน

ปกติแล้วเวลาอกหัก เพื่อนๆมักจะแนะนำว่า.....


ทำใจนะ.....เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็ดีขึ้น

ป่ะ...ไปกินเหล้ากัน จะได้ลืม

หาใหม่ดิ..คนเค้าไม่รักแล้วจะมานั่งเศร้าทำไม


แต่คำแนะนำของเก๋นั้น ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เธอแนะนำผมว่า "คืนนี้กูจะไปตี้ยาแถวคลอง 6 ลองไปดูป่ะ?" (ตี้ คือ ไปปาตี้ยาเสพติดครับ)

".....................................เฮ้ยยย....แรงไปป่ะ เล่นยาเลยเหรอวะ" ผมตกใจ

"ไม่หรอกน่า...เมิงไปกินเหล้าเมาเหมือนหมา อกหักก็ไม่หาย แถมเมาค้างทรมานอีก ลองของกูนี่ ลองดู ครั้งเดียวไม่ติดหรอก" เก๋เริ่มหว่านล้อมหาเพื่อนไป

"แล้วตี้ยานี่ยาไรวะ?" ผมถาม เพราะเคยรู้มาเหมือนกันว่ามันก็เล่นยานะ แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันเล่นยาอะไร

"สเก็ต" เก๋ตอบสั้นๆ

"อะไรวะ สเก็ต" ผมงง

"ไอซ์ไงเมิง (ยาไอซ์-เมทแอมเฟตามีน) โหย สุดยอด เนี่ยกูรับรองเลยถ้าเมิงลองไปเล่นดูเดี๋ยวเมิงจะติดใจ รับรองหายเครียดชัวร์" เธอตอบคำถามพร้อมกับชวนผม

"แล้วมันไม่ติดเหรอวะ" คำถามยอดฮิตของคนไม่เคยลองยาเสพติด

"ไม่ติดหรอกเมิง ลองครั้งเดียวไม่ติดแน่นอน" เก๋คอนเฟิร์ม

"แพงป่าววะ" ผมกลัวแพง เพราะตอนนั้นผมยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่

"ก็ถ้าเมิงลองไปเล่นดู เมิงช่วยกูออกแค่ 500 ก็พอ เดี๋ยวที่เหลือกูจัดการเอง" เก๋ตอบ

"แพงว่ะ ตั้ง 500 ไปกินเหล้าได้ตั้งหลายวัน" ปกติเวลาผมไปกินเหล้าที่ผับแถวมหาลัยจะหารค่าเหล้ากับเพื่อนๆ ตกคนละ 100-200 บาทต่อครั้งเท่านั้น

"โอ๊ย นี่ถูกแล้วนะเมิง เดี๋ยวเมิงไปลองแล้วจะติดใจ มันเป็นฟีล(ความรู้สึก)ที่เมิงไม่เคยมาก่อนแน่นอน แล้วพี่คนที่เค้าจัดตี้ให้กูนะ เค้าขาใหญ่เดี๋ยวเค้าก็แถมนู่นแถมนี่ให้เมิงเองแหละ"

ผมเริ่มลังเลใจ ความคิดในสมองสับสนปนเปไปหมด กลัวติดก็กลัว เสียดายเงินก็เสียดาย กลัวว่ามันจะหลอกเราไปฆ่าป่าววะ 555+

ผมคิดอยู่นาน ในขณะที่ยัยเก๋ก็รบเร้าผมอยู่ตลอด เพราะเธออยากหาเพื่อนไปด้วย

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจแล้ว ..........................................................................


"ตกลง 500 นะเมิง ไม่มีเพิ่มแล้วนะ แพงฉิบ" ผมบ่นอุบ พลางยื่นแบงค์ 500 ให้เก๋ไป

"เออ จัดให้ ป่ะไปกัน" เธอรับเงินพร้อมกับเตรียมตัวลงจากห้องเพื่อนผมไปขึ้นรถแท็กซี่

และแท็กซี่คันนั้นก็คือพาหนะที่กำลังจะพาผมเข้าสู่โลกของยาเสพติด



แท็กซี่ขับพาเราออกจากรังสิตมาจนถึงย่านคลอง 6 ใช้เวลาราวๆ 25 นาที

หอพักและอพาร์ทเมนต์ต่างๆตั้งชิดกันอย่างหนาแน่นเรียงเป็นแถว รถแท็กซี่ที่ผมกับเก๋นั่งจอดลงตรงหน้าร้านเกมส์ออนไลน์ร้านหนึ่ง ผมกับเก๋ลงจากรถก็พบกับวงเหล้าวงหนึ่ง มีสมาชิกในวงประมาณ 4-5 คนพูดคุยกันเสียงดังเอะอะ

อ๋อ..ใช่สินี่มันตี 2 กว่าแล้วนี่ ผับแถวนี้ปิดหมดแล้ว ผมคิดในใจ เพราะปกติผับแถวมหาวิทยาลัยมักจะปิดแค่เที่ยงคืนถึงตี 1

"ป๋า หวัดดีค่ะ" เก๋ยกมือไหว้ผู้ชายรูปร่างเตี้ยไม่อ้วนไม่ผอมใส่เสื้อกล้ามสีขาวกางเกงยีนส์ แอบมีพุงพลุ้ยโผล่ให้เห็น กะด้วยสายตาอายุน่าจะสัก 40 ได้
"เออ เดี๋ยวรอเดี๋ยว" ชายที่เก๋เรียกว่าป๋าตอบพร้อมกับยกแก้วเหล้ายื่นให้เก๋

"ป๋า นี่เพื่อนหนู ชื่อ.......(ผมเอง)" เก๋แนะนำผมให้ป๋ารู้จัก ผมยกมือไหว้แทนคำทักทาย

"เออ หวัดดี เดี๋ยวรอแป๊ปนึงนะ ขอกินเหล้าก่อน" ป๋าตอบกลับมา แล้วเราสองคนก็เข้าไปนั่งร่วมในวงเหล้าด้วย แต่ผมไม่ได้กินหรอกครับ แค่จิบๆ คงเพราะเอียนรสชาติเหล้าล่ะมั้ง ก็เล่นกินซะเมาอ้วกเมาค้างขนาดนั้นนี่นา

เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ จนผมเริ่มเบื่อ เลยแอบสะกิดถามเก๋ว่าเมื่อไหร่ป๋าจะพาไป"ตี้"ซะที(วะ) เก๋เองก็คงเบื่อเหมือนผม ก็แหงล่ะ ให้มานั่งกินเหล้ากับใครก็ไม่รู้ มันจะไปสนุกได้ไง เธอเลยเลียบๆเคียงๆถามป๋าว่าเมื่อไหร่จะไป"ตี้"กัน แต่ก็ไม่ได้ถามตรงๆ คงเพราะเกรงใจป๋ามั้ง

เออ...ผมลืมบอกไป ว่าตอนที่ป๋าแกกินเหล้าเฮฮาอยู่ ตอนแกเลิกเสื้อขึ้น ผมเห็นปืนด้วยแหละ ป๋าพกปืนด้วยเว้ยเฮ้ย

ประมาณสิบนาทีต่อมา ก็ได้เวลาเดินเข้าสู่เวทียานรกของผมอย่างเต็มตัว ป๋าร่ำลาเพื่อนฝูงในวงเหล้า ก่อนจะเดินนำผมกับเก๋มายังหน้าอพาร์ทเมนต์สูง 5 ชั้นและเราทั้ง 3 คนก็ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่ 5
ขณะขึ้นลิฟท์ใจผมเต้นตึกตัก คงเพราะตื่นเต้นที่จะได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ นั่นสินะ มนุษย์เราทุกคนก็มักจะตื่นเต้นเวลาได้เจออะไรแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนอยู่แล้ว

ลิฟท์เปิดออก เราเดินออกมาบนทางเดินที่ค่อนข้างมืด ไฟไม่สว่างเลย นี่ถ้าเป็นตอนกลางวันก็คงจะสว่างกว่านี้ไม่มากเท่าไหร่หรอก
ห้องที่นี่ก็เบียดเสียดอยู่ชิดติดกัน ดูทึบๆอีกต่างหาก อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่มันช่างเหมาะที่จะใช้เป็นสถานที่สำหรับ"ตี้"ยาจริงๆ

แล้วเราทั้งสามก็มาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ไม่มีตาแมว มองจากใต้พื้นห้องแล้วไฟปิดอยู่ ท่าทางคงไม่มีคนอยู่ ผมคิดในใจ

ป๋าไขกุญแจเข้าไปโดยให้เราสองคนเข้าไปก่อน ก่อนที่แกจะปิดประตูแล้วล็อคทั้งลูกบิดและลงกลอน ตอนที่ป๋าปิดประตูผมหันไปมองเห็นบริเวณประตูมีแถบกาวสีดำสนิทปิดทับแถบโฟมที่ตัดเป็นเส้นยาวๆตามแนวขอบของประตูทั้งบาน ทั้งข้างบน ข้างล่าง และด้านข้างทั้งสองข้าง
มิน่าล่ะ ถึงไม่มีแสงไฟลอดออกมาเลย แม้ว่าจะเปิดไฟในห้องสว่างเพียงใด ถ้าคนข้างนอกมายืนอยู่ก็คงไม่รู้ว่าในนี้เปิดไฟ
แถมการปิดระบายช่องว่างอย่างแน่นหนาแบบนี้ยังสามารถป้องกัน"เสียง"และ"กลิ่น"เล็ดลอดออกไปข้างนอกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ผมคิด

ภายในห้องมีเตียงนอนขนาด 6 ฟุต โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น เตาไมโครเวฟและเครื่องปรับอากาศ แต่ไม่ค่อยมีอุปกรณ์จุกจิกอย่างอื่นเช่นพวกไม้กวาด หรือตะกร้าใส่เสื้อผ้าวางอยู่เลย สงสัยปกติห้องนี้คงไม่ใช่ห้องนอนของป๋าแน่ๆ

"เอ้า นั่งก่อน " ป๋าบอกเรา พร้อมกับไขกุญแจลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนหยิบของสิ่งหนึ่งหน้าตาแปลกๆออกมาวางบนโต๊ะ ทันทีที่เห็นมัน เก๋ลุกขึ้นไปนั่งข้างป๋าทันที คล้ายกับดูสนใจเจ้าสิ่งนั้นเหลือเกิน ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร?



จบตอน 1 ทางเดิน




**********************************************************

ตอนที่#2... ห้องทดลอง


อุปกรณ์หน้าตาประหลาดวางอยู่บนโต๊ะ ตรงหน้าเก๋และป๋า รวมทั้งผม

ถึงแม้ว่าผมจะเรียนจบสายศิลป์ตอนมัธยมปลาย แต่ว่าก็เคยทำการทดลองในห้องวิทยาศาสตร์สมัยมัธยมต้นนะ ผมว่าหน้าตามันคล้ายๆอุปกรณ์ทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ยังไงยังงั้น

ลักษณะของเจ้าสิ่งนั้นมันเป็นขวดแก้วปากแคบแต่ก้นป่อง สูงประมาณ 15 เซ็นติเมตร ใหญ่พอเอามือกำได้ ข้างในขวดมีน้ำเปล่าใสๆ ใส่อยู่เล็กน้อย
ตรงปากขวดเสียบไว้ด้วยจุกยางสีดำ บนจุกยางมีรูอยู่สองรู
รูหนึ่งมีหลอดแก้วรูปร่างเหมือนตัว L เสียบอยู่ ตรงปลายหลอดแก้วส่วนที่โผล่ออกมานอกขวด มีหลอดแก้วขนาดยาวสัก 10 เซ็นติเมตรอีกหลอดต่อพ่วงอยู่ ส่วนปลายหลอดอีกด้านจุ่มลงในน้ำ
ส่วนอีกรูหนึ่งมีหลอดดูดน้ำที่งอได้ปักอยู่

เอ..................มันเอาไว้ทำอะไรหว่า?? หรือเอาไว้เสพยา ต้องยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้เลยเหรอ? ผมแอบสงสัยในใจ

ทั้งสองคนดูสนอกสนใจกับการตระเตรียมอุปกรณ์เบื้องหน้า โดยเฉพาะเก๋ เธอดูลุกลี้ลุกลนกระสับกระส่ายคล้ายกำลัง"ต้องการ"อะไรบางอย่างเหลือเกิน

ผมนั่งรออย่างใจเย็น พลางสนใจดูการเตรียมงานปาร์ตี้ของเก๋และป๋าไปด้วย

เมื่อการเตรียมการเสร็จสิ้นลง งานปาร์ตี้ก็พร้อมแล้ว ป๋าหยิบซองยาซิปล็อกใบจิ๋วออกมา จากนั้นยื่นให้ผมดู แล้วแนะนำผมให้รู้จักกับของที่อยู่ข้างใน

"นี่ก็ประมาณครึ่งจี" ป๋าบอกผม ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ครึ่งจีเนี่ยมันคืออะไร รู้แค่ว่าเพื่อนใหม่ที่ผมเพิ่งรู้จักมันคือ "ยาไอซ์"

ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอครับ

ก็เพราะลักษณะของมันเหมือนเกล็ดน้ำแข็งเกล็ดเล็กๆบดละเอียดแต่ไม่ถึงกับเป็นผงนะ

ช่างเข้าใจตั้งชื่อให้ซะจริง ........ ยาไอซ์ = น้ำแข็งป่น หุหุหุ

จากนั้นป๋าก็หยิบหลอดยาคูลต์เล็กๆ ที่ตรงปลายถูกตัดแต่งให้มีลักษณะคล้ายช้อนจิ๋ว ค่อยๆบรรจงตักน้ำแข็ง เอ๊ยย!! ยาไอซ์ในซองอย่างระมัดระวัง ใส่ลงในหลอดแก้วส่วนที่ยื่นออกมานอกขวดแก้ว

"ไหน ไฟ .............. เก๋ หยิบไฟให้ป๋าหน่อย" ป๋าว่าพลางยื่นมือชี้ไปที่ไฟแช็กรูปร่างประหลาด(อีกแล้ว)

ไฟแช็กอันนั้นมันไม่เหมือนไฟแช็กที่ผมเคยเห็นทั่วไป ขนาดของมันใหญ่กว่าไฟแช็กทั่วไป ตรงส่วนหัวเป็นแท่งตรงๆยาวขึ้นไปประมาณ 1 นิ้ว
ส่วนที่จุดเป็นแบบกด แถมแก๊สข้างในก็เยอะกว่าไฟแช็กทั่วๆไปมาก ประหลาดจัง ผมต้องอึ้งอีกครั้ง

และการจุดไฟแช็กนั้นก็ต้องให้คนช่วยจุดอีกต่างหาก เก๋ใช้ไฟแช็กธรรมดา(แบบที่เราเห็นทั่วๆไปอันละ 10 บาท) จุดขึ้น จากนั้นป๋าก็เอาไฟแช็กประหลาดนั่นเข้ามาจ่อ แล้วไฟสีน้ำเงินเล็กๆเท่าหัวเข็มหมุดก็ผุดขึ้นตรงปลายแท่งเหล็ก

โอ้..............................มันเป็นอย่างนี้นี่เอง คงต้องการไฟเบาๆ แต่ให้ความร้อนสูง จะได้ไม่ไหม้ (มั้งงงงงงงง)

หลังจากจุดไฟติดเสร็จ ป๋าก็ไม่รีรอ รีบเอาปากอมหลอดดูดน้ำตรงปากขวดไว้เบาๆ มือข้างหนึ่งประคองขวดแก้วไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ไปไหน
ส่วนมืออีกข้างที่ถือไฟสีน้ำเงินนั้น ก็ค่อยๆบรรจงยื่นไปใส่ใต้หลอดแก้วใสที่แกเพิ่งใส่ยาไอซ์เข้าไป แล้วค่อยๆใช้ปลายของเปลวไฟนั้นลนวัตถุที่อยู่ข้างในหลอดแก้ว

วัตถุที่อยู่ในหลอดแก้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นของแข็ง แต่บัดนี้มันได้กลายสภาพเป็นของเหลวใสเมื่อโดนความร้อนของเปลวไฟ

เสร็จแล้วป๋าก็เอาไฟออก แต่ยังไม่ได้ดับ แล้วก็หันกลับมาเรียกเก๋ ให้เข้ามานั่งใกล้ๆแก ตรงโต๊ะ(ทดลอง) 555+

เก๋ไม่รอช้า เธอแทบจะกระโจนเข้าไปเลยล่ะครับ

ผมมองดูด้วยความสนอกสนใจมาก

ทิ้งช่วงประมาณ 5 วินาที เจ้ายาไอซ์ในหลอดแก้วที่ผมเห็นมันเป็นของเหลวใส บัดนี้มันจับตัวกันกลายเป็นผลึกใหญ่ๆเกาะกันอยู่ในหลอดแก้วกระจุกหนึ่ง

โอ๊ะ.............................เย็นไวดีแท้ ผมคิด

เจ้าของปากหลอดดูดน้ำที่ตอนนี้กลายเป็นเก๋แทนป๋า ปากอมหลอดส่วนมือก็ประคองขวด ส่วนป๋าทำหน้าที่ใช้ไฟลนยาในหลอดแก้วให้อย่างเดียว
พอโดนไฟลน เจ้าผลึกน้ำแข็งในหลอดก็เดือดปุดๆและระเหยกลายเป็นควันแทบจะทันที พร้อมกันนั้น เก๋ก็ดูดอากาศเข้าไปในปอดเธอผ่านทางหลอดดูดน้ำนั่น

บุ๋งๆๆๆๆๆๆ เสียงน้ำสั่นไหว

แล้วผมก็เห็นควันที่ระเหยในหลอดแก้ว วิ่งเป็นสายตามแรงดูดของเก๋เข้าไปกองรวมกันหมุนคว้างอยู่ในขวดแก้วจนขุ่นทึบไปหมด
แต่เพียงไม่นาน ควันทั้งหมดในขวดก็ถูกสูบเข้าปอดของเก๋ไป แล้วมันก็ออกมาให้เห็นอีกทีทางปากและจมูกของเก๋

"ซื้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อ้าาาาาาส์ ".............. เสียงเก๋สูดควันอย่างสดชื่น สดชื่นซะจริงๆ

หลังจากนั้นก็ถึงคิวของผม ป๋าเรียกผมให้เข้าไปทดลองแล้ว

โห... ตื่นเต้น

ตอนแรกที่ดูดนั้นผมดูดซะเต็มแรง จึงโดนป๋าอบรมใหม่ว่าให้ค่อยๆสูบเข้าไปเบาๆ พอแล้ว ไม่ใช่สูบกัญชานะ ( เอ้า ก็เค้าไม่เคยนี่..... แหม)

พอทำตามคำแนะนำของอาจารย์ ก็ได้ผลสิครับ ความรู้สึกแรกที่ผมสัมผัสได้ภายหลังที่รับยาไอซ์เข้าไปในร่างกายเป็นครั้งแรกนั้นมันบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยจริงๆ

ความรู้สึกในหัวผมมันโล่งๆ เบาๆ รู้สึกเคลิ้มๆ แต่ไม่เหมือนเคลิ้มเมานะ แต่มันสบายใจและกระชุ่มกระชวยดีแท้ ชักติดใจแล้ว!

จากนั้นเราก็ผลัดกันหมุนเวียนกันสูบควันยาไอซ์ โดยไม่นึกถึงเลยว่าถ้าใครไม่ได้แปรงฟันมานี่คงน่าขยะแขยงเหลือเกิน ก็หลอดๆเดียว แต่ดูดร่วมกันตั้ง 3 คนแน่ะ


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


"####################################"

เสียงโทรศัพท์มือถือของป๋าดังขึ้น แกจึงออกไปคุยโทรศัพท์นอกระเบียง ผ่านไปแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น ป๋าก็กลับเข้ามาแจ้งข่าวพวกเราว่าจะมีสมาชิกมาร่วมปาร์ตี้ด้วยอีก 2 คน

และข่าวดีคือสมาชิกใหม่นี้เขาจะนำ"ของทดลอง"มาให้ผมลองอีกอย่างด้วย


ที่สำคัญ คือ ฟรี!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



จบตอน 2 ห้องทดลอง




**********************************************************

ตอนที่#3... สมอง


ตั้งแต่เกิดมา ในชีวิตผม อบายมุขที่ผมนำเข้าร่างกายก็มีแค่ "สุรา" กับ "บุหรี่" (อย่างหลังเคยลองแค่ไม่กี่ครั้ง)

เคยเล่นไพ่บ้าง แต่ก็แค่เล่นสนุกๆกับเพื่อนๆ ไม่ใช่เอาจริงเอาจังถึงขนาดเข้าบ่อนคาสิโน



เท่าที่ผมทราบมา สมองของคนเรานั้นมี 2 ซีก คือ ซ้าย และ ขวา

ซ้าย ใช้ควบคุมเรื่องความคิดเชิงเหตุผล และตรรกะต่างๆ

ขวา ใช้ควบคุมด้านอารมณ์ ศิลปะ จินตนาการ

แต่ตอนนี้สมองของผมทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง มันรู้สึกเสมือนว่างเปล่า ไร้ซึ่งความเครียด ความทุกข์ ความกังวลใจ และ ความเจ็บปวด ที่ผ่านๆมา เหมือนเรื่องโกหก

และสิ่งที่ขจัดปัดเป่าความรู้สึกไม่ดีต่างๆให้ออกไปจากสมองของผมก็คือ อบายมุขใหม่ล่าสุด

New Entry สำหรับสมอง

ยาไอซ์ - เมทแอมเฟตามีน

สงสัยมั้ยครับ ว่าทำไมยาไอซ์ถึงสามารถบันดาลสิ่งอัศจรรย์เช่นนี้ได้?

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

"ยาไอซ์/ยาบ้า" คืออะไร?

เป็นสารกระตุ้นประสาทในกลุ่ม แอมเฟตามีน

Amphetamine (แอมเฟตามีน) เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของ "ยาบ้า"

Methamphetamine (เมทแอมเฟตามีน) เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของ "ยาไอซ์"

แรกเริ่มเดิมที Amphetamine ถูกสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1887 (ประมาณ 125 ปีก่อน)
ส่วน Methamphetamine นั้นสังเคราะห์ได้ต่อมาในปีค.ศ.1893 (หลังจาก Amphetamine 6 ปี) โดยนักเคมีชื่อ Nagai Nagayoshi
ต่อมาในปีค.ศ.1919 เภสัชกรชื่อ Akira Ogata เป็นผู้สังเคราะห์ Crystal Methamphetamine หรือเมทแอมเฟตามีนในรูปผลึกใสขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยสารตั้งต้นที่ใช้สังเคราะห์คือ "Ephedrine" (ซึ่งเป็นส่วนประกอบของยาแก้คัดจมูกหลายๆยี่ห้อเช่น แอคติเฟด ฯลฯ) ทำปฏิกิริยากับ ฟอสฟอรัสและไอโอดีน
ถึงแม้ว่าการสังเคราะห์ Methamphetamine จะใช้สารเคมีน้อยตัว แต่ปฏิกิริยาของมันรุนแรงและอันตราย จึงต้องทำในแล็บโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น


ในตอนแรก Methamphetamine และ Amphetamine ถูกใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคพาร์คินสัน, รักษาเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น(ADHD), รักษาอาการซึมเศร้า
โดยยังไม่มีใครรู้ว่ามันมีฤทธิ์ข้างเคียงที่น่ากลัว หนึ่งในนั้นคือมันทำให้ "เสพติด" ได้
ต่อมาเมื่อมีการศึกษาเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ Methamphetamine ทำให้รู้ถึงผลข้างเคียงที่อันตรายของมัน จึงประกาศให้มันเป็นยาที่ต้องควบคุมพิเศษ และเป็นสิ่งผิดกฎหมายเมื่อใช้ในทางที่ผิด
ในปัจจุบันมี Methamphetamine ในรูปยาเม็ด ตัวอย่างเช่น ยา desoxyn เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น(ADHD)
แต่อย่าได้คิดว่าจะไปหาซื้อยานี้ตามร้านขายยาเชียวนะ เพราะไม่มีขายแน่นอน ตามโรงพยาบาลหลายๆแห่งก็ไม่มีด้วยซ้ำ
เพราะยาที่ว่านี้จะต้องจ่ายให้โดยจิตแพทย์ ในโรงพยาบาลที่มีแผนกจิตเวชเฉพาะเท่านั้น



ยาบ้ากับยาไอซ์ ต่างกันอย่างไร?

พูดให้เข้าใจง่ายๆ"ยาไอซ์"คือ Methamphetamine (เมทแอมเฟตามีน) ที่มีความบริสุทธิ์สูง (คือมันมีการปนเปื้อนของสารอื่นๆน้อย)

และเนื่องจากมันมีความบริสุทธิ์สูง จึงออกฤทธิ์ได้รุนแรงและอันตรายกว่ายาบ้าในแง่ของ "การทำให้เสพติด"

ส่วน "ยาบ้า นั้นคือ Methamphetamine (เมทแอมเฟตามีน) ที่มีการผสมสารเคมีต่างๆ เช่น คาเฟอีน, กลิ่น, สี, ยาฆ่าแมลง ฯลฯ ตามแต่แหล่งผลิต

ฤทธิ์ของยาบ้ารุนแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับยาไอซ์

แต่อันตรายของมันมาจากสารเคมีต่างๆที่ถูกผสมเข้าไปในยา ทำให้ผู้ใช้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมเห็นได้ชัดเจนกว่าผู้ใช้ยาไอซ์




เมทแอมเฟตามีน และ แอมเฟตามีนนั้นจะเข้าไปกระตุ้นให้"สมอง"หลั่งสารเคมีชนิดหนึ่งออกมามากขึ้น

สารเคมีนั้นชื่อว่า "โดปามีน (Dopamine)"

ในยามปกติสารเคมีตัวนี้จะหลั่งออกมามากเมื่อเราเกิดความ "พึงพอใจ หรือ สุขสมใจ" ทำให้เกิดความรู้สึกสุข ปีติยินดี ไปจนถึงเคลิ้มสุข (Euphoria)

พูดอีกแง่หนึ่งก็คือ สารเคมีตัวนี้ทำหน้าที่ "เพิ่มสุข" ให้กับเจ้าของ

แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆสมองจะหลั่งสารตัวนี้ออกมามากมายได้เองนะครับ จำเป็นต้องมีตัวกระตุ้น อย่างเช่น

มีเซ็กส์

เล่นกีฬาที่เราชอบ

ทานอาหารโปรดรสชาติอร่อย เช่น ไอศกรีม เค้ก ฯลฯ

แต่ตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เจ้ายาไอซ์สามารถทำได้

เซ็กส์ สามารถทำให้สมองหลั่งสารโดปามีนได้มากกว่าปกติถึง 100%

ส่วนกีฬาและอาหารรสอร่อยนั้น สามารถกระตุ้นสมองให้หลั่งเจ้าโดปามีนนี้ได้มากกว่าปกติ 50%



แต่สำหรับยาไอซ์และยาบ้าแล้วนั้น

มันสามารถกระตุ้นสมองเราให้หลั่งสารโดปามีนได้มากกว่าปกติถึง



1,200 % (หนึ่งพันสองร้อยเปอร์เซ็นต์)



ใช่ครับ .............. คุณอ่านไม่ผิดหรอก



ลองคิดดูสิ อะไรที่ดีกว่า "เซ็กส์" ถึง 12 เท่า ในโลกนี้มีอีกมั้ย? ฮ่าฮ่าฮ่า

แต่อย่าลืมครับว่านั่นคือมุมมองเพียงด้านเดียว อีกเดี๋ยวคุณจะได้เห็นมุมมืดแสนน่ากลัวของมันในไดอารี่ของผมแน่นอน


แต่ตอนนี้ผมคงต้องหยุดเล่าเรื่องสมองและวิทยาศาสตร์ก่อนแล้วล่ะครับ

เพราะตอนนี้สมาชิกใหม่มาร่วมปาร์ตี้กับพวกผมแล้ว

ผมขอตัวไปต้อนรับแขกก่อนนะครับ



จบตอน 3 สมอง




**********************************************************

ตอนที่#4... ปาร์ตี้


เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ดึงสติผมที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับความสบายสมองให้กลับมาหยุดอยู่ที่ประตู

ประตูที่ไม่ธรรมดา ประตูที่ถูกปิดกั้นทุกช่องว่างเอาไว้อย่างแน่นหนา จนแสงสว่างไม่อาจส่องผ่านไปได้
อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าแมลงสักตัวจะผ่านเข้ามาได้หรือเปล่า?
และถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศก็คงจะเป็นลมตายกันทั้งห้องไปนานแล้ว

และผลอีกอย่างของความแน่นหนาก็คือ คนที่อยู่ข้างในห้องก็ไม่สามารถรู้ได้เช่นกันว่ามีแขกผู้มาเยือนกี่คน? เพราะอย่างที่ผมบอก ไม่มีตาแมว ไม่มีแม้แต่ช่องให้แสงลอด

ความระแวง จึงบังเกิด

ทันทีที่สิ้นเสียงเคาะประตู ป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมโทรออกไปหาใครบางคนทันที

และในทันทีทันใดเช่นกัน พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นหน้าประตูห้อง พร้อมกับการสนทนากันผ่านทางโทรศัพท์มือถือทั้งๆที่เจ้าของอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึง 3 เมตร

พอป๋าแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ตำรวจ ก็เปิดประตูห้องต้อนรับสมาชิกใหม่สู่งานปาร์ตี้ สมาชิกใหม่มากัน 2 คน ผู้หญิง 1 คน ผู้ชาย 1 คน

"ทำไมมาช้าจังวะ? จะเช้าแล้วนะเนี่ย" ป๋าบ่นกับผู้หญิงที่เดินนำเข้ามาก่อน ขณะที่ผู้ชายกำลังถอดรองเท้าผ้าใบ

ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่เป็นสาวสวยรูปร่างหน้าตาดี แต่ตัวค่อนข้างสูง น่าจะสัก 170 ซม.ได้ ผิวขาว ผมตรงยาวถึงกลางหลัง เธอตอบแก้เก้อไปว่า "ไปเที่ยวมา รอหนมด้วย เลยนานน่ะป๋า"

ผู้ชายอีกคนที่ตอนนี้ถอดรองเท้าผ้าใบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามาพร้อมยกมือขึ้นไหว้ป๋า และยิ้มทักทายพวกผม 2 คน
เขาเป็นหนุ่มรูปร่างสันทัด สูงไล่เลี่ยกับเพื่อนสาวที่มาด้วยกัน ผิวไม่ขาวไม่ดำ หน้าตายังวัยรุ่นอยู่ กะด้วยสายตาน่าจะยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนผม

"นี่ก้อยกับเจน" ป๋าแนะนำสมาชิกใหม่ให้ผมรู้จัก ส่วนเก๋นั้น ท่าทางเธอคงจะรู้จักคุ้นเคยกันดีกับทั้งคู่มาก่อนแล้ว เพราะป๋าไม่ได้แนะนำให้รู้จักเธอ

พี่ก้อย อายุ 24 แล้ว ทำงานเป็นช่างเสริมสวยอยู่แถวคลอง 3

ส่วนเจนนั้น ผมเดาถูกจริงๆด้วย เจนเป็นเด็กมหาวิทยาลัยปี 3 รุ่นราวคราวเดียวกับผม



และไม่รอช้า ป๋าจัดการพาสมาชิกใหม่ทั้งสองเข้าไปทักทายกับ "น้องน้ำแข็ง" หรือยาไอซ์ สมาชิกคนสำคัญที่สุดในห้องนี้

ผ่านไปครู่เดียว พวกเราทั้ง 5 คนก็นั่งคุยกันสนุกเฮฮา ประดุจว่ารู้จักกันมานานนับ 10 ปี ทั้งๆที่ความจริง เพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึง 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ

ฤทธิ์ของยาไอซ์ ทำให้เราอารมณ์ดี ช่างพูดช่างคุย (พูดมาก) และอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องหาอะไรทำ

หลังจากคุยกันจนเมื่อยปากแล้ว พวกเราก็หากิจกรรมทำเพราะฤทธิ์ยาทำให้เราอยู่นิ่งไม่ได้

พี่ก้อยเสนอให้เล่นไพ่กัน

สมาชิกที่เหลือเห็นชอบด้วยมติเอกฉันท์

ผมนั่งเล่นไพ่อย่างเพลิดเพลินอารมณ์ ฟังเพลงเบาๆ พร้อมพูดคุยสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ โดยไม่รู้สึกหิวข้าว สิ่งเดียวที่ต้องกินอยู่ตลอดเวลาเลยก็คือ "น้ำ"

น้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำผลไม้ อะไรที่เป็นน้ำ จะมีคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเปิดตู้เย็นหยิบเอามาดื่มกินกันตลอด

เพิ่งรู้ว่าเวลาเล่นยาไอซ์แล้วมันจะหิวน้ำตลอดเวลา ทำไมนะ?



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



สาเหตุที่ผู้เสพยาไอซ์-ยาบ้า มักมีอาการกระหายน้ำมากกว่าปกตินั้น ต้องอธิบายกันตั้งแต่ระดับ "เซลล์" ขึ้นมาเลยทีเดียว

เมื่อร่างกายได้รับสารเมทแอมเฟตามีนหรือแอมเฟตามีนเข้าไป สมองจะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ให้หลั่งสารเคมีนานาชนิดออกมามากกว่าปกติหลายเท่า

เมื่อสมองถูกกระตุ้น ก็จะส่งสัญญาณไปยังเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ให้เตรียมพร้อมรับการกระตุ้นเพื่อทำกิจกรรมหรือเตรียมทำงานหนัก

เซลล์ต่างๆทั่วทั้งร่างกายจะพร้อมกันขยายตัว เพื่อเตรียมรับงานหนัก ทำให้เลือดเข้มข้นขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ปริมาตรในเซลล์เพิ่มขึ้นจากการดึงเอาน้ำและสารต่างๆจากกระแสเลือดเข้ามาในเซลล์

ร่างกายจึงตอบสนองด้วยอาการกระหายน้ำ

หิวน้ำ แต่ไม่หิวข้าว

สาเหตุที่ไม่หิวข้าว เพราะ ศูนย์อยากอาหารหรือศูนย์หิวในสมองถูกกด ด้วยฤทธิ์ของยาไอซ์

พวกเราจึงสามารถนั่งเล่นไพ่ พูดคุย ทำนู่นทำนี่กันได้โดยไม่รู้สึกหิวหรืออ่อนเพลียเลยแม้แต่น้อย


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ด้วยความที่ในห้องถูกปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้แสงสว่างสามารถส่องถึง แม้แต่หน้าต่างก็ถูกผนึกไว้ด้วยกระดาษหนาสีดำสนิท

มีเพียงแสงสลัวๆ จากโคมไฟสีเหลืองส้ม 2-3 โคมเปิดไว้ให้ได้มองเห็น แต่ผมกลับรู้สึกสบายตากว่าเปิดไฟสว่างสีขาวมากเลย

เพราะยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีนนั้น มีฤทธิ์อีกอย่างหนึ่งคือ มันทำให้ม่านตาขยาย

เมื่อม่านตาขยาย ก็จะทำให้เราไม่กล้าสู้แสง รู้สึกว่าแสงจ้ากว่าปกติมาก เพราะปกติแล้วม่านตาของคนเราจะขยายก็ต่อเมื่อในยามมืดที่มีแสงสว่างน้อยเท่านั้น

ผมเล่นไพ่เพลินจนลืม "เวลา" ไปเลย

นี่มันกี่โมงแล้ววะเนี่ย ผมนึกในใจ พร้อมๆกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูนาฬิกา

ตายล่ะ จะทุ่มนึงแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วอย่างนี้ฟระเนี่ย~!! ผมตกใจ

อันที่จริงในตอนนั้น เรื่องเรียนกลายเป็นเรื่องรองไปแล้วสำหรับผม ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร แม้กระทั่งดูแลตัวเองยังทำไม่ได้เลย เอาแต่เสเพลเที่ยวเตร่ประชดชีวิต

ใช่ครับ พวกเราเล่นไพ่มาราธอนกันมานาน 12 ชั่วโมงกว่าแล้ว โดยไม่แตะต้องอาหารแม้สักคำเดียว!

กินกันแต่น้ำ แล้วก็ผลัดกันลุกเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็ลงมานั่งกองรวมกันที่วงไพ่ แต่ไม่ยักเบื่อแฮะ เพลินดีมากๆด้วย




อาจเพราะเห็นผมดูเวลา พี่ก้อยแกก็เลยคิดว่าผมคงเบื่อ เลยหาอะไรใหม่ๆมาท้าทายผมซะเลย เธอประกาศขอพักการเล่นไพ่ชั่วคราวต่อสมาชิกทุกคน พร้อมกับหยิบของบางอย่างออกมาโชว์พวกเรา

ของสิ่งนั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนยาเม็ดพาราเซตามอลยี่ห้อซาร่า 500 มิลลิกรัม ชนิดเม็ดกลม แต่ขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่ง และสีก็ไม่ใช่สีขาว แต่เป็นสีม่วง

"อะไรอ่ะพี่ก้อย?" ผมถามด้วยความสงสัย

"หนม ลองดู เดี๋ยวจะติดใจ" พี่ก้อยตอบ

"แล้วหนมมันคืออะไรล่ะ?" ผมงง

"ยาอี" คราวนี้เก๋เป็นคนตอบคำถามผมแทน


ยาอี หรือที่ในวงการเรียกว่า "ขนม" ที่พี่ก้อยเอามานั้น มีสีม่วง บรรจุอยู่ในซองยาซิปล็อกซองจิ๋วเหมือนกับซองใส่ยาไอซ์ของป๋าไม่มีผิด มีทั้งหมด 3 เม็ด

"เออดี มาเลย ลองกินขนมดู จะได้สนุกอีกฟีล" ป๋าสนับสนุนการทดลองของผม


พี่ก้อยใช้ให้เจนลงไปซื้อเบียร์ที่ร้านค้าข้างล่างอพาร์ทเมนต์ ครู่เดียวเจนก็กลับขึ้นมาพร้อมเบียร์ 2 ขวดใหญ่

พี่ก้อยแบ่งยาอีเม็ดแรกเป็น 2 ส่วน ก่อนยื่นให้ผมกับเก๋แบ่งกันกินคนละครึ่ง

"อ่ะ กินแค่ครึ่งตัวก่อน เพิ่งเคยลองใช่ป่ะ? ครึ่งเดียวก็ได้ฟีลแล้ว" พี่ก้อยบอกกับผม ส่วนตัวเธอกับเจนก็แบ่งกันคนละครึ่งเม็ด มีแค่ป๋าคนเดียวเท่านั้นที่กินเต็มเม็ด

ผมรับยามาแล้วก็กินมันลงท้องไปพร้อมกับเบียร์อีกหลายอึก

ผมอดตื่นเต้นไม่ได้อีกครั้ง ในใจก็คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะคราวนี้??


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ผ่านไป 20 นาที ผมรู้สึกวูบวาบๆในหัว เพลงที่ฟังมาตลอดบัดนี้มันแปลกๆไป จังหวะมันดูสนุกขึ้นแฮะ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทั้งตัว

พี่ก้อยเอาไฟดิสโก้ดวงเล็กเข้ามาเปิด พร้อมกับปิดไฟในห้องจนมืด แสงไฟหลากสีล่องลอยปนเปกันในอากาศกระทบผนังห้องเป็นสีวูบวาบแปลกตา

มันเกิดอะไรกันขึ้นวะนี่ ?????????????? ผมตื่นเต้น

พี่ก้อยลุกขึ้นเต้นไปตามเสียงเพลง แล้วจับมือผมให้ลุกขึ้นมาเต้นกับเธอ "มา ... มาเต้นกัน ปล่อยไปตามฟีลเลย อย่าคิดไรมาก" เธอบอกพลางเต้นอย่างพลิ้วไหว

ผมเคลิ้มไปตามจังหวะเพลง ไม่นานปาร์ตี้เล่นไพ่ในห้องก็กลายเป็นปาร์ตี้เต้นรำกันท่ามกลางเสียงเพลงและแสงสีสวยงามแปลกตา

ผมมีความสุขจัง.................................................................................................................


จบตอน 4 ปาร์ตี้



**********************************************************

ตอนที่#5.... มิติมายา


จังหวะดนตรีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แสงสีวูบวาบ อารมณ์ที่เคลิบเคลิ้มเป็นสุข จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีอะไรในโลกใบนี้ที่ทำให้รู้สึกดีเท่านี้หรือเปล่า?

พวกเรากอดคอเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ความรู้สึกในใจนั้นช่างรักใคร่ผูกพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ราวกับเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานาน

มันอบอุ่นหัวใจจริงๆ ....

..... หัวใจที่แตกสลายของผม แค่มีสัมผัสอันอบอุ่นนุ่มนวลแบบนี้มาปลอบโยน มันก็แสนจะวิเศษแล้ว


ทั้งๆที่พวกเราก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทกัน แต่ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ได้นะ? ผมสงสัย


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ยาอี (Ecstasy) คืออะไร?

เป็นสารสังเคราะห์ ที่ออกฤทธิ์ทั้งกระตุ้นประสาท (amphetamine - like) และหลอนประสาท (LSD - like)

ยาอี/ยาเลิฟจึงถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของยาไอซ์/ยาบ้า
ปัจจุบันยาอี/ยาเลิฟเป็นยาเสพติดที่กำลังแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น
สาเหตุหลักน่าจะมาจากความเข้าใจผิดที่ว่าเป็นยาที่ให้โทษต่อร่างกายน้อยกว่ายาไอซ์/ยาบ้า

ยาอีนั้นมีโครงสร้างทางเคมีคล้ายกับ เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า/ยาไอซ์ (Methamphetamine/Amphetamine)

แต่มีฤทธิ์ที่รุนแรงกว่าประมาณ 10 เท่า

เมื่อผู้ใช้ยาได้รับยาอี/ยาเลิฟ(MDMA/MDA) เข้าสู่ร่างกาย ยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากเสพเข้าไปภายในเวลา 30 - 45 นาที
ระบบประสาทส่วนกลาง(สมอง)จะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง (ฤทธิ์เหมือนเสพยาไอซ์/ยาบ้าแต่รุนแรงกว่ามาก)

ผู้เสพจะรู้สึกสนุกสนาน มีอารมณ์เป็นสุข (เรียกว่าภาวะ Euphoria เป็นอาการเช่นเดียวกับเสพยาไอซ์/ยาบ้า)

และมีอาการประสาทหลอน ในตอนแรกจะเกิดอาการร้อนวูบวาบหรือหนาวสะท้าน(แล้วแต่คน)

ต่อมาจะเห็นภาพที่ผิดปกติ (Visual Illussion) เช่น เห็นแสงสีวูบวาบแปลกตาผิดปกติไป

ได้ยินเสียงผิดธรรมชาติ (Audiotory Hallucination) ทำให้มักจะใช้เสพเวลาไปเที่ยวสถานบันเทิงที่เปิดดนตรีเสียงดัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดนตรีแนว "House และ Electronic" ที่มันจะดังแบบ "ตื้ดๆ" ซึ่งปัจจุบันมีสถานบันเทิงที่"รู้กัน"ว่าเปิดให้ปาร์ตี้ยาอีตั้งกลางกรุงเทพฯหลายแห่ง

ทำให้ความคิดสับสน หวาดวิตก บางทีก็เกิดรักใคร่ผูกพันธ์กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ร่วมเสพหรือร่วมปาร์ตี้แบบไม่มีเหตุผล (บางครั้งเลยเรียกว่ายาเลิฟ)


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ป๋ากับพี่ก้อยหยุดพักการเต้นรำ แล้วหันมาทำกิจกรรมบางอย่าง

ป๋าหยิบจานแก้วใบเล็กใบหนึ่งขึ้นมา แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดยาสีชาขวดเล็กๆ ขนาดประมาณขวดนมเปรี้ยวราคา 6 บาทออกมาขวดหนึ่ง

จากนั้นก็เทของเหลวสีขาวใสในขวดนั้นลงใส่จาน แล้วเอาเข้าเตาไมโครเวฟ ไม่กี่วินาทีต่อมาของเหลวในจานนั้นก็ได้กลายสภาพมาเป็นผงสีขาวหยาบ


ต่อมาก็เป็นหน้าที่ของพี่ก้อย เธอนำผงสีขาวหยาบนั้น เทลงใส่จานสีดำขนาดใหญ่ที่มีขนาดกว้างกว่า 1 ไม้บรรทัด

จากนั้นใช้บัตรเติมเงินโทรศัพท์ที่ใช้แล้วค่อยๆสับผงหยาบนั้นให้ละเอียด

แล้วค่อยๆบรรจงโกยผงสีขาวละเอียดนั้น มากองรวมกันเป็นกองเดียวในจาน ปริมาณเท่าน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

จากนั้นก็เรียกผมและเก๋ให้เข้าไปทำความรู้จักกับสิ่งที่อยู่ในจานสีดำใบนั้น

"มา .... มาดมเคกัน จะได้ยิ่งสนุก"

อบายมุขตัวล่าสุดที่ผมกำลังจะได้ลองมัน คือ "ยาเค"

อ๋อ..มันเป็นแบบนี้นี่เอง ที่ผ่านๆมาเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยรู้จักหน้าคร่าตา วันนี้ได้เจอตัวจริง ต้องทำความรู้จักให้สนิทสนมซะแล้ว ผมนึกกระหยิ่มในใจ

พี่ก้อยใช้หลอดดูดน้ำ ที่ถูกตัดจนสั้นเหลือแค่ประมาณ 3-4 เซ็นติเมตร ปลายด้านหนึ่งตัดเป็นรูปเฉียง อีกด้านตัดตรงธรรมดา
จากนั้นก็จิ้มปลายหลอดด้านเฉียงใส่กองยาเคนั้น ส่วนปลายหลอดอีกด้านถูกกดไว้ด้วยนิ้ว เพื่อไม่ให้ผงยาหกออกนอกหลอด

แล้วเธอก็บอกให้ผมใช้มือข้างหนึ่งอุดรูจมูกไว้ 1 รู จากนั้นเธอแหย่ปลายหลอดด้านแหลมเข้ามาในรูจมูกด้านที่ไม่ได้ใช้มืออุด แล้วบอกให้ผมสูดหายใจเข้าไปอย่างเร็วและแรงสั้นๆ 1 ครั้ง

..................... ซึ้ด!! ........................


พริบตาเดียว ผงยาทั้งหมดในหลอด ปริมาณประมาณปลายนิ้วก้อย ก็หายเข้าไปในโพรงจมูกของผม มีบางส่วนที่ละลายไหลลงคอ .....รสขมปี๋เลย!!

ต่อมาเธอก็ทำแบบเดียวกันนี้ให้เก๋ ตัวเธอเอง ตามด้วยป๋าและเจน


แป๊บเดียวเท่านั้น ผมรู้สึกมึนหัว ตัวหนัก จากที่เต้นๆอยู่ ก็ลงไปนอนเคลิ้มอยู่บนเตียง และไม่นานนัก สมาชิกที่เคยเต้นรำกัน บัดนี้ลงมานอนนับดาวอยู่บนเตียงกันหมด

มันเคลิ้มแบบมึนๆ เห็นเหมือนดาวระยิบระยับอยู่ในหัว เหมือนหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ที่ไม่ใช่บนโลกนี้ ไม่ใช่ในห้องนี้ มิติมายา


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ยาเค (Ketamine) คืออะไร?

เคตามีน หรือ ยาเค จัดอยู่ในกลุ่มยาสลบ ใช้ในทั้งมนุษย์และสัตว์
ลักษณะเป็นผงผลึกสีขาว มีกลิ่นอ่อนๆเฉพาะตัว ละลายได้ดีในและแอลกอฮอล์
ผลึก หรือ เป็นน้ำบรรจุอยู่ในขวดสีชา

เคตามีนเป็นยาที่มีอันตรายสูงที่แพทย์จะจ่ายให้กับผู้ป่วยเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นจริงเท่านั้น

ยาเคถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์โดยใช้เป็นยาสลบ

ผู้ที่ได้เสพจะไม่สลบ เพียงรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดออกจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ยาจะมีผลต่ออารมณ์ มีความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม มึนงง หรือที่เรียกว่าอาการ "Dissociation"
รู้สึกเคลิบเคลิ้ม (Euphoria)
รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจพิเศษ (Mystical)
มีอาการสูญเสียกระบวนการทางความคิด ความคิดสับสน
เดินเซ มีอาการเหมือนเมาสุรา พูดลิ้นพันกัน เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูงขึ้น

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

พวกเรานอนนับดาวกันอยู่นานประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็หมดฤทธิ์ของยาอีและยาเค ขณะที่ยังมึนๆหัวอยู่นั้น ป๋าก็เรียกให้ผมเข้าไปดูดยาไอซ์ต่อทันทีเพื่อความสดชื่น

พลันความรู้สึกก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายมาเป็นความรู้สึกโล่งหัว สบายอารมณ์ เพลิดเพลินพูดคุยกันอีกครั้ง



ผ่านไปอีก 1 วันเต็มๆ รวมเวลาที่ผมปาร์ตี้กับเก๋และพวกพ้อง ก็เท่ากับ 2 วัน หรือถ้าจะพูดอีกแบบก็คือ 48 ชั่วโมงเต็มๆ

48 ชั่วโมง ที่ไม่ได้กินข้าวเลยสักคำ กินแต่น้ำกับนม

48 ชั่วโมง ที่ไม่ได้นอนหลับเลยแม้สักนาที มีแต่นอนนับดาวอยู่บนเตียง

48 ชั่วโมง ที่ความเจ็บปวดและหัวใจที่แหลกสลายของผมพบเจอกับไออุ่นอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่จากคนรักก็ตาม


ถึงตอนนี้เชื้อเพลิงของไฟแห่งความสนุกได้หมดลงแล้ว ได้เวลาต้องแยกย้ายกันกลับ ตัวผมนั้นก็เริ่มรู้สึกเพลียจากการฝืนธรรมชาติร่างกาย อยากพักผ่อน

ทำให้นึกถึงประโยคที่ว่า.......


"ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา...."

จบตอน 5 มิติมายา



**********************************************************

ตอนที่#6.... อาการ-การเรียน


ผมนั่งแท็กซี่กลับมาที่หอพักคนเดียว เพราะเก๋นั่งแท็กซี่อีกคันกลับบ้านของเธอที่พระประแดง ทันทีที่กลับถึงห้อง ผมหลับเป็นตาย คงเพราะการอดนอนที่ยาวนานที่สุดตลอด 20 ปีที่ผ่านมาในชีวิตของผม

ผมทำสถิติอดนอน 2 คืน หรือ 48 ชั่วโมง

แต่ตอนนี้ร่างกายส่งสัญญาณบอกว่าถึงขีดจำกัดแล้ว และผมต้องหลับเท่านั้น ซึ่งผมเองก็เต็มใจ เพราะพอหมดฤทธิ์ยาทั้งหลาย ผมก็เหนื่อยเต็มที

ปกติแล้วมนุษย์ผู้ใหญ่ทั่วไปต้องการเวลานอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 8 - 10 ชั่วโมงเพื่อสุขภาพที่ดี
แต่ในสังคมปัจจุบันคนวัยทำงานส่วนมากมักจะมีเวลานอนหลับแค่คืนละ 6 - 8 ชั่วโมงเท่านั้น

ครั้งนี้ผมหลับไปนานถึง 15 ชั่วโมง นับเป็นการสร้างสถิติใหม่ของผมอีกครั้งในชีวิต สถิติการนอนหลับติดต่อกันที่นานที่สุดในชีวิต 20 ปี

สงสัยร่างกายคงจะบังคับให้ผมนอนชดเชยจากที่อดนอนไปหลายคืนมั้ง? ผมนึก พลันเสียงท้องร้องก็ดังขึ้นเตือนเจ้าของมันว่า แกไม่ได้หาอาหารลงท้องมา 2 วันแล้วนะ จะอดอาหารประท้วงใครหรือไงหา?

พอฟื้นจากนิทราอันแสนยาวนาน ความหิวโหยก็เรียกผมให้รีบหาอาหารลงท้องโดยเร็ว ..... เป็นความหิวที่รุนแรงที่สุดในชีวิต หิวโหย หิวมาก หิวโซ เหมือนตายอดตายอยากมานานสิบๆปี

ผมกินข้าวไป 2 จาน เหมือนจะอิ่ม แต่ก็ไม่อิ่ม จึงต้องไปซื้อขนมขบเคี้ยวในร้านค้าใต้หอพักมาอีก 4-5 ถุง กินอย่างอเร็ดอร่อยอยู่บนห้องคนเดียว กินไปดูโทรทัศน์ไป เหมือนจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ



......... แต่ไม่เลย



เพียง 2-3 ชั่วโมงผ่านไปเท่านั้น ความรู้สึกเศร้าใจ หดหู่ใจ และท้อแท้ใจ ก็เข้ามาจู่โจมผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่มีสัญญาณเตือนใดๆล่วงหน้ามาก่อนเลยด้วย

มันเป็นความรู้สึกเศร้าลึกๆ เศร้าแบบหดหู่ในใจ ว่าทำไมเราถึงมาอยู่ตัวคนเดียว เมื่อก่อนเรามีคนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ตอนนี้เขาทิ้งเราไปแล้ว เหงาเหลือเกินเว้ย ตายไปเขาจะเห็นค่าเราบ้างมั้ยวะ?


บ้าจริง! ................ นี่ผมกำลังคิดอยากจะฆ่าตัวตายเลยหรือนี่ คิดไปพลาง น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นทาง ไหลรินอาบแก้ม ประดุจนางเอกละครทีวี ผมนั่งเอาทิชชู่ซับน้ำตาไปพลาง ในใจก็คิดไปพลาง.....


ทำไมกันนะ?? .... ผมครุ่นคิดทบทวนอยู่ ในเมื่อสิ่งของทุกอย่างที่เป็นความหลังของสองเราระหว่างผมกับอดีตคนรัก ผมก็เก็บเข้ากรุไปหมดแล้วนี่นา เพราะกลัวจะเสียน้ำตาเมื่อเห็นมัน

แล้วเราก็นั่งดูทีวีเพลินๆอยู่ดีๆนี่หว่า ไม่ได้คิดอะไรถึงเรื่องความรักที่มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว หรือแม้แต่เรื่องเรียนที่กำลังจะทำให้พ่อแม่ผิดหวังก็ไม่ได้ไปเครียดกับมัน

ทำไมนะ ทำไมผมถึงเกิดอารมณ์เศร้าสุดชีวิตแบบนี้ขึ้นมาได้?


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



เซโรโทนิน (Serotonin) คืออะไร?


เซโรโทนินถูกสังเคราะหโดยกลุมเซลลที่อยูในกานสมองเปนหลัก กลุมเซลลนี้มีชื่อวา dorsal raphe nucleus ซึ่งทําหนาที่ผลิตเซโรโทนิน
จากนั้นก็จะลําเลียงเซโรโทนินไปตามแขนงของเซลลที่มีลักษณะคลายทอยาวๆเพื่อนําไปหลั่งที่บริเวณปลายประสาท
โดยมีแขนงของเซลลที่ลําเลียงเซโรโทนินไปยังสมองใหญแบบกระจายอยูทั่วๆไป ทั้งในสมองสวนที่เกี่ยวของกับการเรียนรู สติปญญาการควบคุมการเคลื่อนใหวหรือเกี่ยวกับอารมณ เปนตน

การหลั่งเซโรโทนินในระดับที่เหมาะสมทําใหรางกายและจิตใจทําหนาที่ไดอยาง"ปกติ"
สวนการหลั่งที่นอยไปก็ทําใหเกิดความ"ผิดปกติ"ตามมาได้

ถึงแมการไดรับยาอีครั้งแรกๆนั้นทําใหเซโรโทนินหลั่งจากปลายประสาทปริมาณมากและในเวลาที่รวดเร็วทันใจซึ่งจะนําไปสูการกระตุนรางกายและความคึกครื้น
แต่จากการศึกษาพบว่าการได้รับยาอีอยางตอเนื่องจะทําใหแขนงประสาทเซโรโทนินถูกทําลายเปนอยางมาก
นอกจากความเปนพิษตอแขนงประสาทแลวยังรวมไปถึงพยาธิสภาพที่บริเวณตัวเซลลอีกดวย
การขาดหายไปหรือเสื่อมลงของระบบประสาทเซโรโทนินนาจะทําใหระบบอื่นเกิดการเสื่อมลงดวยเนื่องจากขาดปจจัยกระตุน

หลังจากนั้นก็ไดมีการศึกษาที่ยืนยันวานอกจากการทําลายระบบประสาทเซโรโทนินแลว ยาอียังทําใหเกิดการทําลายของเซลลประสาทในวงกวางอีกดวย

ยาอี จะออกฤทธิ์โดยไปทำลาย Tryptaminergic nerve terminal (ปลายประสาทที่หลั่งสาร 5-HT) ผลคือร่างกายจะขาดสารเซโรโทนิน
ซึ่งร่างกายต้องใช้เวลานานในการสร้างขึ้นมาทดแทนและการสร้างทดแทนจะไม่สามารถทำให้สมบูรณ์เหมือนเดิม
ผลของการขาดเซโรโทนิน จะทำให้ผู้เสพรู้สึกซึมเศร้ามากหลังจากที่ยาหมดฤทธิ์
และด้วยฤทธิ์หลอนประสาทระหว่างที่ยาออกฤทธิ์ และอาการซึมเศร้าหลังการใช้ยานี้เองน่าจะเป็นสมมติฐานของอุบัติการฆ่าตัวตายในระหว่างและหลังการใช้ยา



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ผมเศร้าจนทนไม่ไหว ต้องล้างหน้าล้างตาแล้วออกจากห้องไปหาเพื่อน ........... ใช่แล้ว..... ต้องหาอะไรทำ ก่อนที่ตูจะฆ่าตัวตายขึ้นมาจริงๆ - * -

ว่าแล้วผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือแล้วกดโทรออกไปหาเพื่อนที่อยู่หอใกล้ๆกัน แต่ปรากฎว่าวันนี้มันมีเรียน มันไปมหาลัยแล้ว

.........กรำ เพื่อนตู


ผมจะทำยังไงดีเนี่ย!!!!!


ผมเลยตัดสินใจไปนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แถวๆหอพัก เพื่อหลบหนีจากความเศร้าสลดหดหู่ที่กำลังจู่โจมผมอย่างไม่หยุดยั้ง

ผมนั่งเล่นอินเตอร์เน็ต เปิดดูเว็บนู่นเว็บนี่ไปทั่ว แต่ไม่ได้ดูเว็บโป๊นะครับ ผมไม่ได้หื่นขนาดนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า

ทำให้ความเศร้าสลดหดหู่ค่อยผ่อนคลายลงไปได้มากโข

แต่ความเพลิดเพลินก็หมดไปโดยพลัน เมื่อผมเปิดเข้าหน้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย และได้เห็นรายละเอียดของวันที่ที่จะต้องลงทะเบียนเรียน

ตาย ha ละ นี่มันเลยกำหนดลงทะเบียนแล้วนี่หว่า ลืมสนิทเลย!!!!!!!!!!!!!

มัวแต่ไปเล่นยาปาร์ตี้สำมะเลเทเมาจนลืมเรื่องการเรียนไปเสียสนิท นี่ถ้าเป็นเด็กๆ คงโดนแม่เอาไม้เรียวตีก้นไปแล้วแหงๆ

แต่ผมก็แอบคิดในใจว่า ถึงเลยกำหนดไปแล้ว แต่มหาวิทยาลัยเค้าก็มีช่วงที่ให้เราลงทะเบียนเรียนย้อนหลังได้นี่นา แถมเราเองก็จะขึ้นปี 4 แล้ว ไม่ต้องมานั่งแย่งลงวิชากับรุ่นน้องหรือเด็กคณะอื่นด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลุ้มใจมากกว่าคือเรื่อง"ผลการเรียน"ครับ

เกรดเฉลี่ยของผมตกลงมาต่ำติดดิน จนถึงเส้นอันตรายที่มหาวิทยาลัยขีดเอาไว้ว่าถ้าใครตกลงไปต่ำกว่านี้จะต้องพ้นสภาพนักศึกษาไปในบัดดล



- - - - เกรดผมเน่ามากเลยคุณ อย่ารู้เลย เค้าอายอ่ะ - - - -



ก็เล่นเอาเวลาไปเที่ยวเตร่ กินเหล้า สังสรรค์ ทั้งๆที่มันยังไม่ถึงเวลาอันควรนี่นา แบบนี้มีทางรอดเดียวคือต้องกลับมาตั้งใจเรียนเพื่อทำเกรดให้กลับมาอยู่ในโซนปลอดภัย ไร้ความเสี่ยงต่อการถูกถอนชื่อไล่ออก




"##################"

เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น เมื่อดูเบอร์ที่โทรเข้ามา ก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของเก๋ ผมกดรับ เสียงปลายสายถามเสียงใสมาว่า ............

"เป็นไงมั่งเมิงงงงงงงง ปาร์ตี้หนุกมั้ย?" เธอถาม

"เออ หนุกดีว่ะ ฟีลแบบนี้กูก็เพิ่งเคยเจอ ดีว่ะ เออ... แล้วป๋าเค้าไม่ขาดทุนเหรอวะ ให้ลองเราของตั้งหลายอย่างแน่ะ" ผมถามเก๋เพราะสงสัยในใจตั้งแต่อยู่ที่ปาร์ตี้แล้วว่าป๋าแกไม่กลัวขาดทุนหรือไงฟะ?

"โอ๊ย ไม่หรอกเมิง ของแกมีเยอะแยะ เนี่ย..ถ้าวันหลังเมิงจะตี้อีก ก็ซื้อสเก็ต(ยาไอซ์)หรือหนม(ยาอี)ที่ป๋าแกเลย อยู่แถวๆนั้นไม่ไกลมากด้วย" เก๋แนะนำ

"แพงอ่ะดิ ปกติเค้าขายกันเท่าไหร่วะ?" ผมเริ่มอยากรู้ราคาขึ้นมาแล้ว

"ปกติก็จีละ 3,000 อ่ะ (กรัมละ 3,000 บาท) แต่ถ้าเมิงจะซื้อครึ่งจีป๋าเค้าก็ขายนะ ประมาณ 1,500 หรือพันนึงเค้าก็แบ่งขายให้เหมือนกัน เออ..แล้วถ้าเมิงจะเล่นอีกก็โทรชวนกูด้วยละกันนะ" เธอบอก

"แพงว่ะ เดี๋ยวกูขอปั๊มป์ตังค์ก่อนละกัน มีเมื่อไหร่เดี๋ยวกูโทรบอกนะเมิง" ตอนนี้กระเป๋าผมแฟ่บอยู่ครับ เด็กมหาลัยไส้แห้ง

"โอเคๆ ไงอย่าลืมโทรมานะเมิงงงงง" เก๋ตอบเสร็จก็วางสายไป


ผมนั่งนึกในใจว่า ทำไมมันแพงจังวะ แล้วที่ป๋าแกให้ลองตั้งหลายอย่างแต่จ่ายแค่ 500 บาทนี่แกต้องการอะไร?

เท่าที่รู้มาของฟรีไม่มีในโลกนะ หรือถึงจะมีก็หาไม่ได้ง่ายๆหรอกที่ฟรีจริงน่ะ


จบตอน 6 อาการ-การเรียน




**********************************************************

ตอนที่#7.... วงจร


หลังจากงานปาร์ตี้ยาเสพติดผ่านไป 3 วัน พร้อมๆกับอาการซึมเศร้าที่ค่อยๆทุเลาเบาบางลงไปเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่าตัวเองกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง จึงเริ่มหันกลับมาสนใจเรื่องการเรียน

ช่วงเวลาของการลงทะเบียนเรียนล่าช้าได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ปัญหาของผมคือการลงทะเบียนล่าช้านั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากอาจารย์เจ้าของวิชาที่เราจะลงเรียน

เพราะตามปกติ วิชาเฉพาะที่เปิดสอนในชั้นปีสูงๆ จะกำหนดจำนวนหรือโควต้านักศึกษา บางวิชาต้องยื่นความจำนงขอโควต้าก่อนล่วงหน้าด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง

ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นกับผม ผมต้องวิ่งวุ่นตามล่าหาอาจารย์ที่สอนแต่ละวิชา พร้อมกับเอาใบลงทะเบียนไปให้ท่านเซ็นต์อนุญาต

ซ้ำร้ายบางวิชาก็ต้องรอลงเรียนเทอมหน้าด้วย เพราะเค้าปิดรับนักศึกษาเพิ่มในเทอมนี้แล้ว

ทั้งหมดทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะความไม่เอาใจใส่เรื่องเรียนของผม ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยต้องพึ่งตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


หลังจากที่วิ่งวุ่นอยู่ได้ 2 วัน ผมก็ประจักษ์แล้วว่า เส้นทางปริญญาตรีของผม คงเกินกำหนดเวลา 4 ปีอย่างแน่นอน เพราะเทอมนี้ลงเรียนได้แค่ไม่กี่วิชาเท่านั้น

ความเครียดและความวิตกกังวลกลับมาอยู่เป็นเพื่อนผมอีกครั้ง

นอกจากนั้น บาดแผลช้ำในหัวใจจากเรื่องความรักที่พังลงไปของผมก็หวนกลับมาซ้ำเติมผมอีกครา

เมื่อรวมเข้ากับจิตใจที่อ่อนแอ การแก้ปัญหาอย่างหุนหันพลันแล่น และความมัวเมาในอบายมุขของผม

ทำให้ผมขาดสติ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวเหมือนถูกเมฆหมอกแห่งอบายมุขมาบดบัง ผมจึงย้อนกลับเข้าสู่วงจรของอบายมุขอีกครั้ง

เริ่มด้วยการไปกินเหล้าเคล้าเสียงเพลงตามผับบาร์แถวมหาลัยที่กลับมาสู่วิถีเดิมของมัน กินเหล้า-เมา-อ้วกแตก-เมาค้าง

แต่ครั้งนี้มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

ผมพบว่าก่อนหน้าที่ผมจะรู้จักกับยาไอซ์นั้น ในสมองของผมไม่เคยนึกถึงมันเลย มีเพียงเหล้าและเพื่อนๆเท่านั้นที่ปลอบประโลมหัวใจผมได้

แต่ตอนนี้ แม้ขณะกำลังนั่งดื่มกินกับเพื่อนๆอยู่ ในหัวผมกลับมีแต่ภาพการสูบยาไอซ์วนเวียนอยู่ตลอด ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบความรู้สึกหลังจากเสพยาไอซ์กับการดื่มเหล้าแล้วนั้น มันช่างแตกต่างห่างไกลกันเหลือเกิน

ใช่ครับ ......... ผมคิดถึงมัน ............ น้องน้ำแข็ง

นี่อาจจะเป็นอาการที่เรียกว่า "ติดใจ" แต่ยังไม่ถึงขั้นติดยาทางร่างกาย เพราะผมเพิ่งลองไปแค่ครั้งเดียวเอง

และประจวบเหมาะกับช่วงนี้ผมกำลังจะมีเงินก้อนหนึ่ง จะบอกว่าเป็นเงินที่ได้มาอย่างถูกต้องก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก

เงินก้อนนี้คือเงินสำหรับลงทะเบียนเรียน ซึ่งผมขอจากที่บ้าน และไม่ได้ขอพอดีกับค่าใช้จ่ายตามจริง แต่ขอ"เกิน"มานิดหน่อย ประมาณ 2 - 3 พันบาท

ใช่ครับ .......... ผมกำลังหลอกลวงพ่อและแม่อยู่

แม้ว่าผมจะเอาเงินนั้นไปใช้ลงทะเบียนเรียนจริง แต่วิชาที่ลงเรียนได้ก็มีน้อยกว่าจำนวนเงินที่ขอมา เพราะเหตุผลที่ได้บอกไปข้างต้น ทำให้ผมมีเงินเหลือจากค่าลงทะเบียนราว 4 - 5 พันบาทเลยทีเดียว

ถือว่ามากพอดู สำหรับเด็กอายุย่าง 21 ในตอนนั้นที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง

ซึ่งถ้าเป็นคนปกติทั่วๆไป ที่ไม่มีอบายมุขมาบดบังแสงสว่างในจิตใจ เงินจำนวนนี้ คงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย

แต่กับผมแล้วนั้น มันเหมือนเงินที่ฟ้าส่งมาบันดาลยา"คลายทุกข์"ให้ผมอีกครั้ง ผมไม่รอช้า รีบโทรหาเก๋ในทันทีที่ได้เงิน

"เป็นไงบ้างเมิง บายดีมั้ย" ผมทักทายเพื่อนหลังจากไม่ได้เจอกันนาน 3 วัน

"บายดีว่ะ เออ..กูกำลังคิดถึงเมิงอยู่พอดีเลยเนี่ย ว่าจะชวนตี้" แหม ช่างใจตรงกันเสียที่กระไรเพื่อนรัก

ผมอมยิ้มในใจ แล้วตอบไปว่า "กูปั๊มตังค์เสร็จละ ว่าแต่เมิงเหอะ จะมาแถวนี้เมื่อไหร่"

"อาทิตย์หน้าว่ะ" คำตอบเธอทำเอาผมอึ้ง

"โห 'ทิตย์หน้าเลยเหรอวะ ไมนานจังอะ"

"พอดีช่วงนี้ที่บ้านกูเค้าเห็นกูออกไปข้างนอกบ่อยก็เลยบ่นว่ะ เลยต้องทิ้งช่วงหน่อย" เก๋อธิบายเหตุผล

"นานเกิ๊นเมิง แล้วแถวนี้มีเพื่อนเมิงคนไหนเล่นสเก็ตบ้างป่ะ? ติดต่อให้กูทีดิ" ผมเสนอ

"เออ มีอยู่กลุ่มนึง แต่ว่าพวกมันอยู่แถวลาดพร้าวนะ เมิงไปไหวป่ะล่ะ ใจร้อนจริงๆเลยนะเมิงเนี่ย" ผมแอบยิ้มในใจ ที่จะได้เพื่อนเล่นยาแล้วเว้ย

"ไว้ใจได้ป่าววะ " ผมแอบระแวงอยู่นะ ถ้าเกิดไปเล่นแล้วมันเป็นสายให้ตำรวจ ผมไม่ต้องซวยบรรลัยเลยเหรอ

"กูเอาหัวเป็นประกันเลย เพื่อนกูเอง ตี้ด้วยกันมาหลายครั้งแล้ว เด๋วกูโทรบอกพวกมันให้ แล้วเมิงก็รอพวกมันโทรมาละกันนะ" เก๋จัดการเรื่องให้เสร็จสรรพ


ผ่านไปไม่ถึง 1 วัน ช่วงหัวค่ำ ก็มีเบอร์โทรศัพท์แปลกตาปรากฎขึ้นในมือถือผม

"ฮัลโหล ครับ" ผมรับสาย

"ครับ นั่น...หรือเปล่าครับ(ชื่อผม) ที่เป็นเพื่อนตี้ของเก๋ใช่ป่ะ จะตี้เหรอครับ" ปลายสายตอบพร้อมถามในคราเดียว

"ใช่ครับ แล้วนายชื่อไร " ผมถามชื่อ

"ชื่อเจ แล้วก็มีเพื่อนเราอีก 2 คน ถ้าตี้ด้วยกัน ก็แชร์กันออกได้ครับ" หนุ่มชื่อเจตอบ

"คือผมเพิ่งเคยเล่นแค่ครั้งเดียว เลยไม่รู้ว่าเวลาเค้าแชร์ค่าสเก็ตกัน มันออกคนละประมาณเท่าไหร่ครับ" ผมถามอย่างตรงไปตรงมา

"ก็ 4 คนประมาณ จี (กรัม)นึงก็น่าจะพอ ถ้าไม่พอเด๋วค่อยสั่งใหม่ หารกันก็คนละ 750 บาท"

"โอเค แล้วจะตี้กันเมื่อไหร่" ผมถาม

"คืนนี้นายว่างป่ะล่ะ ถ้าว่างก็คืนนี้เลย นายอยู่แถวรังสิตใช่มั้ย ก็นั่งรถตู้ที่ฟิวเจอร์มาลงที่ลาดพร้าวซอย 112 เสร็จแล้วก็โทรบอกผมนะเด๋วบอกทางให้" เจวางแผนการเดินทางให้ผมเสร็จสรรพ

"โอเคครับ เด๋วเราออกไปเลย ประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมงคงถึง"

แล้วผมก็วางสายไป พร้อมกับความรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ ที่จะได้ "โล่งหัว จั่วไพ่" แถมยังได้ "เพื่อนตี้กลุ่มใหม่" อีกด้วย!!

ผมไม่รอช้า รีบแต่งตัวแล้วออกไปฟิวเจอร์พาร์ครังสิตทันทีเพื่อต่อรถตู้ไปลาดพร้าว 112

ผมมายืนอยู่ที่ปากซอยลาดพร้าว 112 ขณะเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ จากนั้นก็รีบกดโทรศัพท์โทรหาเจ เขาบอกให้ผมขึ้นรถจักรยานยนต์รับจ้างหน้าปากซอยเข้ามาที่คอนโดของเขา

ครู่เดียว มอร์เตอร์ไซค์รับจ้างก็มาส่งผมที่คอนโดแห่งหนึ่ง สูง 8 ชั้น ตกแต่งดูดีทีเดียว ท่าทางค่าห้องคงแพงพอดู

เจลงมารับผมตรงประตูทางเข้า ผมส่งยิ้มให้ เขาเป็นผู้ชายวัยรุ่นน่าจะกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ สูง 170 ซม.เท่าๆกับผม ผิวสีแทน หน้าคมเข้มเหมือนคนใต้

จากนั้นเราก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 6 ภายในลิฟท์และทางเดินตกแต่งแสงไฟและพื้นกระเบื้องสวยงาม ดูดีกว่าอพาร์ทเมนต์ของป๋าที่ผมไปคราวก่อนเยอะทีเดียว

เมื่อเข้าไปในห้อง ก็พบสมาชิกอีก 2 คนรออยู่ก่อนแล้ว เจ แนะนำพวกเขาให้ผมรู้จัก

1 ในนั้นเป็นผู้ชายชื่อแมน ตัวค่อนข้างใหญ่ น่าจะสูงเกือบ 180 ซม. ผิวขาว หน้าตาดี ส่วนอีกคนเป็นแฟนของแมน ชื่อแยม เป็นสาวรูปร่างหน้าตาดีเหมือนกัน ผิวขาว ผมสั้นเปรี้ยวซ่า

สมาชิกทั้งหมดในปาร์ตี้คราวนี้ล้วนเป็นเด็กมหาวิทยาลัยวัยเรียนทั้งสิ้น รวมทั้งผมด้วยครับ

ไม่ต้องรอช้าให้เสียเวลา เจจัดแจงเสิร์ฟน้ำแข็งให้ผมดูดดื่มทันที เขาบอกผมว่าเขาซื้อยาไอซ์มาจากรุ่นพี่คนหนึ่งย่านสะพานควาย เจ้านี้ของดีและให้ยาเยอะ ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง

และเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นยาไอซ์ปริมาณ 1 จี ( 1 กรัม) ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก มันเยอะกว่าครั้งที่ผมไปตี้กับป๋ามาก

พวกเราผลัดกันสูบควันยาไอซ์กันอย่างเพลิดเพลิน ความรู้สึกโล่งเบาสบายสมอง เคลิ้มใจในอารมณ์ พูดคุยกันอย่างสนุกสนามกลับมาอีกครั้ง


อา...........................ผมมีความสุขจัง


พอดูดยาไปได้สักพัก ผมก็รีบจ่ายเงินให้เจก่อน เพราะกลัวจะลืมเพราะสมองมันเคลิ้มไป เรื่องเงินนี่เป็นเรื่องที่ผมไม่อยากมีปัญหากับใครมากที่สุด รองจากเรื่องความรัก

ครั้งนี้มีอบายมุขอีกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับผมเพิ่ม คือ "บุหรี่" ซึ่งที่ผ่านๆมามันเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างรังเกียจ ทั้งกลิ่นของมัน และ ก้นบุหรี่ที่ทิ้งกันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

แต่วันนี้มีอะไรที่แตกต่าง อาจเป็นเพราะสมาชิกในห้องทุกคนสูบบุหรี่กันหมด ไม่เว้นแม้แต่แยมที่เป็นผู้หญิง เธอก็สูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยๆ คละคลุ้งตลบอบอวลอยู่ในห้อง

และด้วยสภาพของห้องที่อาจจะดูหรูหรามีราคาน่าอยู่กว่าอพาร์ทเมนต์ของป๋าที่ผมไปมาครั้งแรก แต่ทุกช่องที่มีของห้อง ก็ล้วนถูกผนึกไว้ด้วยสารพัดสิ่งที่ทึบแสง
จนคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่อย่างผมก็เหมือนกับต้องสูบควันบุหรี่มือสองไปด้วยทางอ้อม

แมนยื่นบุหรี่มาให้ผมสูบ อันที่จริงผมก็เคยลองสูบมาแล้วบ้างบางครั้งที่ไปเที่ยวผับกับเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ชอบเป็นการส่วนตัว

แต่ครั้งนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป การสูบบุหรี่คราวนี้กลับให้ผลที่ดีเกินคาด เหมือนมันช่วยหนุนเสริมฤทธิ์ของยาไอซ์อีกที สูบแล้วรู้สึกดีขึ้นกว่าเล่นไอซ์อย่างเดียว

จากสิ่งเสพติดแค่ 1 อย่างก็ว่าร้ายแล้ว แต่ตอนนี้เพิ่มอีกตัวที่ร้ายไม่แพ้กันเข้ามาคือบุหรี่ นี่ผมกำลังทำลายร่างกายตัวเองตั้งแต่วัยรุ่นเลยนะเนี่ย

แต่ช่างเถอะ อย่าไปคิดไรมาก เราไม่ได้คิดจะติดมันไปตลอดนี่นาไอ้ยาพวกนี้

ต่อจากนั้นพวกเราก็นั่งเล่นไพ่กันไปคุยกันไปอย่างสนุกเฮฮา โดยไม่รับรู้ถึงเวลารอบตัวเช่นเคย



จบตอน 7 วงจร



**********************************************************

ตอนที่#8.... เพื่อนใหม่


ขณะที่วงไพ่กำลังครื้นเครงบรรเลงเพลงพนันกันอยู่นั้น พลันเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมา ทำเอาสมาชิกในห้องออกอาการเหวอไปตามๆกัน

แต่มีแค่เจคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ เจบอกกับทุกคนว่า วันนี้มีเพื่อนของเจมาร่วมปาร์ตี้ด้วยอีกคน แล้วเขาคนนั้นก็มาถึงแล้ว

เจเดินไปเปิดประตูรับแขก และพาเข้ามาแนะนำให้พวกเรารู้จัก แขกที่มาใหม่นั้นเป็นผู้ชาย รูปร่างค่อนข้างผอม สูงกว่าผมนิดหน่อย แต่ก็ยังเตี้ยกว่าแมน ผิวไม่ดำไม่ขาว ไว้ผมค่อนข้างยาว อายุน่าจะมากกว่าทุกคนในห้องนี้

"นี่พี่เพียว มาตี้ด้วย" เจแนะนำเพื่อนใหม่ให้พวกเรารู้จักสั้นๆ พี่เพียวยิ้มทักทายคนในวงตี้ เสร็จแล้วหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

สิ่งของนั้นคุ้นตาผมเป็นอย่างยิ่ง ใช่แล้วครับ ... มันคือซองยาซิปล็อกซองจิ๋ว ที่ภายในบรรจุยาไอซ์เอาไว้ กะด้วยสายตาน่าจะน้อยกว่าที่ผมเพิ่งเห็นครึ่งหนึ่ง ก็คือประมาณ ครึ่งจี (ครึ่งกรัม)

สมาชิกใหม่ไม่ได้มาเปล่า แต่เขามาพร้อมกับเชื้อเพลิงที่มาเติมความสนุกให้กับปาร์ตี้ครั้งนี้

เท่าที่ผมสังเกตดู ท่าทางพี่เพียวคงจะเชี่ยวชาญและช่ำชองกับยาไอซ์มาก เพราะไม่ต้องให้ใครเสิร์ฟเขาก็ทำเองได้ทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นคือทำแบบคล่องแคล่วมากเสียด้วย

ผมพักสายตาจากการเล่นไพ่ เพื่อมาคุยกับพี่เพียว ผมไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกถูกชะตากับพี่เพียวจัง ส่วนสมาชิกคนอื่นๆก็นั่งเล่นไพ่กันต่อ

เราคุยกันอย่างถูกคอ พี่เพียวเขาแก่กว่าผมตั้ง 6 ปี มีปัญหาเรื่องหัวใจเหมือนผม เลยเข้ามารับการเยียวยาจากยาไอซ์

พี่เพียวเป็นคนใต้ แต่มีเชื้อสายไต้หวันจากพ่อ พ่อกับแม่ของพี่เพียวแยกทางกันตั้งแต่พี่เพียวเรียนป.6 พี่เพียวจึงต้องไปอยู่บ้านญาติฝ่ายแม่ซึ่งเป็นคนไทยที่หาดใหญ่ แต่กลับถูกคนในบ้านใช้งานสารพัดประดุจคนรับใช้

ตอนที่พี่เพียวเรียนถึงชั้นม.6 เขาตัดสินใจออกจากบ้านญาติมาอยู่กรุงเทพฯเพราะไม่อาจทนกับสิ่งที่เจอได้ ขอไปตายเอาดาบหน้าเสียดีกว่า

เมื่อเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ เขาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำงานรับจ้างพาร์ทไทม์ (Part time) ทั่วๆไป และได้พบรักกับสาวคนหนึ่งที่มีฐานะดีกว่า เธอคนนั้นพักอยู่ที่คอนโดหรูย่านรามคำแหง

เมื่อคบกันมาได้พักใหญ่ ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันที่คอนโดแห่งนั้น ทั้งคู่อยู่กินกันได้นาน 2 ปีกว่าๆ ชีวิตคู่ก็เริ่มมีรอยร้าว จากรอยเล็กๆ ค่อยๆกลายเป็นรอยใหญ่และลึกขึ้นๆ จนพังทลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลงไปในที่สุด

พี่เพียวย้ายออกมาอยู่ห้องตัวเองด้วยใจที่ปวดร้าว และเนื่องจากที่เขาไม่ใช่คนกรุงเทพฯ จึงมีเพื่อนฝูงไม่มากนักในกรุงเทพฯ จะกลับไปบ้านที่หาดใหญ่ก็เหมือนกลับไปลงนรกทั้งเป็น

ด้วย "ความเหงา" , "ความโดดเดี่ยว" , และ "ความอ้างว้าง" ทำให้พี่เพียว"เดินกลับ"เข้ามาสู่วงจรยาเสพติด อีกครั้ง

พี่เพียวเล่นยาไอซ์มานานถึง 10 ปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะคบกับแฟนคนนี้เสียอีก และยาไอซ์ก็เป็นหนึ่งในรอยร้าวหลายๆรอยที่พังทลายความรักของเขาลง ทั้งๆที่เขาพยายามจะเลิกมันเพื่อประคับประคองความรักของตัวเอง

พี่เพียวบอกผมว่า ตอนที่เลิกกับแฟนคนนี้ เขาเหงามาก ไม่มีเพื่อนสนิทที่กรุงเทพฯ เลยไม่รู้จะไปปรับทุกข์กับใคร เขาจึงเดินกลับมาสู่วงการยาเสพติด เพื่อที่จะได้มีเพื่อน


สาเหตุของการย้อนกลับสู่วงการยาเสพติดของพี่เพียวนั้น มาจาก "ความรัก" และ "ความเหงา"

ส่วนสำหรับผมนั้น มาจาก "ความรัก" ที่พังทลายลงเพียงอย่างเดียว


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


เราทั้ง 5 คนนั่งเล่นไพ่ไปพลางสูดควันยาไอซ์และพ่นควันบุหรี่ตลบอบอวนไปทั่วทั้งห้องอยู่ได้ 1 วันเต็มๆ เชื้อเพลิงของความสนุกก็เริ่มใกล้จะหมด

เจจึงหยั่งเสียงทุกคนในวงปาร์ตี้ว่ายังต้องการ"น้ำแข็ง"เพิ่มมั้ย?

มติเอกฉันท์ ............ ทุกคนต้องการครับ

เจจึงรับหน้าที่เป็นคนออกไปอัญเชิญเจ้ายานรกนี้เข้ามาให้ หลังจากที่โทรศัพท์ไปสั่งกับผู้ขายแล้วเขาไม่ว่างมาส่ง จึงต้องไปรับยามาเอง

เจชวนผมไปเป็นเพื่อน อันที่จริงเจสนิทกับแมนมากกว่า แต่ว่าแมนต้องอยู่เป็นเพื่อนแยม แฟนของเขา ก็ใครจะกล้าปล่อยให้แฟนตัวเองอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าตั้ง 2 คนในห้องกันล่ะ? จริงมั้ยครับ

ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ นอกจากตื่นเต้นแล้ว ยังรู้สึกกลัวๆ ยังไงไม่รู้ เพราะคราวนี้ต้องไปรับยาถึงสถานที่ขายเลย กลัวตำรวจก็กลัว แต่ตอนนั้นฤทธิ์ยาไอซ์มันทำให้ทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องสนุกไปหมด

ผมกับเจ๋นั่งแท็กซี่ไปสะพานควายเพื่อไปซื้อยาไอซ์ เจบอกว่าพี่คนขายคนนี้เป็นเอเย่นต์รายใหญ่ย่านสะพานควาย ถ้าผมรู้จักเอาไว้ คราวหลังจะได้มาซื้อยาที่พี่เขาได้

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงย่านสะพานควาย เจพาผมเดินลัดเลาะเข้าไปในซอย จนมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้นครึ่ง

เจโทรศัพท์เข้าไปบอกพี่คนขายว่ามาถึงแล้ว และแทบจะในทันทีที่วางสายเสร็จ ประตูเหล็กบานพับก็เลื่อนออก พร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างล่ำ หน้าตี๋ผิวขาวแบบคนจีน อายุน่าจะสัก 30 กว่าๆได้

ชายคนนั้นเปิดประตูพร้อมเรียกให้เราสองคนตามเข้าไปข้างใน

พี่คนนั้นพาพวกเราเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นดาดฟ้า ซึ่งดัดแปลงสร้างเป็นห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ติดแอร์ มีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ ในห้องนั้นเปิดไฟแสงสลัวๆ คล้ายๆกับในห้องป๋า

"พี่บี นี่เพื่อนเจ ชื่อ....(ชื่อผม)" เจแนะนำให้พี่บีรู้จักกับผม ผมยกมือไหว้เป็นการทักทายและแสดงความเคารพในฐานะที่พี่เขาเป็นผู้ใหญ่

"เอ้อๆ .. นั่งก่อนๆ แป๊ปนึงเดี๋ยวพี่ตักให้ (ตักยาไอซ์) โจ๋อยู่บนโต๊ะ จะดูดก็ได้นะ ตามสบายเลย (โจ๋ คือ อุปกรณ์เสพยาไอซ์ )"

พูดจบพี่บีก็หันไปหยิบกุญแจออกมาไขลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ตรงหน้า แล้วหยิบซองซิปล็อกขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ภายใจบรรจุวัตถุรูปผลึกใสๆแท่งใหญ่ประมาณเท่านิ้วก้อย 3-4 แท่งออกมา

.........................มันคือ ยาไอซ์ ปริมาณมหาศาลสำหรับผม มากกว่าที่ผมเห็นจากของเจมากมายหลายเท่า กะด้วยสายตาน่าจะประมาณไม่ต่ำกว่า 10 จี

พี่บีจัดการแบ่งยาออกมาจากผลึกแท่งใหญ่ จากนั้นก็ใช้เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอลอันจิ๋วชั่งให้ เสร็จแล้วก็ยื่นให้เจ

"อ่ะ จีนึงใช่ป่ะ แถมให้แล้วนะ" พี่บีบอกกับเจ

เสียดายที่ผมไม่เห็นตัวเลขน้ำหนักว่ามันเท่าไหร่ เพราะนั่งอยู่ไกลจากที่ชั่งพอสมควร แถมไฟก็มืดสลัว แล้วเครื่องชั่งก็อันเล็กนิดเดียว ขนาดเท่ากล่องดินสอได้มั้ง

ครั้นจะถามก็ไม่กล้า เอาแค่ขึ้นมาถึงแหล่งขายแบบนี้ผมก็กลัวจนฉี่จะเล็ดอยู่แล้ว

พอจ่ายเงินเสร็จ พวกเราก็ร่ำลากลับไปปาร์ตี้กันต่อ เพราะสมาชิกอีก 3 คนรออยู่ที่ห้องอย่างใจจดใจจ่อ

ขากลับเรานั่งแท็กซี่เหมือนเดิม แต่ความรู้สึกต่างกับขามาราวฟ้ากับดิน

เป็นการนั่งรถแท็กซี่ที่ทรมานมากที่สุดในชีวิต ไม่ใช่เพราะคนขับขับรถไม่ดีหรือเบาะไม่นุ่ม หรือว่าแอร์ไม่เย็นหรอกครับ

แต่เป็นเพราะเราสองคนเป็น "คนมีของ" หมายถึงเราพกยาไอซ์อยู่ไงครับ ถ้าเกิดซวยไปเจอด่านตรวจหรือสายตำรวจปลอมเป็นแท็กซี่ เราทั้งคู่คงจบสิ้นกัน

แหงล่ะครับ ตอนขามา เรามากับแบบตัวเปล่าพกแค่ยาไอซ์ไว้ในกระแสเลือด แต่ขากลับเราพกยาไอซ์เป็นเกล็ดๆกลับไปตั้ง 1 จี(1กรัม) ถ้าโดนตำรวจตรวจพบนี่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยครับ

ผมนั่งบนแท็กซี่ด้วยความกระวนกระวายใจ เจเองก็คงสังเกตเห็นว่าผมกำลังสติแตกอยู่ในใจ จึงบอกกับผมว่า "ไม่ต้องกลัว ไม่มีไรหรอก นี่มันตอนเย็น ยังไม่มีด่านหรอก เฉยๆไว้เดี๋ยวก็ถึงห้องแล้ว"

ผมยอมรับเลยครับว่าวันนั้นเป็นการนั่งรถแท็กซี่ที่ทรมานที่สุดในชีวิตผมเลย

แล้วเราทั้งคู่ก็กลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัย (เฮ้ออ...........................โล่ง)


พอถึงห้อง เราก็เคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายกันก่อนเลย ยาที่ไปเอามาใหม่นี้ หาร 4 เท่าเดิม เพราะยาของพี่เพียวนั้นเป็นเงินของเขาที่ออกคนเดียว ดังนั้นยาชุดนี้เขาจึงไม่ต้องมาหารด้วย

ผมก็เลยต้องจ่ายเงินไปอีก 750 บาท รวมวันนี้เฉพาะค่ายาไอซ์ก็ปาเข้าไป 1,500 บาทแล้ว เงินจำนวนนี้นี่ผมใช้ได้ 1 สัปดาห์เลยนะครับ

เอาวะ ............ จะได้หายเครียด ช่างแม่ม เหอะ (ผมคิดแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆ เพื่อที่จะได้สบายใจ)

ยาไอซ์นี่มันแปลกอยู่อย่างหนึ่งนะครับ คือ คนที่สูบมันไปแล้ว สามารถกำหนด "ฟีล" (Feeling) หรืออารมณ์ความรู้สึกขณะเล่นยาได้ เช่น ถ้าเราอยากได้ฟีลสนุกครื้นเครง ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องสนุกๆ อย่าคิดเรื่องเครียดเด็ดขาด

แต่ถ้าเล่นแล้วอยากได้ฟีลเศร้า ก็เศร้าน้ำตาตกได้ครับ แต่ควรจะอยู่คนเดียว ไม่งั้นจะพาคนอื่นในวงให้ "นอยด์" ได้ (นอยด์ คือ เซ็ง, เบื่อ, ตึงเครียด)

ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะรับฟีลสนุก เรื่องเรียนเรื่องรักเรื่องเครียดทั้งหลายจึงถูกเก็บเข้าหลืบสมองไปชั่วคราว เพื่อป้องกันการเป็นตัวต้นเหตุพาคนอื่น "นอยด์"


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


48 ชั่วโมงผ่านไป จนผมเริ่มเพลีย จากการที่ไม่ได้กินข้าว และไม่ได้หลับไม่ได้นอนมา 2 วัน 2 คืน กินแต่น้ำกับนมและลูกอมหวานๆ

และสมาชิกในวงตี้ก็คงจะเป็นแบบเดียวกับผมหมด ตอนนี้ทุกคนจึงหยุดพักการเล่นไพ่ชั่วคราว แล้วลงไปหาซื้ออะไรมากินรองท้อง

ถึงแม้จะบอกว่าเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรงก็จริง แต่มันกลับไม่มีความรู้สึกอยากกินอาหารเลยแม้แต่น้อย ขนาดได้กลิ่นยังเอียนอยากจะอาเจียนเลยครับ

ผมเลยคิดว่าผมคงเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงเวลาที่เธอแพ้ท้องแล้วล่ะ ได้กลิ่นอะไรก็ชวนให้อยากอาเจียนไปหมด 555+

แต่ยังไงก็ต้องฝืนเอาเข้าปากแล้วกลืนลงท้องไป มิฉะนั้นก็อาจจะเป็นลมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเอาได้ ผมจึงจำใจฝืนกิน "โจ๊กคัพ" ลงไป ด้วยมันเป็นอาหารที่กินง่ายที่สุดในขณะนี้ ไม่ต้องเคี้ยว แค่กลืนๆลงคอไปก็ได้แล้ว

จำใจฝืนกินโจ๊กจนหมดถ้วย ก็หันกลับมาดูเพื่อนๆในวงตี้ ผมก็ประจักษ์ว่ามีแค่พี่เพียวและเจเท่านั้น ที่นั่งกินข้าวกล่องอย่างสบายใจไร้อาการเอียน

....................... สงสัยทั้งสองคนคงจะฝึกวิทยายุทธ์จนถึงขั้นสูงแล้วล่ะมั้ง เพราะถ้าขืนให้ผมไปกินข้าวกล่องแบบนั้น คงกินไปได้สัก 2 คำก็ไม่ไหวจะเคลียร์แล้วล่ะครับ


เมื่อเติมเชื้อเพลิงให้กับร่างกายได้มีพลังงานในการปาร์ตี้ต่อแล้ว ผมก็กลับมามีเรี่ยวแรงสนุกสนานต่ออีกครั้ง พวกเรากลับมานั่งตีไพ่ไปคุยกันสนุกไปเหมือนเดิม จนผ่านไปอีก 1 วัน

ปาร์ตี้คราวนี้รวมทั้งสิ้น 72 ชั่วโมง

และเป็นสถิติใหม่ในชีวิตที่ผมสร้างขึ้น เมื่อไม่ได้หลับไม่ได้นอนติดกันถึง 3 คืน จนผมเริ่มมีอาการ "หูแว่ว"

ผมได้ยินเสียงคนห้องข้างๆคุยกันถึงพวกเรา ได้ยินเสียงคนคุยกันที่ทางเดินนอกห้องเป็นเรื่องเป็นราวเลย ทำให้เริ่มระแวงกลัวจะมีใครรู้ว่าพวกเราเสพยากันอยู่และไปแจ้งตำรวจมาจับพวกเรา

ทำไมถึงเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นได้?

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

สมอง ก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายที่ต้องการพักผ่อน การใช้งานสมองอย่างหนักติดต่อกันโดยไม่ได้หยุดพักทำให้สมองทำงานผิดพลาดได้

ซึ่งประสาทหูและประสาทตานั้นต้องอาศัยการประมวลผลข้อมูลจากสมองโดยตรงผ่านทางเสียงและภาพที่เรารับรู้

การอดหลับอดนอนติดต่อกันนานถึง 3 วัน 3 คืน ทำให้สมองล้าและเริ่มทำงานผิดพลาด ทำให้ประมวลผลข้อมูลได้ไม่ถูกต้อง

โดยจะเริ่มด้วยอาการหูแว่วก่อน ตามด้วยการเห็นภาพหลอน ทำให้เกิดความหวาดระแวง และหากไม่ยอมนอนหลับพักผ่อนจนสมองเข้าขั้นวิกฤติ สมองจะป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการหยุดการทำงานอัตโนมัติ

ผลคือ อาการหลับใน ไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ในตอนนั้นก็ตาม ยิ่งถ้ากำลังขับรถอยู่ก็จะสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงต่อตนเองและผู้อื่นได้

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

และงานเลี้ยงก็กำลังจะต้องเลิกราแล้ว เมื่อแมนกับแยมขอตัวกลับห้องไปก่อน เห็นมองหน้ากันแปลกๆชวนสยิ๋วกิ้วด้วยแฮะ สงสัยคู่นี้จะกลับไป XXX กันที่ห้องแหงๆ ผมคิดทะลึ่งอยู่ในใจ

เพราะเวลาที่เล่นยาไอซ์ถึงจุดๆหนึ่ง มันจะทำให้มีอารมณ์ทางเพศสูงขึ้นกว่าปกติมากครับ ถ้าเป็นโสด ก็หาวิธีระบายเอาเอง แต่ถ้ามีคู่แล้วก็ Happy Together เลย 555+





**********************************************************


ตอนที่#9.... มิตรภาพ


หลังจากที่แมนและแยมกลับไปในตอนเช้า พอเริ่มสายผมก็รู้สึกเหนื่อยและเพลียจากการที่ฤทธี์ยาเริ่มหมดลง จึงเตรียมตัวจะกลับห้องไปพักผ่อน

พี่เพียวเลยขอกลับด้วย เพราะเจซึ่งเป็นเจ้าของห้องก็กำลังง่วงเต็มที พวกเราจึงไม่อยากรบกวน

ผมและพี่เพียวเลยร่ำลาเจ ก่อนจะลงลิฟท์ลงมาจากคอนโด ขณะที่อยู่ในลิฟท์นั้น พี่เพียวชวนผมให้ไปพักผ่อนที่ห้องของเขา ซึ่งอยู่แถวๆ ตลาดแฮปปี้แสนด์ ไม่ไกลจากที่นี่นัก

อย่างน้อยก็ใกล้กว่าห้องของผมที่รังสิตมาก และตอนนั้นผมเองก็ง่วงและเบลอเต็มที จากการอดนอนมา 3 คืน เลยตอบตกลงไป เพราะไม่อยากไปนั่งหลับไม่รู้ตัวบนรถตู้ กลัวเลยป้ายที่จะลง

เราสองคนจึงนั่งแท็กซี่ไปที่อพาร์ทเมนต์ของพี่เพียว เมื่อไปถึง เราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก พร้อมใจกันล้มตัวลงนอนอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

เราหลับสนิทยาวกว่า 10 ชั่วโมง เท่าที่จำได้ ผมไปถึงห้องของพี่เพียวตอน 11 โมง ตื่นมาอีกทีก็ตอน 3 ทุ่ม นอนรับประทานบ้านรับประทานเมืองกันเต็มอิ่มเลยทีเดียว

และในทันที่ที่ฟื้นจากนิทราอันยาวนาน "ความหิว"ก็เข้าจู่โจมกระเพาะอาหารของเราสองคนทันที ทำให้ต้องรีบล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปหาข้าวกินอย่างหิวโซ


พอกินข้าวเสร็จ เราก็กลับขึ้นมาบนห้อง เมื่อตอนสายที่ผมมาถึง ผมง่วงมากจนไม่ได้สังเกตว่าห้องพี่เพียวเป็นยังไง

ห้องของพี่เพียวเป็นห้องที่กว้างพอสมควร มีเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้งเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และทีวี

ผมอยู่กับพี่เพียวต่ออีก 1 วัน จึงขอตัวกลับห้อง เพราะใส่เสื้อผ้าชุดเดิมมา 5 วันแล้ว สกปรกชะมัด!


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ผมกลับมาถึงห้องตัวเองก็ตอนหัวค่ำแล้ว เพราะทนความร้อนแรงของแสงแดดช่วงบ่ายไม่ไหว สงสัยคงเพราะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในห้องปิดทึบไร้ซึ่งแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มานานหลายวันจนชิน

ผมอาบน้ำเสร็จก็มานั่งๆนอนๆดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย ผ่านไปครู่เดียวเท่านั้น ผมก็ดันไปนึกถึงเรื่องแฟนเก่าขึ้นมาซะเฉยๆ

แน่นอนครับ มันเป็นอีกเรื่องที่สมองเรา"ชดเชย"จากการที่เราวิ่งหนีความจริงเยี่ยงคนขี้ขลาดไปหลายวันที่เล่นยาไอซ์

สิ่งที่ผมรับรู้ในสมองตอนนี้คือความเคว้งคว้าง โดดเดี่ยว มันคิดถึงอยู่แต่ภาพในช่วงเวลาของการเล่นยาไอซ์ เวลาที่เราหลีกหนีจากเรื่องเครียดและความเจ็บปวดในหัวใจไปได้

คิดถึงเพื่อนในวงปาร์ตี้ที่เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คิดถึงความรู้สึกที่ดีเมื่อได้รับยาไอซ์เข้าไป

แล้วก็โยงเข้ามาปนเปกับเรื่องความรักที่ผมเพิ่งสูญเสียมันไป

.............. ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมเหงาเหลือเกิน!


ตั้งแต่ผมเลิกรากับแฟนผมเมื่อราวๆ 1 เดือนที่ผ่านมา ผมไม่เคยโทรศัพท์หรือเดินเข้าไปอ้อนวอนขอร้องให้เขากลับมา ... แม้เพียงแค่คิด ผมก็ไม่เคย!

ผมยอมรับครับว่าผมมีความหยิ่งทระนงตัวสูง

แต่นาทีนี้ หัวใจของผมที่ยังไม่แข็งแรงดี บวกกับหัวสมองของผมที่กลับมาสู่ความจริงหลังจากที่วิ่งหนีมันไปได้หลายวัน

ทำให้ผมร้องไห้ฟูมฟายเสียอกเสียใจอยู่คนเดียว ก่อนที่จะทำในสิ่งที่ผมเองก็แทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะทำไปได้


ผมกดโทรศัพท์มือถือ โทรไปหาแฟนเก่าของผม แล้วอ้อนวอนขอให้เขากลับมา!................

วินาทีนั้นผมเหมือนคนขี้แพ้ ไม่ใช่แพ้ต่อคนอื่น แต่พ่ายแพ้ต่อตัวเอง แพ้ตั้งแต่คิดที่จะใช้ยาเสพติดวิ่งหนีความจริงแล้ว

และสุดท้ายผมก็หนีมันไม่พ้น

เพราะความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย มันเป็นอมตะและจะคงอยู่ไปจนชั่วนิรันดร์

แฟนเก่าผมพอได้ฟังประโยคที่ผมพูดออกมา ก็ถึงกับอึ้งไป คงคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินผมพูดแบบนี้สินะ

ส่วนคำตอบที่ได้มานั้น ยิ่งทำให้ผมช้ำหนักกว่าเดิม

ครับ ................................. เขาไม่กลับมา

ไปแล้วไปลับไม่กลับมา แทนที่ตอนที่เขายังอยู่กับเรา เราน่าจะทำช่วงเวลานั้นให้ดีที่สุด มันจะได้ไม่เป็นแบบนี้ จะมาเรียกร้องอ้อนวอนทำไมให้เสียเวลาเปล่าๆ


ผมไม่รู้จะทำอย่างไร จึงโทรไปหาเพื่อนที่อยู่หอพักใกล้ๆ ส่งสัญญาณ S.O.S ไปหามัน ................ ช่วยกูด้วยเพื่อน กูไม่ไหวแล้ว

เพื่อนผมก็รีบมาหาที่ห้อง และเมื่อได้เห็นสภาพผมที่ขาดสารอาหารติดกันหลายวัน อดนอนติดกันหลายคืน

แทนที่มันจะปลอบ กลับกลายเป็นด่าเสียนี่!

"เมิงดูสารรูปตัวเองบ้างหรือเปล่า กูเข้าใจที่เมิงเสียใจนะ แต่เมิงจะทำร้ายตัวเองไปทำไม เมื่อก่อนเมิงไม่เป็นแบบนี้นี่นา" เพื่อนผมเทศน์ชุดใหญ่

"ก็กู ทำใจไม่ได้........" น้ำตาผมไหลเป็นทาง

"เมิงรู้รึเปล่าว่า คนเราน่ะมีน้อยคนนักที่เกิดมาแล้วจะรักแค่คนๆเดียว เมิงยังอายุแค่ 21 เวลาในชีวิตยังมีอีกเยอะ ทำไมเมิงไม่คิดว่าเดี๋ยวเมิงก็เจอคนใหม่ที่เค้ารักเมิง ไม่ช้าก็เร็ว แต่ก็ภายในชาตินี้นี่แหละ กูรับรอง"

ผมยังคงร้องไห้ ใจที่ไม่เข้มแข็งพอ ใจที่วิ่งหนีความจริง แทนที่จะยืดหยัดต่อสู้กับมัน คนเราเมื่อล้ม...จะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมถ้าลุกขึ้นยืนใหม่ด้วยหัวใจของตัวเอง

ต่อจากนั้น ผมก็โดนเพื่อเทศนาอีกหลายชุด แต่ผมไม่ได้บอกมันนะว่าผมไปเล่นยาไอซ์มาเลยโทรมเป็นศพ หนวดเครารกรุงรังแบบนี้

เมื่อผมเริ่มดีขึ้น เพื่อนของผมก็ขอตัวกลับไปนอนพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้มันมีเรียน

ผมไม่มีกะจิตกะใจจะไปเรียนอะไรแล้ว แม้กระทั่งดูแลตัวเองก็ไม่อยากทำ รู้สึกเพียงตอนนี้ทำอะไรก็ไม่มีความสุขเลย

ทำไมนะ ?? เพราะหลายๆกิจกรรมที่ผมเคยทำก่อนที่จะเล่นยาไอซ์ ผมก็ทำได้นี่ แต่ตอนนี้ มันไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น มันห่อเหี่ยวไปหมด ละเหี่ยใจจริงๆ

เพราะอะไรกัน?


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

“ฤทธิเสพติด”


สารที่ทำให้เกิดการเสพติดได้นั้นต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่เรียกว่า reinforcing property ซึ่งหมายถึง การที่สารดังกล่าวสามารถทำให้ผู้เสพเกิดความต้องการใช้ซ้ำอีก หรือใช้อย่างต่อเนื่อง
การทดสอบคุณสมบัติดังกล่าวของยาหรือสารจะอาศัยการทดลองในสัตว์ (animal self-administration)
โดยวิธีซึ่งเป็นที่ยอมรับกันคือ การสอด catheter เข้าไปในเส้นเลือดดำของสัตว์ทดลอง ปลายอีกข้างของ catheter จะต่อเข้ากับ pump และที่บรรจุสารที่ต้องการศึกษา
สัตว์จะถูกฝึกให้เรียนรู้ว่าการกดแป้นหรือสวิทช์จะเป็นการฉีดสารทดลองเข้าสู่ตัวเอง
การที่สัตว์ซึ่งถูกฝึกแล้วเลือกฉีดสารชนิดใดเข้าสู่ตัวเองโดยสมัครใจ ถือว่าสารดังกล่าวทำให้เกิด self-administration และจะถูกจัดเป็นสารที่ทำให้เกิดการ"เสพติด"ได้

ในการอธิบายว่าสารเสพย์ติดทำให้เกิด self-administration ในสัตว์ หรือการใช้อย่างต่อเนื่องในมนุษย์ได้อย่างไรนั้น
หากพิจารณาในแง่คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของสารเสพย์ติดแต่ละชนิด เช่น
opiates(ฝิ่น/มอร์ฟีน/เฮโรอีน) ลดอาการปวดและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ (mood) โดยการกระตุ้น opioid receptors ในสมอง
ในขณะที่ amphetamine (ยาบ้า/ยาไอซ์) กระตุ้นให้มีระดับสารโดปามีน(Dopamine) และ norepinephrine เพิ่มขึ้นในบริเวณ synapse ทำให้เกิดการกระตุ้นอารมณ์ และ ความตื่นตัว (arousal)
สำหรับ ethanol (สุรา) นั้นทำให้มีการเปลี่ยนแปลงใน การทำงานของ GABAA และ NMDA - glutamate receptor เป็นผลให้เกิดการผ่อนคลายและการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ในภาวะ intoxication
ส่วนฤทธิ์หลอนประสาทของ MDMA (ยาอี) เป็นผลจากการเพิ่มปริมาณสารเซโรโทนิน ในสมอง
แต่ใน ketamine (ยาเค) นั้นเป็นผลจากคุณสมบัติ NMDA receptor antagonist ใน cortex และ limbic system

ซึ่งจะเห็นได้ว่า สารเสพติดชนิดต่าง ๆ มีกลไกการออกฤทธิ์ต่อสมองที่มีลักษณะหลากหลาย แต่ทุกตัวทำให้เกิดการเสพติดได้เหมือนกัน
จากเหตุผลดังกล่าวนี้ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานตามมาว่า สารเสพย์ติดทั้งหลายน่าจะมีลักษณะร่วมกันบางประการ โดยมีการออกฤทธิ์ต่อสมองหรือการทำงานของสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง
โดยที่สมองส่วนดังกล่าวมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเสพติดโดยเฉพาะ


Brain reward circuit คืออะไร?


ในการทำ intracranial self stimulation ในสัตว์ทดลองโดยการฝัง electrode ลงไปในสมองของสัตว์และฝึกให้สัตว์ดังกล่าวเรียนรู้ว่าการกดสวิทช์จะเป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นสมองตัวเองนั้น
พบว่ามีสมองบางส่วนเมื่อถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้าแล้วทำให้สัตว์ทดลองเกิดความพอใจและกระตุ้นสมองตัวเองซ้ำ

ซึ่งการศึกษาดังกล่าวในมนุษย์โดย Heath ในปี 1964 ให้ผลตรงกัน
โดยผู้ถูกทดลองบรรยายความรู้สึกว่าการกระตุ้นสมองดังกล่าวทำให้เกิด euphoria (ความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม/เคลิ้มสุข) ขึ้น
ผลการศึกษาในช่วง 15 ปีต่อมาระบุว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ intracranial self stimulation คือ mesolimbic dopamine system
ซึ่งประกอบด้วย nuclei และ neural fibers (projections) ที่เชื่อมระหว่าง brain stem กับ cortex ได้แก่ ventral tegmental area, nucleus accumbens, prefrontal cortex ฯลฯ

และเรียกสมองส่วนนี้ว่า brain reward circuit หรือ pleasure centers โดยมี dopamine(สารโดปามีน) เป็นกลไกการทำงานที่สำคัญ
ทำให้ได้ข้อสรุปว่า mesolimbic dopamine system หรือ brain reward circuit เป็นส่วนของสมองที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ reinforcing property ของสารเสพติด
ซึ่งทำให้ผู้เสพเกิดความพอใจ หรือภาวะ “high“ (ไฮ/ดีด) และมีความต้องการใช้ซ้ำอีก ซึ่งนำไปสู่การติดสารเสพติดในที่สุด


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ตอนนี้ผ่านมา 3 วันแล้ว ผมไม่ได้ไปเรียน วันๆเอาแต่อยู่ในห้อง มันไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้ละเหี่ยใจแบบนี้เลยนะครับในชีวิต

และเหมือนกับรู้ใจ เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น พอหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของพี่เพียว

"ครับ พี่เพียว" ผมรับสาย

"เย็นนี้ว่างมั้ย ตี้กัน" พี่เพียวชวนผมไปปาร์ตี้ยาไอซ์

"ที่ไหนอะพี่ " ผมถาม

"ห้องพี่ เด๋วพี่ชวนเพื่อนมาด้วยอีก 2 คน จะได้หารค่าสเก็ตกัน" พี่เพียวตรงไปตรงมาเสมอ

"แล้วเราจะไปเอายาที่ไหนพี่?" ใช่!! เรื่องนี้แหละสำคัญที่สุด

"ก็เอาที่พี่บีไง พี่โทรไปขอเบอร์จากเจ ตอนแรกเจมันก็จะไม่ให้ จะให้สั่งผ่านมัน แต่พี่บอกมันว่าให้ไว้ใจพี่ พี่ไม่ทำมันเสียหรอก มันก็เลยยอมให้

เออ...เห็นมันบอกว่ามีเพื่อนพี่บีคนนึงชอบน้องด้วยนะ เค้ากำลังอยากเจอพอดี"

เอาแล้วไง ความรักต้องห้าม เก๋เคยเตือนผมว่า ห้ามมีความรักในวงตี้โดยเด็ดขาด เรื่องเซ็กส์น่ะมีได้ แต่รักน่ะ รักนอกวงตี้ดีกว่า

"โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมเตรียมตัวแป๊ปนะ แล้วจะให้ไปเจอกันที่ไหน?" ผมรู้สึกลิงโลดใจเหมือนเด็กได้ของเล่น

"เจอที่ BTS สะพานควายละกัน จะได้แวะไปเอาสเก็ตที่บ้านพี่บีก่อนแล้วค่อยไปห้องพี่พร้อมกัน ตกลงมั้ย ส่วนค่าสเก็ตก็หารเท่าเดิม คนละ 750" พี่เพียวสรุปยอดให้เสร็จสรรพ

"ครับ ตามนั้น ประมาณชั่วโมงนึงนะ เจอกันพี่" ผมวางสายแล้วรีบแต่งตัวออกไปทันที


และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเข้าไปติดต่อขอซื้อ"ยาเสพติด"ด้วยตัวเอง



จบตอน 9 มิตรภาพ




**********************************************************

ตอนที่#10.... วงการ


ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ผมกำลังยืนรอพี่เพียวอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานควาย พร้อมกับความชื่นมื่นในหัวใจ เพราะกำลังจะได้ปาร็์ตี้อีกครั้ง

ผมมองดูลงไปเบื้องล่าง ผู้คนมากมายเดินผ่านไปผ่านมา ย่านสะพานควายนี่คนพลุกพล่านจริงๆ ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้มีโรงภาพยนต์ที่ฉายหนังอย่างว่าด้วยนี่

แถมผมยังเคยได้ยินกิตติศัพท์ด้วยว่าย่านสะพานควายนี้มีผู้ค้ายาเสพติดอยู่หลายราย

จะว่าไปมันก็เหมือนประโยคที่ว่า .....

"จะซ่อนต้นไม้ต้องซ่อนในป่า"

ใช่ครับ .... ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด

ทำนองเดียวกันกับโรงพยาบาลไงครับ ที่มีแต่คนป่วย และหากเราไม่แข็งแรงพอก็อาจติดโรคจากคนป่วยเหล่านั้นได้ แต่ในทางกลับกัน ที่นี่ก็สามารถรักษาชีวิตของเราต่อไปได้ด้วยฝีมือของแพทย์

ผมยืนชมวิวดูผู้คนเพลิดเพลินอารมณ์ไปได้สัก 15 นาที พี่เพียวก็โทรเข้ามาหาผม บอกให้ลงมาข้างล่างแล้วเจอกันที่ปากซอยทางเข้าบ้านพี่บี ซึ่งผมเคยไปเยือนแล้วครั้งหนึ่งจึงรู้ว่าอยู่ที่ไหน

เมื่อเจอกับพี่เพียวแล้ว ผมก็จ่ายเงินให้พี่เพียวเพื่อนำไปรวมกับของคนอื่นๆ เอาไปซื้อยาไอซ์

ตอนนี้จำนวนเงินที่ผมไปปาร์ตี้ยาไอซ์ตั้งแต่ครั้งแรกเป็นต้นมา ก็ปาเข้าไป 2,750 บาทเข้าไปแล้ว

ในเวลาแค่สัปดาห์กว่าๆ เด็กมหาลัยที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ได้ผลาญเงินพ่อแม่ไปแล้วเกือบ 3,000 บาท!

เหมือนเช่นเคย พี่บีเปิดประตูบ้านแล้วพาพวกเราเดินขึ้นบันไดไปชั้นดาดฟ้า

พอขึ้นไปถึงห้องบนชั้นดาดฟ้า ก็พบว่าในนั้นมีเพื่อนพี่บีอยู่ด้วยอีก 2 คน เป็นผู้หญิงทั้งสองคน แต่ด้วยแสงไฟที่สลัวๆ ทำให้มองเห็นใบหน้าของเธอไม่ชัด เห็นแค่เพียงรูปร่างที่ค่อนข้างผอม

หุ่นนางแบบมั้ง อิอิ ผมแอบแซวในใจ

พี่บีแนะนำให้ผมและพี่เพียวรู้จักกับสุภาพสตรีทั้งสองคนในห้อง ทั้งสองคนอายุมากกว่าผม จึงต้องเรียกพวกเขาว่า "พี่"

"นี่โบว์กับแพรว" พี่บีแนะนำ

ผมยกมือไหว้พร้อมกับส่งยิ้มทักทายให้กับสาวทั้งสองคน ขณะที่มองหน้ากันนั้น sense ของผมบอกได้เลยว่าพี่สาวคนไหนที่ชอบผม ก็ตามันฟ้องอ่ะ

ตัวผมเองก็ไม่ถึงกับหล่อเหลามาดแมนหุ่นนายแบบอะไรขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่หนุ่มตี๋ ขาว ดูน่ารักแบบตี๋ๆ สงสัยคงจะถูกชะตาพี่แพรวเขาล่ะมั้ง หุหุ

เรานั่งคุยกันพอเป็นมารยาทเพื่อไม่ให้อึดอัด เพราะว่าเพิ่งรู้จักกัน บังเอิญว่าผมกับพี่เพียวเป็นคนเข้ากับคนง่ายซะด้วย เลยทำให้คุยกันได้แป๊ปเดียวก็เหมือนจะสนิทกันแล้ว

จะว่าไปอาจด้วยเพราะพี่แพรวนี่เอง ที่เป็นใบเบิกทางพาผมเข้าสู่วงการยาเสพติด เพราะลำพังตัวผมเองคงไม่กล้าหาญชาญชัยบุกมาถึงที่นี่คนเดียวแน่ๆ

และเจ้าเจเองมันก็คงหวงเบอร์พี่บี ไม่ยอมให้พี่เพียวมาซื้อยากับพี่บีง่ายๆหรอก ถ้าพี่บีไม่บอกผ่านเจมาว่าเพื่อนของเขาชอบผม

นี่มันเป็นความโชคดี หรือ ความโชคร้ายกันแน่เนี่ย??

แต่ถึงยังไง ผมก็ยังนึกถึงคำพูดของเพื่อนเก๋อยู่ตลอดที่ว่า "ห้ามมีรักในวงตี้ ........... เด็ดขาด!"

เพราะมันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ วูบวาบ เหมือนเตาแก๊สที่จุดไฟติดอย่างรวดเร็วแล้วก็พลันดับลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน มันไม่ใช่ความรักครับ เป็นแค่อารมณ์ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ในวงการยาเสพติด ผู้เสพหรือผู้ค้ารายย่อยที่ซื้อยาเสพติดจากเอเย่นต์เจ้าประจำ เขาจะ"หวง"เอเย่นต์ครับ

และเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวงการค้ายา ที่เราจะข้ามหน้าข้ามตาคนขายของเราไปซื้อเองที่เอเย่นต์โดยที่ผู้ขายของเราไม่ยินยอมไม่ได้เด็ดขาด

ประมาณว่าไปแอบขอเบอร์เอเย่นต์ลับหลังผู้ขายของเรา ถือว่าเสียมารยาทมากๆครับ เขาอาจจะเลิกติดต่อกับเราไปอีกเลย ทำให้เราหาซื้อยาไม่ได้

เพราะของอย่างยาเสพติดมันไม่ได้หาซื้อกันง่ายๆ ยิ่งถ้าเป็นเจ้าที่ของดีและให้ยาเยอะแล้วนั้น ยิ่งหายากยิ่งกว่าอะไรเลย

ดังนั้น ผมจึงเดินเข้ามาในวงการนี้ด้วย"ทางลัด" ไม่ต้องค่อยๆไต่ขึ้นมาอย่างคนอื่นเค้า


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


พี่บีใจดีอีกตามเคย บอกให้เราดูดยาในโจ๋ของแกไปก่อนระหว่างรอ ผมเลยได้โอกาสสังเกตโจ๋ของ"มืออาชีพ" ว่าเขาทำกันยังไง

เท่าที่เห็นหลักๆก็เหมือนกับโจ๋ที่ห้องป๋านั่นแหละ แต่ดูดีกว่า ดูแน่นกว่า เป็นมืออาชีพกว่า แถมผลึกยาไอซ์ที่เกาะอยู่ในหลอดแก้วก็เยอะกว่าของป๋ามากหลายเท่า

นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่า "เอเย่นต์" มีของเยอะจนไม่ต้องกลัวว่ามันจะหมด เล่นได้เท่าที่อยากจะเล่น

พี่บีไขกุญแจเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือเหมือนเดิม จากนั้นก็หยิบซองซิปล็อกขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ผลึกที่อยู่ภายในถุงก็ทำให้ผมตาโตเหมือนเดิม โอ้ววววว......ภูเขาน้ำแข็ง

ผลึกนะครับ ไม่ใช่ เกล็ด

วันนี้ผมได้ความรู้เพิ่มอีกอย่าง คือข้อมูลของ "น้ำหนัก" ของยาไอซ์ เพราะเคยสงสัยตั้งนานแล้วว่า ไอ้ยาไอซ์ 1 จี หรือ 1 กรัม เนี่ย มันหนักเท่าไหร่??

ผมเลยขออนุญาตพี่บีเข้าไปสังเกตการณ์ และพี่เขาก็ใจดีอนุญาตตามคำขอ อาจเพราะอยากเอาใจพี่แพรว ผมเลยขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆโต๊ะจ่ายยาของพี่บี

ตาชั่งดิจิตอลขนาดประมาณกล่องนมแล็คตาซอย กล่องใหญ่ 1 กล่องแต่บางกว่า แค่สัก 1/3 น่าจะได้ เมื่อพี่บีวางซองยาซิปล็อกซองจิ๋ว ที่ภายในบรรจุเกล็ดยาไอซ์ที่แบ่งมาจากถุงใหญ่จำนวนหนึ่งลงไปบนตาชั่ง

ตัวเลขขึ้นมาที่ 0.480 กรัม

อ๋า นี่ยังไม่ถึงครึ่งจีเลยนะ ผมสงสัย

เมื่อพี่บีเห็นตัวเลขเสร็จก็เปิดถุงยาไอซ์ออก ทีแรกผมนึกว่าเขาจะตักยาใส่เพิ่มลงไปให้ถึง 1.000 กรัม แต่เขากลับตักออก ผมก็เลยทำใจดีสู้เสือถามไปว่าไอ้ยาไอซ์ 1 จีนี่มันหนักเท่าไหร่หรือครับเพ่??

พี่บีอธิบายให้ฟังว่า น้ำหนัก 1 จีนั้นคือน้ำหนักของยาไอซ์ + น้ำหนักของซองยาซิปล็อกซองจิ๋วที่ใช้บรรจุ "รวมกัน"???

พูดเสร็จพี่บีก็หยิบซองยาซองจิ๋วมาชั่งให้ดู ปรากฎว่า น้ำหนักของซองยาเปล่าๆ เล็กๆ เห็นอย่างนั้นก็ปาเข้าไป 0.6 กรัมเข้าไปแล้ว โอ้.......หนักกว่าที่คิดแยะเลยแฮะ

ดังนั้นตามหลักคณิตศาสตร์ง่ายๆ เมื่อน้ำหนักถุงอยู่ที่ 0.6 กรัม เพราะฉะนั้น ก็จะเหลือน้ำหนักยาไอซ์เพียงแค่ 0.4 กรัมเท่านั้น!!

พี่บีเสริมด้วยว่า เขาถูกชะตากับผมถึงบอกนะ ปกติเรื่องนี้เค้าจะไม่บอกกันหรอก ถ้าอยากรู้ก็อยู่ในวงการนานๆ เดี๋ยวก็จะรู้เอง แต่นี่ผมเพิ่งเป็น Freshy เข้าวงการมาได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็ประจักษ์แจ้งแล้ว

โชคดี หรือ โชคร้าย เนี่ย???

เมื่อพี่บีตักยาที่คิดว่าเกินน้ำหนักออกไปเสร็จ ก็นำมาชั่งใหม่ คราวนี้ตัวเลขที่หน้าจอขึ้นว่า 0.420 กรัม ก็ยังเกินมานิดนึง

แต่คราวนี้พี่บีไม่ตักออกครับ แต่ยื่นซองยาให้ผมพร้อมกับบอกว่า "อ่ะ พี่แถมให้นิดหน่อย เป็นของขวัญต้อนรับน้องใหม่ก็ละกัน"

ถึงจะเกินมาแค่ 0.02 กรัม แต่ปริมาณยาในซองกลับดูมากกว่าเมื่อครั้งที่ผมเห็นจากของเจพอสมควรเลยครับ

จากนั้นพี่เพียวก็จ่ายเงินให้พี่บีไป 3,000 บาท

เสร็จแล้วพวกเราก็ขอตัวกลับ เพราะสมาชิกที่เหลืออีก 2 คน กำลังรออยู่ที่ห้องของพี่เพียว


เรานั่งแท็กซี่ไปห้องพี่เพียวแถวตลาดแฮปปี้แลนด์ ย่านบางกะปิ เหมือนเช่นเคยที่การเดินทางขามากับขากลับนั้น ความรู้สึกมันช่างแตกต่าง

ถึงแม้ตอนนั้นจะยังเป็นช่วงหัวค่ำอยู่ก็จริง และพี่เพียวผู้มีประสบการณ์สูงก็พูดให้ผมมั่นใจแล้วว่า เวลานี้"ด่านตรวจ"ยังไม่ตั้งกันหรอก ต้องรอประมาณหลัง 4 ทุ่มเป็นต้นไป

แต่ผมก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี ในใจก็คิดระแวงไปหมดว่าถ้าเจอด่านแล้วเราไม่ซวยกันเหรอ หรือถ้าคนขับแท็กซี่เป็นสายให้ตำรวจแล้วเราจะทำยังไง?

ผมนั่งกังวลอยู่ประมาณ 20 นาที ก็มาถึงอพาร์ทเมนต์ของพี่เพียวโดยสวัสดิภาพ เราขึ้นไปบนห้องก็พบสมาชิกนั่งรออยู่ 2 คน ทั้งคู่เป็นเด็กมหาลัย ชื่อนัทกับต้าร์

หลังจากแนะนำตัวและทักทายกันพอเป็นพิธี งานปาร์ตี้ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีพี่เพียวซึ่งอาวุโสที่สุดเป็นคนเปิดงาน ตามมาด้วยน้องๆทั้ง 3 คน

พอสูดควันยาไอซ์เข้าไป ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านๆมาครับ

ผมขนลุกซู่เลย และความเคลิ้มในหัวก็เพิ่มมากกว่าเดิม สงสัยคงเป็นเพราะสมองเริ่มปรับตัวให้รับ"ฟีล"จากยาไอซ์แบบเต็มๆแล้วมั้ง

หรือไม่ก็เพราะในครั้งแรกๆ ผมยัง"ดูด"ยาไอซ์ไม่ถูกวิธี เลยทำให้ได้ปริมาณยาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ดูดยาไปได้สักพัก นัทกับต้าร์ก็ไปนั่งเล่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่เขาพกมาด้วย บอกว่าเดี๋ยวจะเปิดเพลงให้ฟัง ดีเลย มีดีเจด้วย

ส่วนผมกับพี่เพียวก็นั่งคุยกันเพลิดเพลินจากฤทธิ์ยา

พี่เพียวบอกว่า ตอนนี้เค้าได้พี่บีมาเป็นเอเย่นต์ขายยาให้เขาแล้ว ทำให้สามารถซื้อยาได้ในปริมาณที่คุ้มค่าและได้มาตรฐาน เพราะพี่บีแกก็ไม่ใช่ผู้ค้ารายเล็กๆ พี่เพียวเลยบอกว่าอาจจะไปรับยาจากพี่บีมาปล่อยต่อ!

ผมนิ่งอึ้ง อะไรนะ ..........นี่คิดจะยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ขายเลยเหรอเนี่ย???

พี่เพียวถามผมว่าจะร่วมหุ้นกับเขามั้ย?

ใครจะกล้าล่ะครับ แค่เล่นยาอย่างเดียวผมก็กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด ถ้าขืนให้ไปขายก็คง......นะ


ผมเลยตอบพี่เพียวไปว่า ผมขอเล่นอย่างเดียวก็พอ แต่ถ้ามีเงินก็จะเอามาร่วมหุ้นหารค่ายาด้วย แต่กำไรจากการขายผมไม่เอา ผมขอแค่มียาให้ผมเล่นก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆก็จะช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้

พี่เพียวก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าโอเค ...... ตามนั้น

คุยกันเสร็จนัทกับต้าร์ก็เปิดเพลงสากลเพราะๆให้ฟัง แล้วพวกเราก็มารวมตัวกันนั่งจั่วไพ่เหมือนเคย

ผ่านไป 1 วันอย่างรวดเร็ว และเหมือนเคยคือพวกเรากินกันแต่น้ำ แต่ไม่กินข้าว เพราะไม่หิว


ยังจำได้ไหมครับที่ผมบอกในตอนที่แล้วว่า ถ้าเล่นยาไอซ์มาพักนึง จะทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมากกว่าปกติ ภาษาชาวบ้านเรียกว่าอะไร ผมคิดว่าคุณผู้อ่านคงจะทราบ แต่พิมพ์ในนี้ไม่ได้เพราะมันไม่สุภาพ

จากที่เล่นโน้ตบุ๊คธรรมดา ก็กลายเป็นเปิดหนังอย่างว่าดูกัน

แต่ในห้องมันดันมีแต่ผู้ชายนี่สิ ไม่มีผู้หญิงสักคน !!

ดูไปได้สักพัก พี่เพียวก็เข้าไปนั่งเล่น MSN คุยกับสาวที่ไหนไม่รู้ บอกแค่ว่าเดี๋ยวได้สนุกกันแน่


เอาล่ะเว้ยยยย!!!........................

จบตอน 10 วงการ




**********************************************************

ตอนที่#11.... มั่วสุม


พี่เพียวแจ้งให้สมาชิกในห้องทราบว่า จะมีสาวๆ มาร่วมปาร์ตี้ด้วย จึงขอหยั่งเสียงสมาชิกในห้องก่อน

และก็เป็นมติเอกฉันท์อีกครั้ง

พี่เพียวเรียกผมไปคุยที่นอกระเบียงห้อง เกี่ยวกับเรื่องยาไอซ์ เพราะเมื่อมีสมาชิกเพิ่ม ก็เท่ากับว่าก็ต้องหายามาเพิ่มด้วยเช่นกัน

พี่เพียวจึงชวนผมออกไปซื้อยาที่พี่บี แต่ติดตรงเรื่องเงิน เพราะอย่างที่รู้กันว่าราคามันแพง พี่เพียวเสนอให้ผมหารค่ายากับเขาคนละครึ่ง

โดยครึ่งหนึ่งของปริมาณยาให้ผมเก็บเอาไว้ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเขาจะเอาไว้ใช้กับเพื่อนสาวๆของเขา

เป็นข้อตกลงที่ยุติธรรมดี แต่ปัญหาคือยาไอซ์จีละ 3,000 บาท ถ้าออกครึ่งหนึ่งก็ปาเข้าไป 1,500 บาท เงินในกระเป๋าผมคงพร่องไปเยอะเลย คิดได้ดังนี้หน้าผมลีบเหลือนิ้วเดียว

นั่นเท่ากับว่าภายในเวลาแค่ 2 สัปดาห์ เด็กมหาลัยที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองอย่างผม ใช้เงินเฉพาะค่ายาไอซ์ไปแล้วกว่า 4,250 บาท ถือว่าใช้เงินมือเติบมากสำหรับเด็กที่ยังต้องขอเงินพ่อแม่อยู่

แต่ตอนนั้นผมยอมรับว่ามันหน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว สติและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเหมือนถูกบดบังจนเลือนหายไปจากหัวสมองและจิตสำนึกจนหมดสิ้น

ไม่นานนัก ผมก็มาอยู่ในห้องบนชั้นดาดฟ้าที่บ้านพี่บีอีกครั้งจนได้ครับ

พี่บีมีท่าทีพออกพอใจอย่างมากที่ลูกค้ารายใหม่ 2 คนนี้ มาอุดหนุนสินค้าแกติดต่อกัน 2 วันติด รวมแล้วแกได้เงินจากพวกเราไป 6,000 บาทแล้ว ภายในเวลาแค่ 2 วัน

ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า คนค้ายาเสพติดนี่เขาจะรวยขนาดไหนนะ?

เพราะเท่าที่สังเกตดูฐานะของพี่บีก็ค่อนข้างดีเลยล่ะครับ ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม มีรถหรูขับราคาหลักล้าน แต่ผมก็หยุดความคิดไว้แค่นั้นนะ เพราะใจผมไม่กล้าถึงขั้นไปเป็น"ผู้ค้า"หรอกครับ

และเหมือนรู้ใจ พี่บีแกกระซิบบอกผมให้ผมอยู่ปาร์ตี้ที่ห้องแกก่อน แล้วค่อยกลับไปห้องพี่เพียว เพราะพี่แพรวเพื่อนของเขาอยากให้ผมอยู่ หึหึ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไปเถอะนะ อิอิ

หลังจากที่ขออนุญาตพี่เพียวแล้ว ผมจึงอยู่ต่อที่ห้องพี่บี ชาย 2 หญิง 2 ครบคู่อยู่พร้อมหน้า คงไม่ต้องบอกนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น?


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ในทางวิทยาศาสตร์ ทั้งมนุษย์เพศชายและเพศหญิงเมื่อเสพยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีนเข้าไปแล้วระยะหนึ่ง ประมาณ 12 - 48 ชั่วโมง

จะทำให้เกิด "ความต้องการทางเพศสูงกว่าปกติ" แต่มีข้อแตกต่างระหว่างชายกับหญิงอยู่ 1 อย่าง

ในผู้ชาย เมื่อเสพเมทแอมเฟตามีนเข้าไประดับหนึ่ง อวัยวะเพศชายมักจะไม่แข็งตัว

แต่ไม่ได้เป็นทุกคนนะครับ ประมาณ 70 - 80% จะมีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถทำกิจกรรมได้อย่างเป็นปกติ

ดังนั้นจึงต้องมียาชนิดหนึ่งเข้ามามีบทบาทร่วมด้วย คือ "ยาไวอากร้า"

จึงเป็นเหมือนของคู่กันในหมู่ผู้ใช้ยาไอซ์-ยาบ้า ที่มักจะต้องมียาไวอากร้าเป็นตัวช่วยในการประกอบกิจกรรมทางเพศ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ที่ผ่านๆมา ปาร์ตี้ยาไอซ์ของผมก็เป็นลักษณะของปาร์ตี้ไพ่ ปาร์ตี้พูดคุยเฮฮา แต่ครั้งนี้มันกำลังจะกลายเป็น "ปาร์ตี้เซ็กส์"

เปรียบไปก็เหมือนการดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดแห่งอบายภูมิ ตอนนี้ผมกำลังดำดิ่งลงไปเข้าใกล้"ก้นบึ้ง"แห่งอบายภูมิมากขึ้นทุกขณะ

รวมกับการ"เต็มใจ"เดินเข้ามาสู่วงการนี้แบบ"เต็มตัว"ด้วยขาและความสมัครใจของตัวเอง จึงไม่มีสิ่งใดฉุดรั้งผมให้หลุดพ้นออกมาจากความมืดมิดอันน่ากลัวนี้ได้

เปรียบเหมือนสำนวนไทยที่ว่า........

"คบคนพาล พาลพาไปหาผิด ..... คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล"

และตอนนี้ผมก็กำลังอยู่ในหมู่มวลของคนพาล ท่ามกลาง"อบายมุข"ที่แวดล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา


นอกจากยาไวอากร้าที่ผมคิดว่าผมใช้มันก่อนเวลาอันควรหลายสิบปีแล้วนั้น พี่บีนำของบางอย่างมาให้ลองขณะกำลังปาร์ตี้เซ็กส์ด้วย มันมีชื่อว่า "ป๊อปเปอร์"

มันมีรูปร่างหน้าตาเป็นขวดแก้วเล็กๆสีชา ขนาดเท่าขวดบรรจุน้ำมันหอมระเหยขวดจิ๋ว สูงประมาณ 1 นิ้ว ภายในบรรจุของเหลวใสมีกลิ่นฉุนคล้ายทินเนอร์ แต่ฉุนกว่านั้นมาก

พี่บีเอามันมาจ่อใกล้กับรูจมูกผม แล้วบอกให้ผมสูดหายใจเข้าไปลึกๆ

เจ้าป๊อปเปอร์แสดงฤทธิ์อย่างรวดเร็วแทบจะทันทีที่สูดมันเข้าไป ผมรู้สึกหนักหัว เหมือนศีรษะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกสัก 10 กิโลได้ สมองตื้อๆ รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า

จากนั้นพี่บีก็ทำแบบเดียวกันนี้กับสมาชิกที่เหลือบนเตียง


ป๊อปเปอร์คืออะไร?


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ป๊อปเปอร์ (Popper) มีชื่อทางเคมีว่า "อะมิลไนไตรท์" หรือ "บิวทิลไนไตรท์" เดิมมันใช้เป็นน้ำยาล้างหัวเทปหรือเช็ดเครื่องหนัง แต่คนนำมันมาใช้ในทางที่ผิด

ป๊อปเปอร์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด และกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น นิยมใช้ขณะมีเพศสัมพันธ์กันเพื่อความสนุกและลดความเจ็บปวด

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

เมื่อความสนุกชั่วขณะจบลง ผมยังคงรู้สึกมึนศีรษะด้วยฤทธิ์ของป๊อปเปอร์ แต่ก็ฝืนขอตัวกลับไปห้องพี่เพียว

และอาจด้วยเพราะจิตสำนึกดีๆส่วนลึกของผมนั้นอาจจะยังไม่หายไปหมดสิ้น

ผมรู้สึกไม่ดีกับปาร์ตี้เซ็กส์ที่เพิ่งจบลงครับ

ไม่ว่าจะด้วยเหตผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อผมถามตัวเองว่าเราพอใจกับมันมั้ย? ครับ ผมพอใจ ...... แต่ถ้าถามว่า สุขใจมั้ย? ไม่เลยครับ เพราะมันไม่ได้เกิดจาก "ความรัก"

ความรัก กับ ความใคร่ มันต่างกันมากเหลือเกิน

ถึงแม้ว่าผมจะต้องเจ็บปวดจากความรัก แต่ผมกลับคิดว่าความรักไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่มนุษย์ที่ทำร้ายกันเอง และทำร้ายตัวเอง

ความรักบริสุทธิ์ในตัวของมัน ไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้มันมัวหมองได้ ตัวอย่างเช่น ความรักของพ่อ-แม่ที่มีต่อลูก คือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เทียบเคียงได้

แต่ความใคร่สามารถสร้างความปวดร้าวและความเจ็บปวดให้มนุษย์ได้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือเพศที่สาม

ดังนั้น มนุษย์จึงขีดเส้นแบ่งระหว่างความรักกับความใคร่เอาไว้ให้อยู่ห่างกัน แต่ตัวมนุษย์เองก็กลับเป็นผู้ผสมปนเปทั้งสองสิ่งจนสับสน และนำไปสู่ความเจ็บปวดได้

หากคุณอ่านไดอารี่ของผมมาตั้งแต่ต้น คุณได้เห็นด้านดีของอบายมุขไปมากพอแล้ว

ต่อไปนี้จะเป็นด้านมืดของมันบ้างครับ


........ ผมกลับมาถึงห้องพี่เพียวตั้งแต่เช้าตรู่ ก็พบว่าปาร์ตี้ของพี่เพียวก็จบลงแล้วเช่นกัน สาวๆ กลับไปหมดเหลือแค่พี่เพียว นัท และต้าร์

ผ่านไป 2 วันสำหรับปาร์ตี้ยาไอซ์ครั้งที่ 3 ในชีวิตผม

อ้อ ..... ลืมเล่าไป ว่าผมนั่งแท็กซี่มาห้องพี่เพียวจากสะพานควายพร้อมด้วยยาไอซ์ ครึ่งจี ที่ซ่อนไว้ในม้วนกระดาษทิชชู่

เป็นการหอบยาเสพติดท่องกลางกรุงเพียงลำพังครั้งแรกของผม

ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจอด่านตรวจแล้วจะทำยังไง?

พอถึงห้องพี่เพียว เราก็ปาร์ตี้ต่อกันอีก 1 วัน 1 คืน จนยาหมดและร่างกายก็หมดความอดทนกับเราแล้วเช่นกัน จึงสมควรแก่เวลาพักผ่อน ต้าร์และนัทจึงขอตัวกลับห้องไป

ส่วนผมกับพี่เพียวนอนสลบเหมือดเหมือนเช่นเคย

จบตอน 11 มั่วสุม




**********************************************************

ตอนที่#12.... เสพติด


เป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์แล้วที่ผมไม่ได้ไปเรียน และหากปล่อยเลยตามเลยไปมากกว่านี้ ผมคงจะหมดสิทธิ์สอบ เพราะเวลาเรียนไม่ถึงเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด

แถมวิชาที่ผมสามารถลงเรียนได้ในเทอมนี้ก็ยิ่งมีน้อยตัวอยู่ด้วย ถ้าต้อง Drop ไปอีก มีหวังเรียนไม่จบจริงๆแน่!

เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงรีบขอตัวลาพี่เพียวกลับไปปฏิบัติภารกิจนักศึกษาที่ดีทันที

ผมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนตั้งแต่เช้า แต่ก็พบว่าตัวเองช้าไปหลายก้าว จนชั้นเรียนเค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ผมยังไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย

และด้วยลักษณะพิเศษของคณะที่ผมเรียนอยู่นั้นที่ต้องทำงานกลุ่มมากกว่าการสอบรายบุคคล บวกกับการที่ผมลงเรียนวิชาล่าช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่น ทำให้ต้องลงไปนั่งเรียนกับรุ่นน้อง

การทำงานกลุ่มและการพึ่งพาอาศัยเพื่อนร่วมชั้นเรียน จึงไม่ราบรื่นเหมือนเดิม

และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสงสัยตัวเองไม่ได้ เพราะปกติผมไม่เคยเป็นแบบนี้

ผมเริ่มมีอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง และรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนได้ยากขึ้น โดยเฉพาะคนปกติที่อยู่นอกวงปาร์ตี้ยาไอซ์ ถ้าเขาทำอะไรขัดหูขัดตาผมล่ะก็ผมจะก้าวร้าวใส่ในทันที

ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ที่โดนผมตวาดด่าใส่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวจนท่านไม่ชอบขี้หน้าผมไปซะแล้ว คงคิดว่าผมเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่

ผมกำลังบอกคุณว่า อาการเหล่านี้ที่เกิดขึ้น คือสัญญาณของ "อาการถอนยา" จากยาเสพติดที่ชื่อว่า "ยาไอซ์" มันกำลังจะทำให้ผมอยู่ในสังคมของคนปกติไม่ได้

ซึ่งยาเสพติดแต่ละชนิดจะมีอาการถอนยาแตกต่างกันไป เป็นลักษณะเฉพาะของยาเสพติดแต่ละอย่าง

ถ้าคุณยังจำได้ ผมเคยเล่าให้คุณอ่านในตอนก่อนๆแล้วว่า อาการถอนยาได้เกิดขึ้นกับผมมาแล้ว แม้จะไม่รุนแรงและไม่เนิ่นนานนัก เป็นอาการถอนยาจากยาอี

นั่นคือ "อาการซึมเศร้า" ที่ผมเคยเล่าไป

แต่นั่นยังถือว่าเล็กน้อย ถ้าเทียบกับอาการที่เริ่มส่งสัญญาณเตือนผมในตอนนี้


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

อาการถอนยา - สาเหตุของการเสพติด

กลไกการออกฤทธิ์หลักของยาไอซ์นั้น คือการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีที่ชื่อว่า "โดปามีน" ออกมามากขึ้นกว่าปกติถึง 1,200 %

ต่างจากกลไกการออกฤทธิ์ของยาอี ที่จะไปเพิ่มระดับของสาร "เซโรโทนิน" ในสมอง

สารเคมี 2 ตัวนี้ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร? ผมขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ

เซโรโทนิน มีหน้าที่ "ดับทุกข์" ดังนั้นเมื่อขาดมันไป เราจะมีอาการ "ซึมเศร้า" ทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ แต่ถ้าไม่เสพติดมาก อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองในเวลาไม่นาน
รวมทั้งระดับของเซโรโทนินที่ถูกกระตุ้นโดยยาอีนั้นไม่มากมายเท่าที่ยาไอซ์ทำ

ส่วน โดปามีน มีหน้าที่ "เพิ่มสุข" สารโดปามีนที่เพิ่มพรวดพราดถึง 1,200% ทำให้เรารู้สึกเคลิบเคลิ้มสมองโล่ง กระชุ่มกระชวย รู้สึกสนุกสนานและเป็นมิตรกับคนในวงปาร์ตี้

ดังนั้นเมื่อเราขาดมันไป เราจะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสียเหมือนเวลากำลังนั่งพิมพ์รายงานความยาว 100 หน้าแล้วอยู่ๆไฟดับไปโดยที่ยังไม่ได้ save งาน สมองตื้อ ไม่อยากทำอะไร ขี้เกียจไปหมด

ใช่ครับ ...................... ความสุขกำลังขาดหายไป

ความสุขลวงๆ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่าง "ผิดธรรมชาติ" และเมื่อร่างกายเคยชินกับการผิดธรรมชาติบ่อยๆ ก็จะเริ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับความเคยชินนั้น

เหมือนกับคนที่วันๆเอาแต่นั่งกินนอนกิน ไม่เคยทำงานหนักเลย มีคนคอยรับใช้ตลอดเวลา พอนานๆเข้า คนๆนั้นก็จะทำอะไรไม่เป็น

เช่นเดียวกับ "สมอง" ที่เมื่อโดนกระตุ้นในผลิตโดปามีนอย่างรุนแรงซ้ำๆ บ่อยๆ ติดๆกัน สมองก็จะขี้เกียจผลิตโดปามีนด้วยตัวเอง เอาแต่รอคอยการกระตุ้นอย่างรุนแรงเพียงอย่างเดียว

แม้แต่ตัวกระตุ้นตามธรรมชาติอย่าง การมีเซ็กส์ ที่กระตุ้นสมองให้สมองผลิตโดปามีนเพิ่มมากขึ้น 100% ก็ยังไม่พอ เพราะมันน้อยกว่าถึง 12 เท่า

ดังนั้นการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะร่างกายได้ปรับตัวกับสมดุลเคมีสมองที่เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ผู้เสพ รู้สึกไม่มีความสุข ทำอะไรก็ไม่มีความสุข ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร หงุดหงิด ไม่สบายอารมณ์ ควบคุมอารมณ์โมโหไม่ได้ อาจลงมือทำร้ายคนอื่นได้หากทะเลาะกัน

จนในที่สุด ก็ต้องหวนกลับไปแสวงหา "ยาไอซ์" หรือยาเสพติดชนิดอื่นๆตามความผิดปกติของสมดุลเคมีสมองแต่ละชนิดมาใช้จึงจะรู้สึก"เป็นสุข"ได้อย่างเดิม

ทั้งหมดนี้คือวัฏจักรของการเสพติดครับ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ด้วยการที่ในชั้นเรียนของผมนั้น ไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคน และตัวเองก็เข้ากับคนอื่นไม่ได้ เพราะสมองของผมมันเริ่มผิดปกติไป เลยทำให้ผม "ไม่อยากไปเรียนอีกแล้ว"

แล้วพอกลับมาที่ห้องก็ต้องพบเจอกับอดีตอันเจ็บปวด ความรักที่พังลงไป

ครับ .... ผมยังทำใจไม่ได้ จริงๆแล้วผมน่าจะย้ายออกไปจากห้องนี้ได้แล้วนะ ดันทุรังอยู่ไปก็ไม่ช่วยให้เขากลับมาหรอก

วูบหนึ่งผมคิดถึงพี่เพียวขึ้นมาทันที ใช่แล้วพี่เพียว พี่เพียวที่เข้าใจเรา และมีเวลาให้เรา พร้อมจะอยู่เป็นเพื่อนเรา และปาร์ตี้กับเรา 555+

มันเหมือนเป็นแรงผลักดันผมอย่างรุนแรง ยามเมื่อผมนึกถึงภาพและความรู้สึกตอนดูดควันยาไอซ์ ทำให้ผมเกิดอาการ"อยากยา"อยากปาร์ตี้ขึ้นมาทันที และความอยากนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อนึกถึงมัน

แล้วผมก็ทนไม่ไหว หยิบมือถือโทรหาพี่เพียวในที่สุด

ผมโทรไปชวนพี่เพียว"ตี้"กันด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก แต่ปรากฎว่าพี่เพียวกำลังมีปัญหาเรื่องเงินอยู่

พี่เพียวปรึกษาเกี่ยวกับการซื้อยาไอซ์ครั้งนี้ ว่าเขาอยากจะซื้อ "จีเต็ม"

แล้วไอ้ "จีเต็ม" นี่มันคืออะไร? มันเหมือนกับ จีธรรมดามั้ย?


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ยาไอซ์ หรือ เมทแอมเฟตามีน ปริมาณ 1 กรัม หรือ 1 จีนั้น โดยทั่วไปน้ำหนักอยู่ที่ 0.4 - 0.6 กรัม เมื่อรวมเข้ากับน้ำหนักของซองยาซิปล็อกแล้ว ก็จะเท่ากับ 1.0 กรัมพอดี

ส่วนยาไอซ์ หรือ เมทแอมเฟตามีน ปริมาณ 1 จีเต็มนั้น หมายถึงน้ำหนักของยาไอซ์อย่างเดียวอยู่ที่ 1.0 กรัม ส่วนน้ำหนักของถุงไม่นับ จึงมากกว่าจีธรรมดาประมาณ 1 เท่าตัว

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

พี่เพียวบอกผมให้ลองถามพี่บีดูว่า เขาขายยาไอซ์จีเต็มมั้ย ถ้าขาย ราคาเท่าไหร่?

ผมก็กล้าๆกลัวๆ ไม่กล้าโทรถามสักที จนพี่เพียวเริ่มหงุดหงิด เลยโทรถามด้วยตัวเองซะเลย

คำตอบที่ได้คือ ยาไอซ์จีเต็มของพี่บีนั้น ราคาขายอยู่ที่ 5,000 บาท

แพงฉิบ!!!!!!!

แต่พี่เพียวก็อธิบายให้ผมฟังว่า ยาไอซ์ 1 จีเต็มนั้น สามารถเอามาแบ่งขายได้กำไรคืนถึงประมาณ 1 เท่าตัว (ประมาณ 9,000 - 10,000 บาท)

เขาจึงอยากจะขอให้ผมลงทุนให้ในส่วนของเขาไปก่อน แล้วเขาจะเอาเงินที่ขายได้มาใช้คืนให้ผม

และให้ผมช่วยออกไม่เกิน 1,000 บาทก็พอ แล้วสามารถเล่นยาได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหมด เพราะเขาจะกันยาส่วนหนึ่งเอาไว้ใช้เล่นกันอยู่แล้ว

ผมลังเลใจ เพราะเงินตั้ง 5,000 นี่เท่ากับผมจะต้องนำเงินส่วนที่เป็นค่าเช่าหอพักมาใช้ก่อนเลยนะเนี่ย แล้วถ้าพี่เพียวหาลูกค้าไม่ได้ขึ้นมา ผมก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนกันสิคราวนี้

แต่ด้วยความอยากยาของผมรวมกับการตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ไม่คิดให้รอบคอบถึงผลที่จะตามมาให้ดีก่อน จึงทำให้ผมยอมวางเงินก้อนนี้ไป

สรุปยอดเงินเฉพาะค่ายาไอซ์ตอนนี้ของผมเท่ากับ 9,250 บาทเข้าไปแล้ว ภายในเวลาแค่ 3 สัปดาห์เท่านั้น

สาเหตุที่ผมยอมวางเงินไปก่อนนั้นเพราะพี่เพียวยืนยันกับผมว่าเขามีเพื่อนที่เล่นยาไอซ์เป็นฐานลูกค้าของเขาอย่างน้อย 4-5 ราย

และแต่ละรายก็สามารถเอายาจากเขาไปขายต่อได้อีกด้วย จึงหมดห่วงเรื่อง อุปสงค์ หรือ Demand ตามหลักเศรษฐศาสตร์ไปได้เลย

เมื่อตกลงได้ดังนั้นเราจึงนัดเจอกันที่ย่านสะพานควายเช่นเคย พร้อมกับไปรับยาจากพี่บี ถึงตอนนี้พวกเราเริ่มสนิทชิดเชื้อกับพี่บีมากขึ้นเรื่อยๆ จากการต่อยอดธุรกิจร่วมกัน

พี่เพียวจึงเปลี่ยนสถานะจากผู้เสพมาเป็นผู้ขายตั้งแต่บัดนั้น ที่ห้องของพี่เพียวจึงงดใช้เป็นสถานที่จัดปาร์ตี้ไปชั่วคราว แล้วเปิดเป็นสถานที่จำหน่ายยาไอซ์แทน

มีเพื่อนพี่เพียวแวะเวียนเข้ามาซื้อยาจากเขาประมาณ 6 ราย ได้เงินมาประมาณ 8,000 บาท กำไรเห็นๆ

แต่อย่างที่เคยคุยกันไว้ที่ผมบอกว่าผมไม่ขอเอี่ยวเรื่องเงินส่วนแบ่ง แต่ขอเอี่ยวแค่เสพยาเท่านั้น พี่เพียวจึงคืนเงินส่วนของผมให้ 4,000 บาท พร้อมกับได้กำไรในส่วนของเขาไป 4,000 บาท


อย่าเพิ่งคิดนะครับ ว่านั่นจะทำให้ผมอยากหันมาค้ายากับเค้าด้วย

เพราะสิ่งที่ผมได้เห็นตอนนั้น คือ เล่ห์เหลี่ยมและการคดโกง ไม่เว้นแม้แต่กับเพื่อนกันก็ตาม

มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่เพียวติดต่อขายยากับเพื่อนของเขา ซึ่งคงจะไม่สนิทอะไรกันมาก เป็นเพียงแค่เพื่อนเล่นยาธรรมดาๆเท่านั้น พี่เพียวจึงป้องกันตัวเองด้วยการให้เขามารับยาและจ่ายเงินกันแบบไม่ห็นหน้า

ทำยังไงนั้น คุณคงแปลกใจล่ะสิ หึหึ

วิธีก็คือ พี่เพียวนำยาไอซ์บรรจุใส่ซองซิปล็อกซองจิ๋ว แล้วเอาใส่กล่องขนมเล็กๆ จากนั้นก็ไปซุกไว้ในพุ่มไม้แถวๆ ปากซอยเข้าอพาร์ทเมนต์

ต่อจากนั้นก็เอากล่องใส่ขนมเล็กๆอีกกล่องที่ภายในว่างเปล่า ไปซุกไว้ในพุ่มไม้ตรงฟุตบาทริมถนนใกล้ๆกับอพาร์ทเมนต์ แล้วโทรติดต่อกับลูกค้า โดยให้ลูกค้านำเงินใส่ในกล่องขนมกล่องเปล่าก่อน แล้วให้ไปรอหน้าปากซอย

ในขณะเดียวกันก็แอบดูอยู่ตรงหน้าต่างว่าลูกค้าเดินออกไปหน้าปากซอยหรือยัง เสร็จแล้วพี่เพียวก็รีบลงมาเก็บกล่องขนมเพื่อเปิดดูเงินว่าครบหรือไม่

เมื่อเห็นว่าครบตามจำนวน ก็โทรบอกที่ซ่อนยาให้ลูกค้า จากนั้นก็ปิดเครื่องหนีแล้วเปลี่ยนเบอร์ไปเลย

ทำไมต้องหนีกันด้วย?

ก็เพราะปริมาณยาไอซ์ในซองที่ซุกอยู่ในพุ่มไม้นั้น มันน้อยมากๆ เลยครับ ไม่ถึง 50% ของปริมาณที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ

เรียกว่าเป็นการโกงกันที่เจ็บแสบ จึงต้องป้องกันการถูกตามเอาคืนด้วยการซื้อขายกันโดยไม่เห็นหน้า ไม่รู้ที่อยู่ จะได้ปลอดภัย

ผมเห็นดังนั้นแล้วก็เริ่มเสียความรู้สึกกับพี่เพียวขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ

แต่ก็ได้แต่ทำใจ เพราะโลกนี้มันคือโลกของยาเสพติด โลกแห่งบาป การจะมาถามหาความถูกต้องเที่ยงธรรมในโลกนี้นั้น คงเป็นไปไม่ได้หรอก


จบตอน 12 เสพติด



**********************************************************

ตอนที่#13.... การค้า


การค้าของพี่เพียวยังคงดำเนินต่อไป และมีทีท่าจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนตัวของผมเองนั้น แม้จะไม่ได้ทำการค้าด้วย แต่ก็เหมือนกับเดินเข้ามาสู่เส้นทางสายนี้อย่างเต็มตัวซะแล้ว

ในเส้นทางสายยาเสพติดนั้น "ผู้เสพ" ยากที่จะถอนตัวออกไปโดยง่าย

แต่ "ผู้ค้า" นั้นยากจะถอนตัวยิ่งกว่าหลายเท่า เปรียบเหมือนการขี่หลังเสือ ถ้าอยากจะลง ก็อาจจะต้องจบชีวิตเพราะโดน:-)ัดตาย

ผมเองยังดีที่ไม่ทะลึ่งขึ้นไปนั่งขี่หลังเสือให้ชีวิตเสี่ยงเล่น แต่เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การติดยาเสพติดของผมก็ไม่ต่างอะไรจากการเดินอยู่ในป่าที่มีเสือเต็มไปหมด และพร้อมที่จะทำร้ายเราตลอดเวลา

และด้วยการที่ต้องติดต่อกับพี่บีเพื่อขอซื้อยาไอซ์บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พี่บีและพี่เพียวเริ่มสนิทกันมากขึ้น

คล้ายๆกับร้านค้าที่มักสนิทสนมกับลูกค้าเจ้าประจำที่ขยันมาอุดหนุนบ่อยๆ เข้าสำนวน "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" กรณีนี้พี่บีคงเป็นป่าอย่างดีให้เสือที่พี่เพียวขี่อยู่

ทำให้ผม จากที่เคยเป็นหุ้นส่วนกลายๆ ของพี่เพียว ก็ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองมาเป็น "ลูกค้า" ของพี่เพียวอย่างช้าๆ เพราะตอนนี้พี่เพียวเองก็มีทุนสำหรับซื้อยาไอซ์ทีละ 1 จีเต็ม มาขายต่อสบายๆแล้ว

ในวงการยาเสพติดนั้น จะมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การซื้อขายสินค้าใน "ครั้งแรก" นั้น ลูกค้ามักจะได้สินค้ามากเป็นพิเศษ หรืออาจมีโปรโมชั่นแถมฟรีบางอย่างให้ด้วย

เหตุผลก็เพราะ จะได้ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และอยากกลับมาซื้อสินค้ากับร้านนี้อีกในภายหลัง

เรียกว่าเป็นการยอมเสียส่วนน้อย เพื่อให้ได้ส่วนมากมาในระยะยาว

แต่ก็ไม่ใช่ทุกรายนะครับที่ใจดีหรือมีกลยุทธ์ทางการค้าแบบนี้ ผู้ค้าบางรายเขาก็ไม่แคร์สื่อหรอก หักหลังลูกค้ากันตั้งแต่ครั้งแรกเลยก็มี แต่ก็มีไม่มากนัก

กรณีนี้ทำให้เกิดลักษณะพิเศษของวงการยาเสพติดอีกอย่างตามมาก็คือ เมื่อถูกหักหลังหรือถูกโกงแล้ว ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เท่าที่พอจะทำได้ก็คือการตามเอาคืนหรือดิสเครดิตผู้ค้า

ก็แหม ...... สมมติว่าคุณสั่งยาไอซ์ไป 1 จี แต่ปรากฎว่าตอนได้ของมา กลับได้แค่ครึ่งจี แล้วคุณจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่าถูกโกงปริมาณยาไอซ์ได้หรือครับ?

มีหวังโดนตำรวจจับเข้าซังเต ณ บัดนั้นเลยแน่ๆ


เมื่อธุรกิจของพี่เพียวเริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ชื่อเสียงของเขาในวงการค้ายาก็เริ่มแพร่กระจายไปในวงการมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนเงาตามตัว

แต่อย่าลืมครับว่า วงการนี้ไม่ใช่วงการบันเทิง ยิ่งดัง ไม่ได้แปลว่า ยิ่งดี แต่มันให้ผลตรงกันข้าม

ยิ่งคุณดังเร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเป็น"เป้า"ให้ตำรวจจับตาคุณมากขึ้นเท่านั้น!

และไม่มีทางที่จะไม่ดังได้ด้วย เพราะในวงการค้ายาเสพติดนั้น ผู้ค้ารายย่อยอย่างพี่เพียว เมื่อทำการค้าไปสักระยะหนึ่ง ประมาณ 3 - 6 เดือน ก็จะเริ่มมีฐานลูกค้าของตัวเองประมาณ 20 - 50 รายเป็นขั้นต่ำ

และในฐานลูกค้า 20 - 50 รายนั้น ก็จะมีฐานลูกค้าย่อยหรืออาจจะเป็นเพื่อนๆที่เล่นยาไอซ์ด้วยกันในกลุ่มอยู่อีก ประมาณ 4 - 5 คนต่อลูกค้า 1 คน

รวมแล้วก็เท่ากับว่า ผู้ค้ารายย่อยระดับพี่เพียว เมื่อทำการค้าไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว จะมีฐานลูกค้าได้ถึง 80 - 250 คนเลยทีเดียว

"เงินทอง" และ "ทรัพย์สิน" จึงไหลมาเทมา จากรายได้ของการค้ายา

ผมเองซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพี่เพียว รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่พี่เพียวยังเป็นเพียงแค่ "ผู้เสพ" ค่อยๆมองดูความเปลี่ยนแปลงจาก"ผู้เสพ"ไปสู่"ผู้ค้า"ของเขา

พี่เพียวขายยาไอซ์มาได้นานประมาณ 5 เดือนแล้ว เขามีรายได้มากขนาดที่สามารถย้ายจากอพาร์ทเมนต์เดิมย่านแฮปปี้แลนด์ ไปอยู่อพาร์ทเมนต์แห่งใหม่ย่านรัชดาภิเษก ที่ทำเลดีกว่า

ถึงจะไม่ได้หรูหรามากกว่ากันนัก แต่ก็ดีกว่าเดิม

เขาเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือใหม่จากรุ่นธรรมดาๆ มาเป็นสมาร์ทโฟนยี่ห้อดัง ซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใหม่ ขนาดแปรงสีฟันยังใช้แปรงสีฟันไฟฟ้าด้ามละเป็นพันเลยครับ

เล่ามาถึงตรงนี้ คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วผมไม่อยากจะขายยาบ้างเหรอ? ในเมื่อตัวเองก็สามารถติดต่อซื้อยาจากเอเย่นต์ที่ใหญ่กว่าพี่เพียวได้นั่นคือพี่บี แถมจะได้มีเงินมีทองใช้สบายด้วย?


คำตอบก็คือ ไม่เลยครับ!!


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


- - ประเด็นแรก คือ ภูมิหลังในชีวิตของผมกับพี่เพียวนั้นต่างกัน พี่เพียวต้องต่อสู้ดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองมานาน โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากญาติหรือครอบครัวเลย

ดังนั้นงานอะไรก็ตามที่ได้เงินดีแถมไม่เหนื่อยอย่างการค้ายา จึงเป็นอะไรที่เข้าทางเขาแล้วครับ ส่วนผมนั้นมีพ่อและแม่ส่งเงินให้ใช้ตลอดแทบไม่ขาดมือ จึงไม่ต้องดิ้นรนในเรื่องนี้


- - ประเด็นที่สอง คือ การศึกษาของผมกับพี่เพียวนั้นไม่เหมือนกัน แม้ว่าในตอนนี้เราทั้งคู่จะมีดีกรีแค่มัธยม 6 เท่ากัน แต่ในไม่ช้า ผมจะขยับดีกรีขึ้นไปเป็นปริญญาตรี ซึ่งได้เงินเดือนมากกว่าวุฒิม.6เยอะ


- - ประเด็นที่สาม คือ คนที่อยู่ข้างหลังของเราไม่เหมือนกัน พี่เพียวนั้นเปรียบไปก็เหมือนตัดขาดจากความสัมพันธ์ในครอบครัวไปนานแล้ว หากเขาพลาดพลั้งโดนตำรวจจับ คงไม่ทำให้ใครต้องเสียใจ

แต่ผมนั้น มีพ่อแม่ที่รักผมยิ่งกว่าชีวิตของท่านอยู่ที่บ้าน ถ้าผมหันมาค้ายาเสพติดแล้วถูกตำรวจจับขึ้นมา พ่อแม่ผมคงเสียใจมากกว่าใครๆในโลก


- - ประเด็นสุดท้าย คือ การค้ายาไอซ์เหมือนจะเป็นงานง่ายๆสบายๆที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงเลย แต่ความจริงนั้นมันเป็นงานที่ "เหนื่อยใจ" มากครับ

ไหนจะต้องเจอกับลูกค้าที่ป่วยทางจิต คิดแต่จะได้ อยากได้ยาเยอะๆแต่อยากเสียเงินน้อยๆ

เวลาพักผ่อนก็แทบจะไม่มี เพราะยามหลับ ก็จะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตลอดเวลาจากลูกค้าที่อยากยาจนทนไม่ไหว ไม่มีความเกรงอกเกรงใจว่าคนเขาจะหลับจะนอน คิดแต่จะซื้อยาอย่างเดียว

ความหวาดกลัว - หวาดระแวง เวลาออกไปส่งยาให้ลูกค้านอกสถานที่ (เฉพาะกรณีที่ลูกค้าสั่งยาเยอะๆ) เพราะกลัวไปจ๊ะเอ๋เข้ากับด่านตรวจหรือโดนสายตำรวจล่อซื้อ


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

จากเหตุผลทั้ง 4 ข้อที่ผมกล่าวมานั้น เพียงพออย่างยิ่งแล้วที่จะทำให้ผมเลิกล้มความคิดที่จะเข้ามาค้ายาไอซ์

ผมขอพูดแบบเข้าข้างตัวเองเลยนะครับ ว่า ณ จุดๆนั้น ผมนั้นยังพอมี "ความรักดี" หลงเหลืออยู่ในตัวบ้าง กระนั้นก็ดี มันก็ยังไม่รักดีอยู่ดีนั่นแหละครับ

เพราะผมก็ยังคง "ติดยา" อยู่


เท่าที่ผมทราบ ตอนนี้พี่เพียวสามารถซื้อยาไอซ์ปริมาณ 1 จีเต็มจากพี่บีได้ในราคาเหลือ 4,500 บาท จากเดิมที่เคยซื้อจีเต็มละ 5,000 บาท

ส่วนผมนั้นก็เหมือนลูกค้ากิตติมศักดิ์ ที่ซื้อเท่าไหร่ก็จะได้ปริมาณมากกว่าคนทั่วๆไป เพราะเป็นน้องรัก



"ความสัมพันธ์ต่างตอบแทน" ของเราสองเริ่มค่อยๆก่อตัวขึ้นตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ รู้อีกทีผมก็นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ขณะกำลังเอายาไอซ์ 1 จีไปส่งให้ลูกค้าของพี่เพียวย่านรามคำแหง

ช่วงนี้ลูกค้าของพี่เพียวเยอะมากจนส่งของไม่ทัน ทำให้คนที่พี่เพียวไว้วางใจอย่างผม ต้องจำใจรับหน้าที่ออกไปส่งยาไอซ์ให้ลูกค้าเวลาที่เขาไม่ว่าง

ที่ผมใช้คำว่า "จำใจ" นั้นก็เพราะผมกลัวครับ

กลัวเจอแจ็คพ็อตด่านตรวจ แล้วต้องไปเกาะลูกกรงซังเต

แต่ที่ทำไปนั้น ก็เพราะอยากตอบแทนน้ำใจของพี่เพียวที่ช่วยเหลือผมในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะช่วงหลังๆมานี้ ผมหมดเงินไปมากกับยาไอซ์ จนบางทีต้องขอ "เค" ยาไอซ์พี่เพียว


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

เค ย่อมาจากคำว่า "เครดิต" คือการขอเชื่อยาไอซ์ล่วงหน้าก่อนแล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง

ซึ่งจะต้องกำหนดวันชำระหนี้ให้แน่นอน อย่างช้าต้องไม่เกิน 2 วัน เพราะคนขายจำเป็นต้องใช้เงินมากเพื่อไปซื้อยามาขาย การผิดนัดชำระหนี้จึงถือเป็นการ "เสียเครดิต"

การ "เค" ยาไอซ์นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ขายไว้ใจผู้ซื้อ หรือเคยทำการค้ามาระยะหนึ่งแล้ว และผู้ซื้อไม่เคยเสียประวัติเรื่องเงิน

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


แต่การเคยาไอซ์นั้น ก็มีผลเสียเหมือนกับการกู้เงินนอกระบบนั่นล่ะครับ เพราะนอกจากจะต้องชดใช้เงินต้นจำนวนมากแล้ว "ดอกเบี้ย"ของมันนั้น แพงแสนแพง

อย่างที่บอกไปว่าเฉพาะ"ราคา"ของยาไอซ์มันก็แพงแสนแพงอยู่แล้ว ยิ่งเรามา"เค"เพื่อเสพยาอีก นั่นเท่ากับว่าเรากำลังสร้าง"หนี้"ให้เราในอนาคตไปเรื่อยๆ

เมื่อเราใช้เงินในอนาคตหมดไปเรื่อยๆ ก็จะไม่มีเงินมาใช้ทำอย่างอื่น นอกจากจ่ายค่ายาเสพติด

ห้องที่หอพักผมแถวรังสิต โดนล็อก เพราะไม่จ่ายค่าเช่า

เสื้อผ้า หน้า ผม ไม่ได้รับการดูแล เพราะไม่มีเงิน ได้เงินมาก็เอาไปซื้อยามาเสพหมด

หนังสือหนังหาไม่ไปเรียน วันๆเอาแต่เสพยา จนต้อง "ลาพักการศึกษา" ไปทั้งเทอม


จะว่าไปแล้ว ทั้งหมดนี้ ผมก็ทำตัวผมเองทั้งนั้น ไม่มีใครมาบังคับให้ผมมาเสพยานี่ ผมเข้ามาด้วยตัวเอง และอยู่กับมันด้วยตัวเอง

ถ้าเป็นกราฟ กราฟชีวิตของผมคงสวนทางกับของพี่เพียวแล้วล่ะครับ

จบตอน 13 การค้า




**********************************************************

ตอนที่#14.... มรสุม


หากเปรียบชีวีตของเราเป็นเหมือนเรือน้อย ลอยลำอยู่ท่ามกลางท้องทะเลกว้างใหญ่ ทะเลนั้นสงบ ท้องน้ำดูเรียบเฉยเมื่อเราใช้ชีวิตอย่างปกติสุขและมีสติ

แต่ทะเลชีวิตของผมในตอนนี้ เริ่มมีมรสุมร้ายก่อตัวอยู่ไม่ไกลจากเรือนัก แต่ผมก็ยังไม่รีบเตรียมตัวตั้งสติและหาทางรับมือกับมหันตภัยที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

สิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะเด่นของมรสุมหรือพายุก็คือ มันจะค่อยๆก่อตัวสะสมขึ้นทีละน้อยๆ ต้องใช้เวลาในการทวีความรุนแรง ดังนั้นมนุษย์เราจึงสามารถ"เตรียมตัว"ตั้งรับมันได้

แต่สำหรับผมแล้วนั้น ผมกลับนิ่งเฉยมองดูมรสุมลูกนี้ก่อตัวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซ้ำยังไร้ซึ่งการเตรียมตัววางแผนจัดการภัยเมื่อมันมาถึง


4 เดือนเต็มแล้ว ที่ผมใช้ชีวิตเสเพล ไม่ไปเรียนหนังสือ (เพราะลาพักการศึกษาไปแล้ว)

เงินทองที่พ่อแม่ส่งมาให้ก็เอาไปเล่นยาทั้งหมด

ไม่ดูแลตัวเองจนสุขภาพเริ่มทรุดโทรม สภาพเหมือนคนติดยาในละครทีวี

หอพัก ที่ผมใช้เป็น ที่ซุกหัวนอนนั้นก็ถูกเจ้าของยึดเอาทรัพย์สมบัติในห้องไปขายทอดตลาดเรียบร้อยแล้ว

ถ้าเปรียบเป็นเรือ ตอนนี้เรือของผมใกล้อัปปางลงเต็มที

ยังดีที่ผมยังเหลือพี่เพียวไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวยามที่ทุกอย่างกำลังจะจมลง

ผมต้องไปอาศัยอยู่ห้องเพื่อนที่มหาวิทยาลัย สลับกับการมาอาศัยอยู่กับพี่เพียวที่ห้องของเขาย่านรัชดาภิเษก

เหตุที่ไม่สามารถมาอยู่กับพี่เพียวได้ตลอดเวลานั้นก็เพราะ ห้องของพี่เพียวจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาซื้อยาไอซ์แทบทั้งวัน ผมจึงไม่อยากรบกวนเขามากนัก

ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆเริ่มบีบผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มหมดหนทางดิ้นรนแล้ว

โชคดีที่ช่วงนี้มหาวิทยาลัยปิดภาคการศึกษาพอดี ผมจึงสามารถกลับไปอยู่บ้านได้ โดยที่บอกพ่อแม่ว่าปิดเทอม

แม้ว่าผมจะเสพติดยาขนาดไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมตั้งมั่นในใจว่าจะไม่ทำเป็นอันขาด นั่นก็คือ ...............


การเอายาไอซ์มาเล่นที่บ้าน


เปรียบไปแล้ว บ้านก็เหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้นกน้อยอย่างผมหลบมาพักพิงยามที่ไร้ที่ไป สถานที่นี้มีแต่ความอบอุ่นและเข้าใจผมเสมอ

ผมไม่อยากนำสิ่งชั่วๆ อย่างยาเสพติดเข้าบ้านครับ


ชีวิตของผมในช่วง 3 เดือนของการปิดเทอมคือการเดินทางไปๆกลับๆ ห้องพี่เพียว - บ้าน ต้องคอยโกหกพ่อแม่ว่าไปทำรายงาน-ทำ Thesis-ไปหาเพื่อน-ไปนู่นไปนี่ ตลอดเวลา

แถมไปแต่ละครั้งก็ไม่ได้ไปตัวเปล่านะครับ จะต้องหอบเงินจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ไปด้วยอย่างน้อย 1,500 - 2,000 บาท

ช่วงนั้นเงินทุกบาททุกสตางค์สำหรับผมนั้นมีค่ามากเหลือเกิน

เพราะต้องรวบรวมเอาไปซื้อยาเสพติด!!

ดูสมเหตุสมผลกันดีมั้ยล่ะครับ หึหึ


คุณธรรมประจำใจผมก็เริ่มบกพร่องมากขึ้นทุกวัน คุณธรรมพื้นฐานของลูกที่ดีอย่างเช่น ความซื่อสัตย์ต่อพ่อแม่ ก็ไม่เหลือแล้วในตัวผม ผมต้องโกหกเพื่อให้ได้เงินไปซื้อยา

เพราะว่าช่วงปิดเทอมเมื่ออยู่บ้านรายได้ผมก็จะน้อยลง จากการที่พ่อแม่เห็นว่าเมื่ออยู่แต่บ้าน ก็ไม่มีเหตุให้ต้องใช้เงิน

นอกจากนั้นเวลาได้เงินจากพ่อแม่ออกไปซื้อของข้างนอกบ้านเช่น ไป 7-11 แทนที่ผมจะนำเงินทอนที่เหลือกลับมาคืนท่าน ผมกลับมุบมิบเม้มเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้หมด




3 เดือนของการปิดเทอมผ่านไปไวเหมือนโกหก ถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปเผชิญกับมรสุมชีวิตอีกครั้ง

เมื่อไม่มีที่พักแถวมหาวิทยาลัยแล้ว ผมจึงต้องโกหกทางบ้านว่าย้ายหอใหม่ไปอยู่กับเพื่อนรุ่นน้อง เพราะไม่อยากต่อสัญญาหอเนื่องจากใกล้จะเรียนจบแล้ว

ด้วยเหตุนี้ผมจึงพอมีรายได้ไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ แต่เป็นหอพักที่ราคาถูกกว่าเดิมมาก แถมในห้องก็แทบไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลย เพราะของทั้งหลายถูกยึดไปหมดสิ้น

และด้วยการที่ผมได้เงินลงทะเบียนเรียนก้อนใหม่จากที่บ้านมา ซึ่งผมควรจะรีบนำเงินนั้นไปใช้ลงเรียนหลังจากที่ปล่อยให้ล่าช้ามานาน 1 เทอมแล้ว

แต่กลับพบว่ายังคงมีวิชาที่สามารถลงเรียนได้แค่ไม่กี่ตัวเช่นเคย ต้องรอเป็นปีหน้าเลยสำหรับหลายๆวิชา

ทำให้ผมปวดหัวมาก เพราะคงเรียนไม่จบ 4 ปีอย่างแน่นอนแล้ว!!

ผมกำลังจะทำให้พ่อแม่ผิดหวังครั้งใหญ่!!!



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ผมติดยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน 1 ปีเต็มแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่จ่ายเงิน 500 บาทให้เก๋เพื่อไปลองเล่นยาไอซ์


ขณะนี้เป็นเวลาซึ่งผมควรจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางบ้านเริ่มทวงถามผมเกี่ยวกับกำหนดการพระราชทานปริญญาบัตร

ผมใจคอไม่ดีเลย การโกหกเรื่องคอขาดบาดตายอย่างนี้ไม่ดีแน่ๆ ผมเลยตัดสินใจบอกที่บ้านไปว่ายังเหลือวิชาที่ต้องเรียนติดค้างอยู่ จึงเรียนไม่จบ 4 ปี

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น พ่อแม่ของผมจึงออกคำสั่งให้กลับมาอยู่ที่บ้าน และให้ไป-กลับมหาวิทยาลัยแทนเพื่อเรียนให้จบ

และสิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดขึ้น

ผมอาจจะต้องนำยาไอซ์กลับมาเล่นที่บ้าน

แต่ถ้าไม่ถึงที่สุด ผมจะไม่มีทางทำสิ่งนี้เด็ดขาด!

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตของผม ที่มีแต่เรื่องเครียดๆและความกดดันเข้ามาถาโถมใส่

รวมกับการติดยาไอซ์และใช้มันอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผมเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับ"จิต"


ครับ.......................ผมกำลังป่วยทางจิต โดยไม่รู้ตัว


การใช้เหตุผลค่อยๆลดลงไป ใช้แต่อารมณ์

จากที่เคยอารมณ์ดีร่าเริง กลายเป็นคนขุ่นมัว อารมณ์เกรี้ยวกราดเสมอเมื่อไม่พอใจ

เรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็สามารถอาละวาดให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้

ในตอนแรกผมมีปัญหากับการใช้ชีวิตร่วมกับสังคมปกติภายนอกเท่านั้น

แต่ตอนนี้ปัญหานั้นได้ลุกลามเข้ามาสู่สังคมเสพยาของผมด้วยแล้ว

ผมเริ่มมีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้งกับพี่เพียว และเพื่อนคนอื่นๆในวงปาร์ตี้ยาไอซ์ ด้วยเรื่องหยุมหยิมบ้าง เรื่องเข้าใจผิดบ้าง มากมายหลายอย่าง


เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ป่วยทางจิต แต่ทุกคนที่เสพติดยานรกเหล่านี้ล้วนป่วยทางจิตด้วยกันหมด

สุดท้ายผมทะเลาะกับพี่เพียวรุนแรงมากจนผมตัดสินใจเลิกคบกับพี่เพียวไปเลย

เรื่องที่เป็นสาเหตุของการทะเลาะนั้นมันมีหลายเรื่องเกี่ยวเนื่องพัวพันกับยุ่งเหยิงไปหมด เหมือนคนบ้า ในศรีธัญญามานั่งคุยกันน่ะครับ


ผมจึงเลิกติดต่อกับพี่เพียว แล้วหันไปซื้อยาไอซ์กับพี่บีแทน

โดยเล่าเหตุผลทั้งหมดให้พี่บีฟัง


และเนื่องจากไม่มีที่ไป ผมจึงต้องกลับมาอยู่ "บ้าน"

เลยต้องไปซื้อยาที่พี่บี แล้วนำกลับมาเล่นที่ "บ้าน"




**********************************************************

ตอนที่#15.... บ้าน


ถ้ามีใครถามผมว่า สถานที่ที่ผมอยู่แล้วรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่สุดคือที่ไหน
คำตอบของผมคือ ที่"บ้าน"
ไม่ว่าเราจะไปเจอเรื่องอะไรภายนอกมาในสังคม จะดี หรือร้าย สุข หรือทุกข์ เมื่อเรากลับมาบ้าน ที่แห่งนี้พร้อมต้อนรับและปลอบโยนเราเสมอ
นอกจากนั้นแล้ว "บ้าน" ยังเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้สัตว์บาปอย่างผมได้หลบเร้นจากอบายมุขยามเมื่อกลับมาพักที่บ้าน
เพราะที่บ้านนั้นมี"พระ"ประจำบ้านผู้เป็นพระคุณกับผมมากเหลือ นั่นก็คือ พ่อ และ แม่

แต่เวลานี้ ในห้วงของอบายมุข ความมืดมัวของยาเสพติด บดบังหนทางธรรมในใจผมจนหมดสิ้น
ผมตัดสินใจนำยาไอซ์กลับมาเล่นที่บ้าน
เป็นระยะหนึ่งแล้วครับ ที่ผมละเมิดสัญญาในใจตัวเอง ว่าจะไม่นำยาเสพติดเข้าบ้าน
เพราะเมื่อก่อนนั้นยามที่ผมเหนื่อยล้าและอ่อนแรงจากยาเสพติดชนิดนี้ เมื่อผมกลับมาบ้าน ก็เท่ากับว่าผมได้เดินกลับเข้ามาสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง
แม้จะใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ไม่นาน ก็ต้องรีบกลับไปหายามาเสพต่อ เพราะอาการถอนยานั้นช่างทรมาน
แต่บ้านก็เปรียบดั่งสถานที่หลบภัยร้ายจากยาเสพติดให้ผม แม้จะแค่ช่วงสั้นๆก็ตาม

1 เดือนแล้วที่ผมไม่ได้ติดต่อกับพี่เพียวเลย คนที่ผมติดต่อบ่อยที่สุดในช่วงนี้คือพี่บี เอเย่นต์ยาไอซ์ย่านสะพานควาย
วันนี้ผมก็โทรหาพี่บีกะว่าจะสั่งยาสักครึ่งจี เหมือนเช่นเคย
แต่ก็ต้องได้รับฟังข่าวที่น่าตกใจ

............ พี่เพียว ถูกตำรวจจับ!!!!

ประโยคนี้ทำเอาผมอึ้งไปนานนับนาที จนพี่บีต้องทักถามในหูโทรศัพท์
เรื่องราวที่ได้ฟังจากพี่บีมีอยู่ว่า
พี่เพียวเคยโดนตำรวจล่อซื้อยาไอซ์มาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อประมาณ 4 เดือนก่อน ครั้งนั้นมีของกลางประมาณ 1 จี ( 1 กรัม) พี่บีจึงให้พี่เพียวยืมเงินจำนวน 60,000 บาทเพื่อแลกกับอิสรภาพ
แต่ 4 เดือนต่อมา เมื่อพี่เพียวทยอยใช้หนี้พี่บีจนครบ คราวนี้พี่เพียวก็โดนล่อซื้ออีกครั้ง พร้อมของกลางกว่า 3 จี ( 3 กรัม)
ครั้งนี้ไม่รู้เจ้าหน้าที่ที่จับนั้นเป็นตำรวจท้องที่หรือปปส. แต่รู้ว่าใช้เงินแลกอิสรภาพไม่ได้ พี่เพียวจึงถูกส่งตัวขึ้นศาล
ตอนนี้อยู่ในช่วงวิ่งเต้นขอประกันตัว ซึ่งพี่บีเป็นคนจัดการคนเดียว เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า พี่เพียวตัดขาดจากครอบครัวและญาติพี่น้องไปนานแล้ว
แต่การประกันตัวนั้นกลับไม่ง่ายอย่างที่หวัง เพราะทางนั้นไม่ยอมให้ประกันตัว สาเหตุเพราะพี่บีกับพี่เพียวไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นญาติพี่น้องกัน
อีกทั้งพี่บีเองก็ไม่กล้าออกหน้ามากนัก เพราะกลัวจะโดนด้วยเหมือนกัน

ทรัพย์สินทั้งหมดทั้งที่ตัวพี่เพียวและในห้องที่อพาร์ทเมนต์ย่านรัชดาฯ ถูกยึดหมด
พี่บีบอกผมว่า ก็ได้แต่ช่วยวิ่งเต้นอย่างสุดความสามารถเพื่อให้พี่เพียวได้ประกันตัวออกมาโดยเร็วที่สุด
ผมเองก็เฝ้าคอยตามข่าวอยู่ทุกครั้งที่ติดต่อหาพี่บี

จนผ่านไปอีกเกือบ 2 เดือน

ข่าวร้ายข่าวใหม่ ที่ร้ายกว่าเก่าก็เข้าถึงหูผมจนได้
พี่เพียวหมดสิ้นอิสรภาพแล้ว
"บ้าน" ใหม่ ณ ตอนนี้ของพี่เพียวก็คือสถานที่ซึ่งห้อมล้อมไว้ด้วยลูกกรงเหล็กแข็งแรงหลายชั้น
สถานที่ที่คนในอยากออก คนนอกไม่อยากเข้า
แดนสนธยาที่น้อยคนนักจะล่วงรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ภายในนั้น

................เรือนจำกลางคลองเปรม

พี่เพียวต้องอยู่ที่นั่นนาน 6 เดือน นี่คือสิ่งสุดท้ายที่พี่บีบอกผม
ที่ทำได้คือการไปเยี่ยมที่เรือนจำ
ผมยอมรับนะครับว่า ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ข่าวว่าพี่เพียวถูกจับเข้าซังเต ความโกรธต่างๆ รวมทั้งเรื่องที่เคยผิดใจกันมาแต่ก่อนมันหายไปจากสมองผมหมดสิ้น

ผมสงสารพี่เพียวครับ
ชีวิตเขาเองก็ไม่มีใครให้พึ่งอยู่แล้ว ยังจะต้องมาเจอเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้กับชีวิตอีก
แต่วูบหนึ่ง ผมก็ไม่ลืมที่จะย้อนมามองดูที่ตัวผมเอง ว่าถ้าหากกลายเป็นผมที่โดนจับบ้าง ผลกระทบแบบลูกโซ่ที่ตามมานั้น รันทดยิ่งกว่าพี่เพียวมากมายหลายเท่า
โดยเฉพาะพ่อกับแม่ของผมที่จะต้องเจ็บปวดหัวใจมากมายยิ่งกว่าใคร

อันที่จริงผมเองก็เคย "เกือบ" เจอแจ็คพ็อต เข้าซังเตมาแล้ว 1 ครั้ง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อตอนที่พี่เพียววานผมให้ช่วยนำยาไอซ์ 1 จีไปส่งให้ลูกค้าแถวซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว
ระหว่างที่ผมนั่งแท็กซี่อยู่นั้น ก็พบว่ารถบนถนนเริ่มติดขัด ทั้งๆที่ตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าแล้ว รถไม่น่าจะติดได้
กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าแถวๆซอยโชคชัย 4 มีตำรวจมาตั้งด่านตรวจอยู่ ตรวจรถทีละคันที่ขับผ่านด่านเลย
ตอนนั้นผมกลัวมากครับ ใจหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม แม้ว่าจะซ่อนยาไว้อย่างดีในแท่งลิปบาล์มที่หมดแล้ว แต่ถ้าเกิดโดนค้นเจอ ผมจะทำอย่างไรดี???
แต่สุดท้ายผมก็รอดพ้นไปได้ โดยที่ตำรวจไม่ได้เรียกตรวจรถแท็กซี่คันที่ผมนั่ง เพียงแค่ใช้ไฟฉายส่องผ่านกระจกรถเข้ามาสังเกตใบหน้าของผมเท่านั้น
เฮ้ออออ..........................รอดไปที

ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่พี่เพียวอยู่ในคุกนั้น ผมไม่ได้ไปเยี่ยมเลยแม้สักครั้ง เพราะไม่กล้าไป กลัวหลายๆอย่างครับ

ทั้งกลัวโดนจับตรวจฉี่

กลัวพี่เพียวเข้าใจผิดว่ามาซ้ำเติมเพราะเรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน

กลัวไปหมด
ผมจึงไปๆกลับๆ ระหว่างบ้าน กับ พี่บี เพื่อเล่นยา
ช่วงนี้ผมยอมรับว่าผมใช้ยาไอซ์ไม่ใช่เพราะหาความสนุกแล้ว แต่เป็นเพราะ "ความเคยชิน" และ "เพื่อบรรเทาอาการถอนยา"

อาการถอนยาของผมในช่วงนี้ รุนแรงมากขึ้นทุกที
พฤติกรรมของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนละคนกับตอนก่อนติดยา
ผมก้าวร้าวใส่พ่อแม่ ทะเลาะด่าทอท่าน แสดงกิริยาไม่เหมาะสมมากมายหลายอย่าง
ผมทำให้แม่ของผมเสียน้ำตานับครั้งไม่ถ้วน ท่านเสียใจ ตกใจ และประหลาดใจว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าท่านนี้ใช่ลูกคนเดิมหรือเปล่า?

ผมทะเลาะกับพ่อรุนแรงมากด้วยเรื่องที่ว่าพ่อของผมท่านจะปรับปรุงต่อเติมห้องนอนที่บ้าน พอดีว่าช่วงนั้นแม่ของผมไม่ค่อยสบาย
ที่สุขภาพกายและใจของแม่แย่ลงก็เป็นเพราะความเครียดจากการที่ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผมกลายเป็นคนก้าวร้าว โมโหร้าย หยาบคาย ชอบทำลายข้าวของ
วันที่เกิดเรื่องพ่อของผมได้ปรึกษาพูดคุยกับแม่เรื่องที่จะต่อเติมบ้าน แต่แม่ยังไม่พร้อมจะย้ายข้าวของหนักๆหรือต้องเจอกับเสียงดังและฝุ่นฟุ้งจากการทำงานของช่างในตอนนี้
นอกจากแม่ที่ไม่พร้อมแล้ว ตัวผมเองกลับไม่พร้อมเสียยิ่งกว่าแม่อีก เพราะตอนนั้นผมติดยาไอซ์หนักมาก ติดงอมแงมเลยครับ จึงไม่อยากจะทำงานอะไรทั้งนั้นไม่ว่าหนักหรือเบา
เมื่อแม่ของผมท่านเอาเรื่องนี้มาพูดคุยถามความเห็นจากผม ผมกลับเข้าไปต่อว่าพ่อด้วยอารมร์ฉุนเฉียวว่าทำไมต้องทำให้แม่เดือดร้อนด้วย
เราสองคนทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะความที่ผมก้าวร้าวใส่ท่านจึงยิ่งทำให้พ่อยิ่งโมโหมากขึ้น
ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ถึงกับขึ้นคำว่า "เมิง - กู" กับพ่อบังเกิดเกล้า ลุกลามจนถึงขั้นชี้หน้าขู่ฆ่าพ่อของตัวเอง
คนที่ยุติการทะเลาะเบาะแว้งคือแม่ของผม ที่ท่านทนฟังผมก้าวร้าวหยาบคายต่อพ่อของตัวเองต่อไปไม่ไหว จึงได้ขอร้องให้ผมหยุดเสียที
ผลคือพ่อของผมโกรธผมมากจนไม่พูดด้วยไปนานหลายเดือน แม้แต่หน้าผมท่านยังไม่อยากจะมองเลยครับ
แต่นั่นทำให้คนที่ปวดหัวใจที่สุดกลายเป็น "แม่" ของผม เพราะท่านต้องเห็นคนที่ท่านรักที่สุด 2 คน เกลียดขี้หน้ากัน

บาปครั้งนี้ ถ้าผมตายไป คงต้องกลายเป็น "เปรต" แน่นอน
ทำให้ความคิดที่อยากจะหยุดยา อยากเลิกยา ค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้นในใจผม
ผมสงสารท่านครับ ผมสงสารพ่อแม่ของผมจริงๆ




**********************************************************

ตอนที่#16.... หนทาง


เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ผมเสพติดยาไอซ์

สังคมยาไอซ์ของผมจึงเริ่มขยายตัวกว้างขึ้น มีเพื่อนและคนรู้จักในวงการยาเสพติดมากขึ้น

รวมทั้งความคิดอยากจะเลิกยาในใจของผมก็ยังไม่ไปไหน เพียงแต่ว่าความตั้งใจนั้นยังคงอยู่เสมอ แต่ความสามารถในการเลิกยานั้น ผมไม่สามารถสู้มันได้

เพราะระยะหลังมานี้ผมเสพยาถี่ขึ้นและเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นก็เป็นสาเหตให้อาการถอนยารุนแรงขึ้นเป็นเงาตามตัว

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ทำไมผู้ที่เสพยาเสพติด จะต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเรื่อยๆ ?

สำหรับกรณียาไอซ์/ยาบ้า หรือ เมทแอมเฟตามีนนั้น กลไกการออกฤทธิ์หลักๆคือการกระตุ้นสมองให้หลั่งสารโดปามีนเพิ่มขึ้นถึง 1,200%

เมื่อสมองถูกกระตุ้นเช่นนี้บ่อยครั้ง สมองก็จะเริ่ม"ปรับตัว" ด้วยการลดการหลั่งโดปามีนลง ยามที่ปราศจากตัวกระตุ้นอย่างยาไอซ์

เมื่อสภาวะเคมีในสมองผิดปกติไป การจะกลับมาทำหน้าที่ได้เช่นเดิมนั้นต้องใช้เวลานาน ( 4 เดือน - 1 ปี)

เพราะฉะนั้นในระหว่างช่วงที่ผู้เสพหยุดยา จะทำให้เกิดอาการถอนยาขึ้น รุนแรงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ติดยาและปริมาณการเสพแต่ละครั้ง

และในกรณีที่ใช้ยาเสพติด"ต่อเนื่องกัน"สักระยะ สมองจะปรับตัวกับปริมาณของโดปามีนที่พุ่งสูงเกินกว่า 1,000% ทุกครั้งที่ใช้ยา

ทำให้ปริมาณยาเท่าเดิมไม่อาจกระตุ้นสมองให้รู้สึกดีเหมือนครั้งแรกๆที่เริ่มเล่นยาได้อีกต่อไป

ทำให้ผู้เสพจำเป็นต้อง "เพิ่ม" ปริมาณของยาเสพติดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการ "เสพยาเกินขนาด"

โดยเฉพาะกับยาเสพติดที่ต้องใช้วิธีการ "ฉีด" เข้าเส้นเลือดดำ อย่าง เฮโรอีน จะอันตรายต่อการเกินขนาดได้มากที่สุด

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

จากเดิมที่ผมเคยเสพยาเดือนละ 2-3 ครั้ง พอเวลาผ่านไปปีเศษๆ ผมต้องเพิ่มจำนวนครั้งถี่ขึ้นเป็น 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

จากเดิมที่เคยใช้ยาประมาณ 1/4 จี (1/4 กรัม) ก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มได้แล้ว ก็ต้องเพิ่มเป็น 1/2 ถึง 1 จี ต่อครั้ง

ส่งผลต่อเนื่องให้เสียเงินมาซื้อยาครั้งละ 1,700 - 2,000 บาท เดือนละ 6 - 8 ครั้ง ทั้งๆที่ผมยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่ด้วยซ้ำ

อาการถอนยาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน จนคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้กระทั่ง"สุนัข"ที่เลี้ยงไว้ ต่างหวาดผวากับอาการคล้าย"ผีเข้า"ของผม


.................. ผมพยายามจะหยุดมัน แต่ทำไม่ได้


วันนี้ผมโทรไปหาพี่บี เพื่อซื้อยาไอซ์ตามปกติ แต่พบว่าปลายสายที่รับโทรศัพท์กลับไม่ใช่เสียงของพี่บี แต่เป็นเสียงผู้ชายที่ผมไม่คุ้นหู บอกเพียงว่า "พี่บีติดธุระอยู่"

ผมจึงฝากให้เขาบอกพี่บีด้วยว่าผมโทรมา และช่วยโทรกลับด้วยถ้าเสร็จธุระ

ผ่านไปนาน 3 ชั่วโมงที่ผมนั่งรอสายพี่บี แต่ก็ไร้วี่แวว

ผมทนไม่ไหว (เพราะอยากยา) จึงเป็นฝ่ายโทรเข้าไปหาแทน คราวนี้เป็นเสียงพี่บีรับสาย


"ติดธุระอยู่ๆ ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ อย่าโทรๆๆ" น้ำเสียงของพี่บีฟังดูร้อนรนพิลึก จนผมเริ่มสงสัย และจากนั้นก็เริ่มสังหรณ์ใจในเรื่องบางอย่าง

เพราะปกติเวลาผมโทรไปซื้อยากับพี่บี เขาจะรับสายทุกครั้ง หรือถ้าไม่รับ เขาก็จะรีบโทรกลับมาหาผมไม่เกิน 1 ชั่วโมง

พอวันรุ่งขึ้น ผมลองโทรหาพี่บีอีกครั้ง แต่กลับไม่สามารถติดต่อได้ มีเพียงเสียง Call Center ของค่ายมือถือตอบว่า

"ขออภัยค่ะ หมายเลขนี้ถูกระงับบริการชั่วคราว" !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

นั่นทำให้ลางสังหรณ์ในใจผมชัดเจนขึ้นมากกว่าเดิม

ผมยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผ่านไปอีก 2 วัน เพื่อนรุ่นพี่ผมที่เคยปาร์ตี้ยาไอซ์ด้วยกัน โทรมาแจ้งข่าวที่น่าตกใจว่า...........


"พี่บี ถูกตำรวจจับ และขยายผลขึ้นไปค้นห้องที่อยู่บนชั้นดาดฟ้า พบของกลางจำนวนมาก"

แม้พี่ผมจะไม่ได้บอกว่าโดนโทษกี่ปี แต่ผมก็พอเดาได้ว่าคงติดคุกยาวเป็น 10 ปีแน่นอน เพราะยาเสพติดที่อยู่ในห้องพี่บีนั้นมันมากมายจริงๆ



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ยาไอซ์/ยาบ้านั้นจัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดปี พ.ศ. 2522


จำหน่าย (สารบริสุทธิ์เกิน 100 กรัม) โทษประหาร/คุกตลอดชีวิต

จำหน่าย (สารบริสุทธิ์ไม่เกิน 100 กรัม) โทษจำคุก 5 ปีถึงตลอดชีวิต

ส่วนเสพ/ครอบครอง (สารบริสุทธิ์ไม่เกิน 20 กรัม) โทษจำคุก 1-10 ปี


การที่ศาลจะพิจารณาว่าเจตนานั้นเพื่อจำหน่ายหรือแค่ครอบครองนั้น ศาลจะพิจารณาจาก"น้ำหนัก"ของ เมทแอมเฟตามีนหรือ "สารบริสุทธิ์"นี่ล่ะครับ

ถ้าเป็นยาไอซ์ก็สามารถคำนวณน้ำหนักเป็นสารบริสุทธิ์ได้เลย ถ้าเกิน 20 กรัม เท่ากับ "จำหน่าย"

แต่ถ้าเป็น "ยาบ้า" ซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีนที่ผสมสารเคมีต่างๆแล้ว เค้าจะมาคำนวณน้ำหนักสารบริสุทธิ์อีกครั้ง


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

กรณีพี่บี ผมคิดว่าคงมีสารบริสุทธิ์หรือเมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) เกิน 20 กรัม แต่ไม่ถึง 100 กรัม นอกจากนั้นพี่บียังค้ายาบ้าและยาอีอีกด้วย

โทษที่พี่บีน่าจะได้รับคือ จำคุก 5 ปี ถึง จำคุกตลอดชีวิต

การถูกจองจำสิ้นอิสรภาพของพี่บีนั้น ส่งผลกระทบมาถึงผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะผมไม่สามารถหาซื้อยาไอซ์ได้แล้ว คนที่เคยค้าขายกันอยู่ก็ถูกจับเข้าคุกไปหมดทั้ง 2 คน

แต่แทนที่ผมจะคิดใช้โอกาสนี้เลิกยาอย่างถาวร ผมกลับดิ้นรนหาหนทางในการซื้อยานรกนี้ต่อ

เพียงเพราะทนต่ออาการถอนยาไม่ได้ ด้วยเพราะจิตใจผมตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป จึงต้องตกเป็นทาสของยาเสพติดไปเรื่อยๆ


และเหมือนปีศาจซาตานเป็นใจให้ผมพบเจอกับผู้ค้ารายใหม่ จากความช่วยเหลือของรุ่นพี่ในวงปาร์ตี้

ผมจึงเริ่มติดต่อซื้อขายยาไอซ์กับคนผู้นั้นเป็นต้นมา

เป็นอย่างไรบ้างครับ? กับการดิ้นรนหาหนทางลงสู่นรกภูมิของผม




**********************************************************

ตอนที่#17.... มืดมน


ร้านค้ายาไอซ์ร้านใหม่ของผมถือว่าค้าขายอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่เอาเปรียบลูกค้า ทำให้สัมพันธภาพระหว่างผู้ค้ากับผู้ซื้อแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ
การจากไปชั่วคราวของพี่บีและพี่เพียวส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหมู่นักปาร์ตี้ที่ผมรู้จัก
มีรุ่นน้องและเพื่อนๆที่รู้จักหลายคนเริ่มหาซื้อยาไม่ได้ หรือหาซื้อได้ แต่กลับได้ปริมาณน้อยเกินกว่าจะรับได้
นี่จึงเป็น "ซาตานลิขิต" ให้ชีวิตของผมได้พบเจอแต่กับผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ๆทั้งนั้น
วันเวลาในชีวิตที่ติดยานั้นมันผ่านไปรวดเร็วกว่าคนปกตินัก ไม่ทันไร ผมก็ได้รับข่าวใหม่ที่น่ายินดี

............... พี่เพียวพ้นโทษออกจากเรือนจำแล้ว

ในตอนแรกผมเองก็ยังไม่กล้าไปเจอพี่เพียว เพราะยังคิดว่าเขาอาจจะยังไม่หายโกรธเคืองในเรื่องที่เราเคยบาดหมางกัน
แต่ไม่นานหลังจากพี่เพียวกลับคืนสู่อิสรภาพ เขาโทรหาผม ผมทั้งตื่นเต้นและดีใจ ที่จะได้พบกับพี่ที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบปี
การกลับมาพบกันอีกครั้งของผมและพี่เพียว
พี่เพียวกลับมาอยู่ที่อพาร์ทเมนต์เดิม แถวรัชดาฯ แต่ย้ายห้องไปอยู่ชั้น 3

สิ่งนี้สร้างความตกใจให้กับผมพอสมควร ที่พี่เพียวกลับมาอยู่ที่เดิม ทั้งๆที่เคยถูกตำรวจขยายผลมาค้นหายาเสพติดถึงที่นี่มาแล้ว
แต่เรื่องน่าตกใจกว่าคือสภาพของพี่เพียวที่ผมเห็นในตอนนี้ ช่างต่างกับเมื่อก่อนมากมายนัก
ผิวที่คล้ำขึ้นมาก คงเพราะต้องตากแดดนานหลายเดือน ผิวพรรณที่เคยผ่องใสกลับหม่นหมอง รวมทั้งสีหน้าแววตา และทรงผมที่ตัดสั้นจนเกรียนเหมือนทหารเกณฑ์
เรื่องนี้ทำให้ผมตกใจอีกครั้งเมื่อได้เห็น
จากการพูดคุยกัน ทำให้ผมทราบว่าช่วงที่พี่เพียวถูกจองจำในคุกนั้น ศาลได้มีคำสั่งให้พี่เพียวเข้ารับการบำบัดนาน 4 เดือนไปพร้อมๆกับรับโทษจำคุก 6 เดือน

ในช่วงที่รับโทษและบำบัดนั้นพี่เพียวถูกส่งตัวไปอยู่ที่ค่ายทหาร แล้วถูกฝึกหนักแบบเดียวกับทหารเกณฑ์
พี่เพียวเล่าว่าเขาต้องตื่นแต่เช้ามืด ออกไปวิ่งหลายกิโล ฝึกกำลังอย่างหนักแบบเดียวกับทหาร จนตัวดำปี๋
เวลาส่วนตัวไม่มีแม้นาทีเดียว ทุกอย่างถูกควบคุมหมด แม้กระทั่งตอนอาบน้ำก็ต้องอาบรวมกับคนอื่น
ต้องเขียนรายงานสิ่งที่ทำในแต่ละวันส่งครูฝึก ของที่อยากกินก็ไม่ได้กินตามใจปาก สิ่งที่อยากทำก็ไม่ได้ทำดังใจอยาก

แต่แค่นั้นยังไม่เท่ากับเรื่องน่าตกใจเรื่องสุดท้ายที่พี่เพียวสร้างขึ้น
ทันทีที่เขาพ้นโทษ เขากลับมาค้ายาไอซ์ต่อในทันที!!!
เหตุผลเพราะ...
ทรัพย์สินมีค่าถูกอายัดหมด ตอนนี้เขาเหลือแต่ตัว

ที่สำคัญคือ การได้ก้าวเข้าสู่แดนสนธยาในเรือนจำ ที่เต็มไปด้วยคนที่ก่อคดีต่างๆนานา และจำนวนมากคือผู้ค้า "ยาเสพติด"
นั่นหมายความว่า การเข้าไปใช้ชีวิตในคุกของพี่เพียวนั้น เปรียบไปก็เหมือนการเข้าไปชุบตัวเพิ่มพูนประสบการณ์และความรู้ในวงการค้ายาให้เก่งกล้าสามารถกว่าเดิม

ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจได้ชัดเจน

ตอนก่อนจะถูกจับเข้าคุก พี่เพียวเป็นผู้ค้ารายย่อยๆ เปรียบเหมือนความรู้ระดับ มัธยม 6
พอเข้าไปบ่มเพาะวิชามาจากในคุก ตอนนี้ก็เหมือนกับพี่เพียวได้วุฒิ "ปริญญาตรีค้ายา" ออกมาแล้ว
เก่งกล้า กว้างขวาง กว่าเดิม!!
เท่าที่ทราบ ตอนนี้พี่เพียวสามารถซื้อยาผ่านทางเครือข่ายของเอเย่นต์รายใหญ่ในเรือนจำได้ในราคา จีละ 2,000 บาทเท่านั้น!
เมื่อต้นทุนถูกลง กำไรก็งอกเงยมากขึ้นพรวดพราด
ลองคำนวณดูง่ายๆนะครับ ถ้าพี่เพียวสั่งยาไอซ์ 10 จี ในราคาทุน ก็จะเป็นเงินจำนวน 20,000 บาท
เมื่อนำมาขายต่อ จีละ 3,000 บาทซึ่งเป็นราคามาตรฐานในตอนนี้ เท่ากับว่าเขาจะได้กำไรถึง 10,000 บาท ภายในเวลาแค่ 1 - 2 วันเท่านั้น

ถ้าคุณสงสัยว่าแล้วลูกค้าของเขาจะยังกล้ามาติดต่อขอซื้อยาจากเขาอีกหรือไม่หลังจากที่เขาต้องโทษในเรือนจำมา
คำตอบคือ "ลูกค้าเก่าพร้อมใจกันกลับมาซื้อยาที่พี่เพียวกันหมด"ครับ

จากที่ไม่มีอะไร หมดสิ้นซึ่งทุกสิ่ง แต่บัดนี้พี่เพียวใช้เวลาเพียง 1 เดือน ก็กลับมามีฐานะอีกครั้ง ด้วยรายได้จากการค้ายาไอซ์
มีเพื่อนผมที่รู้จักกันในวงการยาเสพติดเตือนด้วยความหวังดีหลายคนว่าตอนนี้พี่เพียวเป็นตัวอันตราย เพราะมีสายของตำรวจคอยตามตัวอยู่ตลอดเวลาหลังพ้นโทษ
หากไม่จำเป็นก็อย่าไปขลุกอยู่กับเขาที่ห้องบ่อยนัก เพราะอาจเจอแจ็คพ็อตได้
แต่ดวงคนเมื่อถึงคราวต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น

กรรมสมัยนี้ติดจรวดเสียด้วย

ปกติแล้วผมจะค่อนข้างระวังตัวเวลาต้องไปหาพี่เพียวที่ห้อง พยายามจะไม่ไปขลุกอยู่ที่นั่นนานนัก เสร็จธุระแล้วก็จะลากลับบ้านทันที
แต่วันนี้เป็นวันเกิดของพี่เพียว ผมจึงตั้งใจไปแฮปปี้เบิร์ธเดย์เขาที่ห้อง รวมทั้งซื้อยาด้วย
ผมไปถึงห้องของเขาประมาณ 2 ทุ่ม และนั่งเล่นยาพร้อมพูดคุยกับเขามากมายหลายเรื่อง ระหว่างนั้นก็มีลูกค้าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาซื้อยาหลายราย
ในตอนแรกผมตั้งใจจะกลับบ้านสักประมาณ 4 - 5 ทุ่ม นี่ถือว่าอยู่ห้องพี่เพียวนานที่สุดแล้ว เพราะปกติผมจะอยู่ไม่เกิน 1 ชั่วโมงเท่านั้น
เมื่อใกล้เวลาที่ผมจะกลับนั้น บังเอิญมีลูกค้ารายหนึ่งโทรเข้ามาสั่งยาจากเขา แต่ไม่กล้าเข้ามารับยาที่ห้อง พี่เพียวจึงต้องนัดให้มารับยาแถวๆร้านสะดวกซื้อใกล้อพาร์ทเมนต์
ผมจึงอยู่เฝ้าห้องให้พี่เพียว ตั้งใจไว้ว่า พอพี่เพียวเสร็จธุระกลับมา ผมก็จะขอตัวกลับแล้ว
ไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงคนคุยกันหลายคนค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆมาตามทางเดิน จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง พร้อมกับเสียงไขกุญแจลูกบิดของพี่เพียว

................. "สงสัยคงจะมีเพื่อนพี่เพียวมาปาร์ตี้ด้วย"

แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่ผมเห็นทำเอาผมช็อคสุดขีด!

พี่เพียวถูกใส่กุญแจมือ โดยรอบตัวเขามีผู้ชายล้อมกรอบอยู่ประมาณ 5-6 คน ทุกคนล้วนไม่คุ้นหน้าทั้งนั้น วินาทีนั้นผมแน่ใจว่านั่นไม่ใช่ลูกค้าแน่ๆ
ทันทีที่ผู้ชายเหล่านั้นเข้ามาในห้อง พวกเขาตรงเข้ามาจับผมใส่กุญแจมือ แล้วบอกให้นั่งลงกับพื้น เสร็จแล้วก็เริ่มรื้อค้นห้องจนข้าวของกระจัดกระจาย

................ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ ที่ผมโดนจับใส่กุญแจมือ

ในหัวผมตอนนั้นมันว่างเปล่า ยังคงช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่นานความกังวลและความกลัวต่างๆก็เริ่มเข้ามาในสมองของผม
ผมจะทำยังไงดี นี่ผมต้องติดคุกหรือนี่ แล้วถ้าพ่อแม่ผมรู้เรื่องแล้วจะเป็นยังไง ท่านคงเสียใจมากแน่ๆ
หลังจากรื้อค้นอยู่พักหนึ่ง ชายเหล่านั้นก็พบของกลางจำนวนมาก รวมกับยาที่ผมเพิ่งซื้อจากพี่เพียวด้วย พวกเขาก็สั่งให้พี่เพียวติดต่อไปหาเอเย่นต์ที่ซื้อยามาขาย เพื่อขยายผลไปจับกุมผู้ค้ารายใหญ่กว่า
โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าหากทำสำเร็จ เราจะได้ลดโทษหรืออาจจะเป็นอิสระ
แต่เหมือนทางนั้นจะรู้ตัว เลยไม่ยอมเอายามาส่ง ทำให้เราสองคนถูกนำตัวขึ้นรถเก๋งคันหนึ่งที่ถูกปิดทับด้วยฟิล์มสีดำหนาทึบ จนคนภายนอกไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ในรถได้
รถคันนั้นขับพาเรามาที่สถานที่แห่งหนึ่ง ไม่ใช่โรงพักหรือสถานีตำรวจ พวกเขาถอดกุญแจมือให้เรา จากนั้นผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็ถามผมว่า มีญาติหรือใครที่สามารถติดต่อได้ตอนนี้หรือไม่?

ไม่ต้องบอกผมก็เดาได้ครับ ว่าเขาต้องการเรียกเงิน เพื่อแลกกับอิสรภาพของผม

เขาให้เวลาถึงตี 5 ถ้ายังไม่มีใครหอบเงินมาช่วยเหลือผมในจำนวนที่พวกเขาต้องการได้ พวกผมจะถูกส่งตัวไปที่สถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ และนั่นก็เท่ากับว่าอิสรภาพในชีวิตของผมจะหมดลงทันที
คนแรกที่ผมนึกถึงคือ "แม่" ผมสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ แต่ติดตรงที่ตอนนั้นมันดึกมากแล้ว และแม่ผมยังเป็นความดันโลหิตสูงอยู่ด้วย ผมกลัวว่าถ้าโทรบอกแม่ตอนนี้แม่อาจจะตกใจจนเส้นเลือดในสมองแตกตายได้
ผมจึงตัดสินใจโทรหา "พ่อ" พ่อตกใจมากกับสิ่งที่ลูกในไส้ทำ แต่ก็ไม่ได้ด่าว่าผมนะครับ คำพูดของพ่อผมทำเอาผมน้ำตาไหล

" ........ เรานะเรา ไปยุ่งกับมันทำไม ยาเสพติด " พ่อพูดกับผมผ่านทางหูโทรศัพท์
"ป๊า .... ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ป๊าช่วยผมด้วยนะ ผมไม่อยากติดคุก ตอนนี้ผมอยู่ที่ ....... " เสียงผมสั่นเครือ ด้วยความรู้สึกผิดบาปที่ต้องให้บุพการีบังเกิดเกล้าต้องพบกับความผิดหวัง
และผมก็ขอให้พ่อปิดเรื่องนี้กับแม่ไว้ก่อน เพราะผมกลัวแม่ของผมจะเป็นอะไรไป ท่านไม่ค่อยแข็งแรง
ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง พ่อผมก็ขับรถมาถึง พร้อมกับเงินสด 40,000 บาท เพื่อแลกกับอิสรภาพของเราสองคน

........... แต่มันไม่พอ

ชายพวกนั้นต้องการเงินมากกว่านั้น ด้วยเพราะข้อหาของเราสองคนนั้นเข้าข่าย "จำหน่าย" ซึ่งหากถูกส่งตัวขึ้นศาล เราอาจจะต้องจำคุกนานถึง 10 ปี
เงิน 40,000 บาทจึงไม่พอ
ชายคนหนึ่งบอกว่านายของเขาต้องการ 100,000 บาทขึ้นไป สำหรับอิสรภาพของเราสองคน!!
เมื่อตกลงกันไม่ได้ พวกเขาก็เตรียมที่จะนำตัวผมและพี่เพียวส่งสถานีตำรวจท้องที่ (สน.พหลโยธิน)
เพื่อเป็นการกดดัน ชายพวกนั้นทำในสิ่งที่เลวทรามมากๆ นั่นคือการจับผมใส่กุญแจมือต่อหน้าพ่อของผม
เป็นการเร่งให้พ่อของผมรีบตัดสินใจโดยไว หากไม่อยากให้ลูกชายติดคุก
แน่นอนว่าไม่มีพ่อคนไหนทนได้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า

ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้จะ 6 โมงเช้าแล้ว ฟ้าเริ่มสาง ผมและพี่เพียวที่ถูกใส่กุญแจมือคล้องติดกันอยู่คนละข้าง ถูกนำตัวขึ้นรถเพื่อไปส่งสน.พหลโยธิน
พ่อผมทนไม่ไหว จึงโทรไปสอบถามคุณอา และยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 150,000 บาท เพื่อปล่อยตัวเรา
คุณอาของผมต้องขับรถมาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อหอบเงินสดจำนวน 150,000 บาทมาแลกกับตัวผมและพี่เพียว

................. เมื่อได้เงิน เขาก็ปล่อยเราไป

แต่ผมยังไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะเดี๋ยวแม่จะสงสัยว่าทำไมกลับมาด้วยกันตั้งแต่เช้า ทั้งๆที่เมื่อวานผมกับพ่อก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ผมจึงต้องไปอยู่ที่ห้องพี่เพียวก่อน แล้วจึงกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น
และเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงใจของผมให้ปวดร้าวอีกครั้ง เมื่อกลับมาเห็นสภาพห้องพี่เพียวที่ถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย เหตุการณ์เมื่อคืนเริ่มชัดเจนขึ้นในหัวผม
แต่คนที่เจ็บปวดใจมากกว่าผมร้อยเท่าพันเท่าคือ "พ่อ" ของผมต่างหาก

พ่อครับ .............
ผมผิดไปแล้ว ...............................

จบตอน 17 มืดมน


**********************************************************

ตอนที่#18.... เลวร้าย


ภายหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไปได้ 1 วัน ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาที่ผมควรจะต้องกลับบ้านเพื่อรายงานความผิดต่อคุณแม่

แต่มีเหตุจำเป็นอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมต้องอยู่เคลียร์กับพี่เพียวก่อนกลับ ทำให้กำหนดการกลับบ้านของผมต้องถูกเลื่อนออกไปก่อนด้วยความจำเป็น

เรื่องจำเป็นเรื่องนั้นก็คือ "เรื่องเงิน" ครับ

เงินจำนวนมากถึง 150,000 บาท หากว่ากันตามความจริงแล้ว การแบ่งครึ่งกันจ่าย ดูจะยุติธรรมที่สุด

แต่ในความคิดของผมนั้น การแบ่งครึ่งกันออกคนละ 75,000 บาทนั้น ....... มันไม่ยุติธรรมครับ

เพราะจากการที่ผมได้พูดคุยกับชายกลุ่มที่มาจับตัวผม ซึ่งเขาเรียกผมให้เข้าไปคุยในห้องโดยไม่ได้ให้พี่เพียวเข้าไปด้วยนั้น

เขาบอกว่า สำหรับผมแล้วนั้น ข้อหาที่จะโดนในครานี้เป็นแค่ "ครอบครอง"ยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 1 เท่านั้น

และด้วยการที่ผมไม่เคยมีประวัติต้องคดีเกี่ยวกับยาเสพติดใดๆมาก่อนเลย ทำให้โทษที่ผมจะได้รับนั้นก็เพียงแค่ "ปรับ 40,000 - 100,000 บาท" เท่านั้น

แต่ปัญหาใหญ่นั้นอยู่ที่พี่เพียว เพราะอย่างที่ผมได้บอกคุณไปในตอนก่อนหน้านี้แล้วว่า พี่เพียวเคยต้องโทษคดียาเสพติดมาแล้ว

อีกทั้งของกลางที่เขาค้นเจอในห้องพี่เพียว ก็มีปริมาณสารบริสุทธิ์อยู่ในขั้น "จำหน่าย" ซึ่งโทษหนักกว่าครอบครองมาก

ลำพังตัวผมคนเดียวแค่เงิน 40,000 บาท ผมก็รอดแล้ว แต่ถ้ารวมพี่เพียวด้วย 40,000 บาทมันไม่พอ

หนำซ้ำการจะหลุดพ้นออกมาจากปากประตูเรือนจำได้นั้น จำเป็นที่จะต้องช่วยทั้ง 2 คนคือผมและพี่เพียว

มิเช่นนั้นหากผมรอดคนเดียว แต่พี่เพียวโดนจับ ตัวผมก็จะต้องเกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเงินที่จ่ายไปสำหรับผมนั้นก็อาจจะสูญเปล่า


แต่ ณ ห้วงเวลานั้น ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองพี่เพียวเลย ที่ทำให้ผมต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้

เพราะไม่มีใครบังคับผมให้เข้ามานั่งเสพยา หรือซื้อยาในห้องพี่เพียว แต่ผมสมัครใจเดินเข้ามาด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังมีคำเตือนจากคนที่ห่วงใยมากมาย แต่ผมก็รั้นที่จะทำ

รวมทั้งในส่วนลึกของความรู้สึกในใจผม ผมรักพี่เพียวเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ผมไม่เคยตีค่าเขาเพียงแค่เพื่อนเสพยาเท่านั้น

ผมสงสารพี่เพียวมากครับ ที่ต้องมาถูกจับและเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ใน "วันเกิด" ของเขา

แน่นอนว่าเพื่อนต้องไม่ทิ้งเพื่อนอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่ามิตรภาพกับเงินทอง(ที่ไม่ใช่ของผม) นั้นต้องแยกกันให้ออก เนื่องจากเงินก้อนนั้นที่ปลดเราออกจากกุญแจมือและโซ่ตรวนได้ เป็นเงินของคุณอาผม

ผมต้องหาเงินไปคืนให้คุณอาในส่วนของพี่เพียว จำนวน 75,000 บาท ความจริงแล้วควรจะต้องเป็น 100,000 บาทเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างที่บอกว่ามันคือมิตรภาพของพี่น้อง แบ่งคนละครึ่งน่าจะดีที่สุด

ผมจึงต้องอยู่คุยตกลงกับพี่เพียวให้ได้ในเรื่องนี้ก่อน เพราะพ่อของผมสั่งให้ผมเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก่อนกลับ เพราะไม่ต้องการให้ผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับพี่เพียวอีกต่อไป

จากการพูดคุยเราตกลงกันว่าจะให้พี่เพียวค่อยๆทยอยใช้หนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะครบ โดยจะให้โอนเงินเข้าบัญชีพ่อผมโดยตรง

เมื่อตกลงกันได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมควรจะต้องกลับบ้านไปรับความผิดสักที

แต่เพราะการที่เลยกำหนดการมากว่า 2 วัน ทำให้พ่อของผมตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้แม่ผมฟัง ทั้งๆที่เราตกลงกันแล้วว่าจะต้องให้ผมเป็นคนกลับไปเล่าด้วยตัวเอง

เพราะช่วงเวลาที่เจรจาแลกอิสรภาพกับชายกลุ่มนั้น ผมไม่มีเวลาและโอกาสที่จะอธิบายรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังได้เลย

พ่อผมจึงเข้าใจผิดว่าผม "ค้ายาไอซ์" ซึ่งจริงๆแล้วผมไม่ได้ค้า ผมเสพอย่างเดียว

เมื่อแม่ผมได้ฟังเรื่องน่าตกใจจากปากของพ่อ ทำให้แม่เสียใจมาก โทรมาหาผม เสียงแม่สั่นเครือ


"ทำไมลูกถึงต้องไปค้ายาด้วย แม่เลี้ยงลูกไม่ดีพอหรือไง ถ้าไม่มีเงินใช้ก็บอกแม่ก็ได้ ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้อยู่แล้ว" ผมกำลังทำให้แม่ร้องไห้


ผมอึ้งไปกับสิ่งที่แม่พูด ในที่สุดสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นจนได้

สาเหตุที่ผมอยากกลับมาอธิบายเหตุการณ์ด้วยตัวเองให้พ่อและแม่ฟังพร้อมกันนั้น ไม่ใช่เพราะอยากจะแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นครับ

ผมยอมรับผิด เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกิดเพราะตัวผมตั้งแต่แรก คนอื่นไม่เกี่ยว

แต่ผมกลัวการ"เข้าใจผิด"มากกว่า นิยามของคำว่า "ผู้ค้ายา" กับ "ผู้เสพยา" มันต่างกันราวฟ้ากับเหวในความรู้สึกของคนเป็นพ่อ-แม่

สำหรับลูกในไส้แล้วนั้น การเสพยา อาจจะเป็นเพราะลูกหลงผิด ทำตามเพื่อน หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่ใช่ความ"ตั้งใจ"กระทำสิ่งเลวร้าย

แต่ "การค้ายา" นั้น มันคือ ความตั้งใจและเจตนาทำความเลว เสมือนพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน ลูกจึงทำเลวได้ถึงขนาดนี้


ผมรีบกลับบ้านทันที พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด จนแม่และพ่อของผมเข้าใจ และมองผมดีขึ้นมาอีกนิดนึง อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เลวเต็มขั้นถึงขนาดค้ายาทำลายชาติครับ

ผมต้องการแค่นี้จริงๆ

และผมก็อยากจะเลิกมันแล้ว ไอ้ยานรกนี่


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ผ่านไปนานประมาณ 1 สัปดาห์ อาการถอนยาที่รุนแรงมากยังจู่โจมผมอย่างไม่ลดละ

ผมพยายามอดทนเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเลวร้ายนี้ไปให้ได้ เพราะว่าผมอยากจะเลิกยาแล้วจริงๆ


อ้อ .... ลืมบอกไปว่า ช่วง 7 วันที่ผมอยู่บ้านนี่ พี่เพียวไม่ติดต่อมาหาผมเลยสักครั้งเดียวครับ

แต่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ ได้แต่คิดในแง่ดีว่า พี่เพียวคงกำลังรวบรวมเงินมาใช้คืนพ่อผมอยู่มั้ง เพราะเงินจำนวนตั้ง 75,000 บาทไม่ใช่หามาง่ายๆ

ช่วงนี้เป็นช่วงที่อาการถอนยาของผมเข้าขั้นวิกฤติแล้วครับ

ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จนถึงขั้นด่าคนในที่สาธารณะมาแล้วเพราะไม่พอใจเรื่องเล็กน้อย

วัฏจักรเดิมของยาเสพติดจึงกลับมาคุกคามชีวิตผมอีกครั้ง


ใช่ครับ ....................................... ผมกำลังจะกลับไปเล่นยาไอซ์อีกครั้ง ทั้งๆที่เพิ่งโดนรวบเกือบเข้าซังเตมาหมาดๆ


แต่ครั้งนี้จะเป็น "ครั้งสุดท้าย" สำหรับผมแล้ว

ผมตั้งใจอย่างนั้น


จบตอบ 18 เลวร้าย


**********************************************************

ตอนที่#19.... ทิ้งทวน



คุณคงเคยได้ยินสำนวนไทยที่ว่า .....................


"ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา"


เคยได้ยินใช่มั้ยครับ?


มันกำลังจะเกิดขึ้นกับผมครับ.........


คุณอาจจะสงสัยว่าขนาดเกือบต้องติดคุกแล้ว ผมยังไม่สำนึกหรือเข็ดขยาดกับยาไอซ์นี่อีกเหรอ?

คำตอบคือ ผมขยาดแล้วครับ และคิดจะเลิกมันอย่างจริงจังแล้ว แต่ขอทิ้งทวนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ

และความตั้งใจ "ทิ้งทวน" นี้เอง ที่เป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวออกนอกเส้นทางสายยาเสพติดนี้ได้ในที่สุด


ทุกอย่างเริ่มขึ้นเหมือนเดิมด้วยการโทรสั่งซื้อยาไอซ์จากพี่เพียว แต่ว่าผมไม่ได้บอกใครเลยนะครับว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะเล่นยา

เพราะมันเหมือนเป็นอาถรรพ์ พอบอกคนอื่นว่าจะเลิกยาทีไร ไม่มีใครเคยทำได้สักคน

อาจเพราะ "การกระทำเสียงดังกว่าคำพูด" พูดแล้วไม่ทำ ก็เท่ากับไม่มีประโยชน์ใดๆเกิดขึ้น

ผมตกลงกันกับพี่เพียวว่าเงินส่วนที่จะต้องใช้คืนพ่อผม กับเงินค่ายาไอซ์นั้นจะแยกกันคนละส่วนเพราะผมเข้าใจพี่เพียวว่าเขาต้องใช้เงินไปเป็นทุนซื้อยาหาเลี้ยงชีพ

การจะให้หักออกไปจาก 75,000 บาททีละหน่อยๆ คงไม่เหมาะ อีกทั้งเงินที่พ่อผมจะได้ไปก็จะไม่ครบ 75,000 บาทด้วย

ครั้งนี้ผมโกหกพ่อแม่อีกครั้ง ว่าไปเที่ยวต่างจังหวัดเพื่อปรับสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นปกติหลังจากที่ต้องเจอเรื่องแย่ๆมา

และเหมือน "สวรรค์ลิขิต" ให้พี่เพียว "จัดหนัก" ให้ยาไอซ์ผมมาซะเยอะแยะเกินปริมาณที่ควรจะได้ตั้งเยอะ

ทำไมผมถึงกล้าใช้คำว่า ....... "สวรรค์ลิขิต" ???


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


เพราะอันตรายจากการ "ทิ้งทวน" ยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนๆ โอกาสที่จะเกิดการ "เสพยาเกินขนาด (Overdose)" นั้นมีสูงมากครับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยาเสพติดชนิด"ฉีด" เช่น เฮโรอีน ยิ่งเสี่ยงมาก อาจจะตายคาเข็มได้เลย

กรณี "ยาไอซ์" หรือ เมทแอมเฟตามีน ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เพราะการทิ้งทวนการเสพยาเสพติดนั้น ผู้เสพจะเสพยาแบบ"จัดหนักมาก" ชนิดที่เรียกว่าอัดกันเต็มที่เพราะครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


ครั้งนี้ผมตั้งใจว่าจะทิ้งทวน จึงจัดเต็มด้วยการเล่นยา 3 วัน 3 คืน แบบมาราธอน ดูดแล้วดูดอีก ควันตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องพี่เพียว เสพยามากกว่าทุกครั้งที่เสพมาตลอด 2 ปี

สาเหตุที่ผมกล้ามาเล่นที่ห้องพี่เพียวก็เพราะรู้ว่า จะไม่มีใครเข้ามาจับเราเข้าคุกในช่วงนี้แน่นอน เพราะจะต้องทิ้งระยะสักพักให้เราเริ่มมี"เงิน"ก่อน แล้วค่อยจับไป "รีดเงิน"


สัญญาณเตือนแรกของการ Overdose คืออาการหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม แต่ตอนนั้นผมคิดเพียงว่าคงเพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอนตั้ง 3 วัน 3 คืน แถมกินอาหารเพียงน้อยนิดเลยทำให้อ่อนเพลีย

จึงขอตัวลาพี่เพียวและเพื่อนๆกลับบ้าน โดยไม่ได้บอกใครเลยว่านี่คือการลา"จริงๆ"

ลาก่อนตลอดกาลเพื่อนเอย


ผมเรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน พอเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่ได้ไม่นาน ผมก็เริ่มเหงื่อออก แต่กลับรู้สึกหนาวสะท้านเหมือนอยู่ในขั้วโลก

จนผมต้องรีบคว้าเสื้อแขนยาวออกมาสวมทับร่างกายอีกชั้น พร้อมกับบอกคนขับแท็กซี่ให้ช่วยเบาแอร์ลงมาหน่อย

ตามมาด้วยอาการกระสับกระส่าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ มึนงงไปหมด รู้สึกเหมือนจะเป็นลมตรงนั้นให้ได้

ต่อมาผมเริ่มหายใจไม่ออก ต้องอ้าปากสูดเอาอากาศเข้าพร้อมกับหายใจทางจมูกเพื่อให้หายใจได้

เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก เพียง 10 - 15 นาที ก็เริ่มเข้าขั้นวิกฤติ

อาการชา เริ่มโจมตีผมโดยค่อยๆไล่ขึ้นมาจากปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าทั้งสองข้าง ลามมาเรื่อยๆจนถึงใบหน้าของผม

อาการอึดอัดหายใจไม่ออกก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องขอให้คนขับเปิดกระจกรถทั้งหมดออกเพื่อรับออกซิเจน

ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนมันจะขาดใจตายเลยครับ เพราะหายใจเท่าไหร่ก็เหมือนไม่มีอากาศเข้าไปในปอด

คล้ายๆกับพวกปลาในบ่อน้ำที่น้ำเริ่มเน่าเสีย พวกมันก็ต้องขึ้นมาอ้าปากพะงาบๆ อยู่ตรงผิวน้ำเพื่อรับออกซิเจน

อาการผมหนักขึ้นเรื่อยๆจน นิ้วมือทั้ง 10 เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมม่วง เนื่องจากการขาดออกซิเจน

ขาและแขนของผมชาจนขยับไม่ได้ ไร้ความรู้สึกเหมือนคนเป็นอัมพาต

ห้วงวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น ผมนึกถึงแต่หน้าของแม่.........................

ถ้าผมต้องตายไปโดยที่ไม่ได้สั่งเสียอะไรเลยผมคงตายตาไม่หลับ และหากผมตายไปแม่ผมต้องเสียใจมากแน่

แล้วใครจะอยู่ดูแลแม่ตอนแก่เฒ่า?


ผมยังไม่อยากตาย!!!!!



โชคยังดีที่ผมยังไม่ถึงฆาต

แท็กซี่ขับมาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และพาผมไปส่งโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นพอดี

ตอนนั้นผมหมดเรี่ยวแรง แขนขาไร้ความรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตทั้งตัว

แท็กซี่และบุรุษพยาบาลแบกผมขึ้นเตียงแล้วเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน

สายออกซิเจนถูกเสียบเข้าที่รูจมูกผม พร้อมกับแพทย์และพยาบาลที่เข้ามาสอบถามอาการและตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด

สักพักผมเริ่มหายใจได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม สามารถพูดคุยกับแพทย์ที่มาสอบถามอาการได้

แพทย์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจม่านตา ตรวจกล้ามเนื้ออยู่สักพัก ก็ยังไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าผมเป็นอะไร?

แพทย์จึงเข้ามาถามผมว่า ไปลื่นหกล้มหัวฟาดพื้นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า เพราะอาการคล้ายคนเป็นอัมพาตจากสมองได้รับบาดเจ็บ

ผมจึงตัดสินใจบอกความจริงให้แพทย์ฟัง คุณหมอจึงถึงบางอ้อ และรักษาผมได้ถูกวิธี

ผมนอนโรงพยาบาลอยู่ 1 คืน โดยไม่ได้ติดต่อใครเลย เพราะห้องฉุกเฉินนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

ใจก็กลัวว่าโรงพยาบาลจะแจ้งตำรวจมั้ยเรื่องที่ผมเสพยาเสพติด

ต้องนับถือใน "จรรยาบรรณแพทย์" จริงๆครับ ที่เขาไม่แจ้งตำรวจ แต่แจ้งผมแทนว่าที่โรงพยาบาลแห่งนี้มีคลินิคพิเศษสำหรับบำบัดผู้ติดยาเสพติดโดยเฉพาะ

ถ้าสมัครใจและยินดีเข้ารับการบำบัด คุณหมอจะออกใบนัดให้

แต่มีข้อแม้ว่า

"ต้องตั้งใจจริง" เท่านั้น


ผมไม่ปฏิเสธ รีบตอบรับด้วยความยินดียิ่ง

ผมตั้งใจที่จะเลิกจริงๆครับ

ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เพื่อพ่อแม่ เพื่อตัวผมเอง และเพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเมตตาให้โอกาสผมมีชีวิตต่อไปเพื่อกลับตัวกลับใจเป็นคนดี


จบตอน 19 ทิ้งทวน

**********************************************************

ตอนที่#20.... บำบัด (ตอนจบ)




2 สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์เมทแอมเฟตามีน Overdose ผ่านไป

2 สัปดาห์ที่ผมได้เปิดใจพูดคุยปรึกษาหารือกับพ่อแม่ในเรื่องที่เคยทำผิดพลาดมา

2 สัปดาห์ที่ผมได้มีเวลาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาเมื่อครั้งติดยาเสพติด

2 สัปดาห์ที่ผมได้เห็นคุณค่าของชีวิตตัวเองมากขึ้นกว่าทุกครั้ง


ผมยอมรับผิดในสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น และกราบขอโทษพ่อและแม่ในสิ่งที่ได้ล่วงเกินท่านไปในอดีต

ผมพร้อมแล้วสำหรับการเริ่มต้นใหม่.........................


วันนี้ถึงกำหนดที่หมอนัดเข้ารับการบำบัดที่คลินิคพิเศษบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแล้วครับ

ใจจริงแล้วผมอยากให้ทั้งพ่อและแม่ไปที่คลินิคพร้อมกับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ของผม เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าผมสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ

ดังนั้นคนที่เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปชนิดเป็นคนละคนของลูกแทบจะตลอดเวลาก็คือ "แม่" ของผมครับ

คนที่ต้องรองรับอารมณ์ที่ผันแปร หงุดหงิด ก้าวร้าว หยาบคายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็คือ "แม่"

คนที่ต้องทุกข์ใจ เสียใจ และปวดร้าวใจ ที่เห็นลูกของตัวเองเปลี่ยนไปในทางที่เลวลงมากกว่าใครๆ ก็คือ "แม่"

ผมผิดต่อแม่มากเหลือเกิน

แต่ด้วยเหตุจำเป็น วันนี้จึงมีพ่อกับผม 2 คนเท่านั้นที่เดินเข้าสู่คลินิคบำบัดผู้ติดยา เพราะแม่ของผมท่านติดธุระ เลยต้องรอไปเป็นครั้งหน้าแทน ซึ่งก็ไม่น่าจะนานนัก

เมื่อไปถึงคลินิค ผมกับพ่อก็ได้พบกับพยาบาลนักจิตวิทยา ชื่อพี่นัน ซึ่งจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาและคอยกำกับดูแลผมตลอดระยะเวลาการบำบัด

ก่อนอื่นพี่นันอธิบายถึงขั้นตอนกระบวนการบำบัดรักษาผู้ติดยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีนให้ผมและพ่อฟังคร่าวๆ ดังนี้

กระบวนการบำบัดจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 เดือน ถึง 1 ปี

ในช่วง 1 เดือนแรกของการบำบัดแพทย์จะนัดทุกๆ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นแพทย์จะนัดทุกๆ 1 เดือน

ในช่วง 4 เดือนแรก จะต้องมีการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดทุกครั้งที่แพทย์นัด เพื่อติดตามผลว่าเราไม่มีการใช้สารเสพติดอีกต่อไป

ซึ่งสารเสพติดในที่นี้คือ เมทแอมเฟตามีนนั้นสามารถตกค้างอยู่ในร่างกายได้นานถึง 4 เดือน ดังนั้นหากผมไม่ได้รับสารเสพติดเพิ่มอีก ค่าที่ตรวจได้จะต้องค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนเท่ากับ "ศูนย์" ภายใน 4 เดือน

โดยการเข้ารับการบำบัดแต่ละครั้งที่แพทย์นัด จะใช้เวลาประมาณครึ่งวัน โดยเป็นการตรวจปัสสาวะและพูดคุยเพื่อให้คำแนะนำการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เป็นปกติกับพี่นันต่อด้วยการพบจิตแพทย์เพื่อรับยาไปทานที่บ้าน

ยาที่จิตแพทย์จ่ายให้ผมทานนั้น ก็เพื่อลดและบรรเทาอาการ"ถอนยา"ที่เป็นสาเหตุหลักของการกลับไปใช้ยาเสพติดซ้ำ ซึ่งยาเสพติดแต่ละชนิดจะมียาที่ใช้รักษาอาการถอนยาแตกต่างกันไป

ส่วนการพูดคุยกับพยาบาลนักจิตวิทยาเพื่อปรับพฤติกรรมนั้นก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการใช้ยา เพราะในผู้ติดยานั้น จะสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างคนปกติไป

ทั้ง 2 อย่างจึงต้องทำควบคู่กันไปเพื่อให้กระบวนการบำบัดรักษาประสบความสำเร็จ เพราะหากขาดองค์ประกอบอันใดอันหนึ่งไปก็อาจจะล้มเหลวได้

พี่นันได้อธิบายถึงกลไกการออกฤทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนต่อสมอง กลไกการเสพติด และอาการถอนยาให้พ่อของผมฟัง ทำให้ท่านเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนของลูกชาย

ในระหว่างที่พี่นันอธิบายอยู่นั้น ในใจผมอยากให้แม่มาฟังคำอธิบายของพี่นันมาก เพราะท่านจะได้เข้าใจว่าทำไมลูกถึงเปลี่ยนไป

ถ้าให้ผมมาอธิบายเองมันก็ไม่ต่างอะไรจากการ "แก้ตัว" ซึ่งอย่างที่บอกว่าผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว ทุกอย่างเป็นความผิดของผมทั้งหมด

แต่ผมอยากให้แม่เข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำไปนั้นผมไม่ได้เจตนาจะทำร้ายท่านเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ทำไปนั้นเพราะผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

ดังนั้นการได้ผู้เชี่ยวชาญและเป็นกลางอย่างพี่นันซึ่งเป็นพยาบาลนักจิตวิทยาผู้เชียวชาญด้านนี้มาช่วยอธิบายให้พ่อและแม่ผมฟัง

จึงมีส่วนอย่างมากที่จะทำให้พ่อและแม่เข้าใจผมและช่วยประคับประคองให้การบำบัดนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ยาที่ใช้ในกระบวนการบำบัดรักษาผู้ติดเมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์/ยาบ้า) ได้แก่


FLUOXETINE - ช่วยเพิ่มระดับของ"สารเซโรโทนิน"ในสมอง ทำให้อาการถอนยาทุเลาลง ความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจน้อยลง แต่ต้องทานอย่างต่อเนื่องระยะยาวจึงจะเห็นผล

ส่วนการเพิ่มระดับของ"สารโดปามีน" ที่สมองเคยถูกกระตุ้นอย่างหนักมาก่อนนั้น ทำได้ด้วย "การออกกำลังกาย" เป็นวิธีดึงโดปามีนได้มากที่สุด

ดังประโยคที่ว่า "ออกกำลังกายเล่นกีฬา พาชีวิตห่างไกลจากยาเสพติด"

PERPHENAZINE - ยารักษาอาการก้าวร้าว ช่วยให้จิตใจสงบลงและช่วยให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น แต่ต้องทานระยะยาวจึงจะเห็นผล

ALPRA ZOLAM - ยานอนหลับและคลายเครียด ช่วยสงบประสาทเมื่อทานในขนาดต่ำและช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนในผู้ที่ติดยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท

BENZHEXOL - ยารักษาอาการสั่นเกร็ง (ปกติใช้รักษาโรคพาร์คินสัน) ในสมองของผู้ติดยาไอซ์ สมดุลของสารโดปามีนและเคมีสมองอื่นๆจะผิดปกติไป ทำให้เกิดอาการสั่นเกร็งของกล้ามเนื้อ


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าการรับประทานยาที่แพทย์ให้นั้น เป็นแค่ "ส่วนหนึ่ง" ของกระบวนการบำบัดเท่านั้น

การบำบัดจะสำเร็จหรือไม่นั้น "ผู้เข้ารับการบำบัด" คือคนที่สำคัญที่สุด

พยาบาลนักจิตวิทยา - จิตแพทย์ - พ่อแม่ - ยา คือตัวช่วยเท่านั้นเอง

เพราะต่อให้ทานยานานเป็นปี แต่ไม่มีความเข้าใจจากพ่อแม่หรือครอบครัว สุดท้ายผู้เข้ารับการบำบัดก็มีโอกาสสูงที่จะกลับไปติดยาเสพติดอีก

ในทางกลับกันถ้าปรับพฤติกรรมอย่างเดียว ครอบครัวเข้าใจ ผู้เข้ารับการบำบัดก็ตั้งใจอยากเลิกยา แต่ไม่ทานยา ไม่มี "ยา" ช่วยรักษาอาการถอนยา โอกาสล้มเหลวก็สูงเช่นกันครับ

เพราะฉะนั้นผู้ที่คิดอยากเลิกยาเสพติดไม่ว่าชนิดไหน สิ่งที่สมควรทำคือการบอกคนในครอบครัวให้เข้าใจถึงความตั้งใจของคุณ และเข้ารับการบำบัดอย่าง"ถูกวิธี" จึงจะสำเร็จครับ



................ ช่วง 2 ปีที่ผมติดยาไอซ์นั้น กิจกรรมและสิ่งที่ผมรักต่างๆนั้น ผมไม่สามารถทำมันได้เลย เพราะผมติดอยู่ในบ่วงวัฏจักรของยาเสพติด ยากที่จะหลุดพ้นออกมาจากมันได้โดยง่าย

แต่สิ่งที่นำพาผมออกมาจากบ่วงกรรมนี้ได้ คือ "ความเข้มแข็งของใจ"

ความตั้งใจจริง จะสามารถนำพาตัวเราเดินไปในทางที่ถูกที่ควรได้อย่างที่หวังที่ตั้งใจ

อีกสิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญไม่แพ้กันคือ "ความรักความเข้าใจจากคนในครอบครัว"

หากพ่อแม่พี่น้องในครอบครัวเข้าใจ-เห็นใจ และพร้อมจะให้โอกาสผู้ติดยากลับมามีชีวิตใหม่แล้วนั้น ผมเชื่อว่าเค้าก็พร้อมจะกลับตัวเช่นกันครับ

เพราะอาการถอนยานั้นมันทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น ผู้ติดยาต่างอยากจะหลุดพ้นจากมันกันทั้งนั้น แต่ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง

หากครอบครัวซึ่งเปรียบเหมือนที่พึ่งสุดท้ายทอดทิ้งเขาไป เขาก็จะไม่มีวันหวนกลับสู่หนทางที่ดีได้อีกต่อไป มีแต่จะจมลงสู่ก้นบึ้งแห่งอบายภูมิเท่านั้น

ส่วนตัวผมแล้ว

"สำนึกดี" ที่ช่วยผมไว้ในครั้งนี้คือ ความกตัญญูกตเวทีครับ

ผมรักพ่อแม่ของผมมาก มากกว่าชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ

ช่วงที่ผมติดยาอย่างหนัก ผมเป็นทุกข์และเจ็บปวดใจมากที่ต้องทำร้ายผู้มีพระคุณที่สุดของผมทั้งสองคนแม้จะไม่ตั้งใจ แต่ก็ทำไปแล้ว

ในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายบนรถแท็กซี่ ภาพที่แล่นเข้ามาในสมองของผมมีแต่แม่พ่อและครอบครัว

สิ่งที่ผมอยากบอกพ่อแม่ก่อนจะตายคือ "ผมขอโทษ"

โชคยังดีที่ผมได้มีโอกาสบอกมัน และกลับตัวกลับใจ

แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีโอกาสนั้น

แต่ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าไปยุ่งกับมันเลยครับ ยาเสพติดมีแต่โทษกับโทษ



จบ




**********************************************************



อ้างอิงจาก:


แก้ไขล่าสุดโดย Fuckmachine` เมื่อ Mon Apr 07, 2014 19:21, ทั้งหมด 1 ครั้ง
114
0
หากโดน 194 เรื้อน จะถูกแบน
cartoonology , maxybaby , pE3grean , [K]al2a[M]ai[L] , bored_sad , maninthebox , westsan , lolonear , Balotelli , Onair , Gussst , McCoy , oreocheez , IE_ManU , mathchique , ผักกะเพรา , bisecting , พี่เคิร์ท โคเบน , Basebest , indianaboyz , Dragongong , brrless , Schwarzenegger , O-nga , small_ro0m , DviL7LuwY , จอห์นชาวไร่ , GuBa_ , oattdropp , GoDzMoHz , thekop_hadyai , Donut-chinjung , personality , bartrista , GopgapZ- , Monkey [D]Jai , clashreddevil , iarebaboon , o6sEnsEo , blizzard02 , Hull City , Pong Ji-Sung , blackcross , ranger140 , black_Screenz , kai_1980 , ตุ๊บ ปั๊ก , colonchoccolate , จะมีแต่ความฮาเฮ , pstp , angry_berb , JuveJune , B.Rodger , HanibaTew , JinGJok , mercurii , Gameyz , ulquiorra , lolopopo_13 , ReiNDeaR , ManU_UnaM , Mr.Brightside , SiixFrog , kookkookkoo , mr.abyim , krittakorn19 , Eldemino.7 , บักโอ้ , Sifar , tekz. , bingos , earthchelsea , torLucifer , jojoebar , APOSTROPHY , Romanticboy , HanZy , jadellcom , ศาสตราจารย์ , Liveboy , mitji , beer_liverpool , Butter Salmon , puslelee , jiniroj , WORLD_CLASS , nutvps11 , ValentinezZ , turbo32 , santaJL , gkprofess , เพนกวิ้นฮีโร่ , bitboyxx , paperjam , phuckapon , KawPoon_Daddy , livertep , LM10 , moodyeye , marcodivaio , เงาของเธอ , เจน ยานชิบ! , lizaw , -CiseRo- , Style-Brazilian , BlurBoy , cressida , ogreenmano , ช่างหัวมัน , alll , TeenTon , itstoobad , popopoioioio , loveontherock
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1557
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:21
ถูกแบนแล้ว
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
แปะไว้
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวเตะลา ลีกา
Status: เอดิสันฝันถึงไฟยามค่ำคืน โคลัมบัสฝันโต้คลื่นถึงโลก
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Nov 2013
ตอบ: 7924
ที่อยู่: ภาคใต้ตอนล่างฝั่งตะวันออก
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:24
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]


0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวเตะลา ลีกา
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2006
ตอบ: 16477
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:25
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
อ่านจบแล้ว








ซะเมื่อไหร่
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
Arselul / Lulldas Mavericks
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: only time will tell
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1098
ที่อยู่: Sir Matt Busby Way, Stretford, Manchester M16 0RA สหราชอาณาจักร
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:27
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
อ่านจบซะที ตอนสุดท้ายพระเอกโคตรเท่ห์อ่ะ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
Bc0fcy.jpg
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 31 Jul 2007
ตอบ: 742
ที่อยู่: ใจของเทอ อ้วกกกกกก!!!!
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:28
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
ตอนแรกก้ออ่านไป4-5บรรทัด ลองเลื่อนลงมาเท่านั้น คงจบเช้าแน่ กลับบ้านก่อนนะเด๋วอ่าน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


++ รักแรกคือแมนยูไนเต็ด และ จะรักตลอดไป ++

ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Mar 2010
ตอบ: 1063
ที่อยู่: -
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:40
ถูกแบนแล้ว
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: I'm Not Man U Can Trust !!!
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Jan 2011
ตอบ: 7450
ที่อยู่: รังจอมมาร
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:50
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
ขอติงนิดนึง เรื่องสีตัวอักษรและเว้นวรรค

หัวข้อ เป็นตัวใหญ่คนละสีก็ได้

มันดูเป็นพรืดเดียวกันหมดเลย

อ่านนานๆแล้วตาลาย

ต้องใช้วิธีทำแถบทึบช่วยไม่งั้นงงว่าอ่านถึงไหน

แก้ไขล่าสุดโดย sornzilla เมื่อ Mon Apr 07, 2014 19:52, ทั้งหมด 1 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Sep 2009
ตอบ: 10191
ที่อยู่: Online 24 hr.
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:55
ถูกแบนแล้ว
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
อ่านจบเลยครับ
































เลื่อนลงมาอ่าน "จบ" เลย



เยอะโฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ดาวเตะกัลโช่
Status: ไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวัง แต่ถ้าไม่มีแม้แต่ความหวัง
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 8886
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 19:59
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
ยาวไป ................แต่ก็อ่าน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
โค้ช T-License
Status: แม้วัยต่างกันก็เป็นเพื่อนกันได้
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 2176
ที่อยู่: อยู่กับเมีย
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 20:08
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
ไว้ว่างก่อน ค่อยมาอ่านเน้อ

0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status: ท้องฟ้า และดาวช่างดูสดใส ... เมื่อ มีเธอ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 07 Oct 2010
ตอบ: 5114
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 20:17
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
ผมเคยตัดใจผู้หญิงคนนึงไปก็เพราะเขาเล่นไอซ์นี่แหละ โครตเสียดายผู้หยิงสวยๆดีๆคนนึงเลย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 324
ที่อยู่: Mobile Studio
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 20:23
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
เคยอ่านเมื่อประมาณปีที่แล้วครับ
แวบแรกที่ได้อ่าน คือแบบว่า "นี้มันชีวิตตูเลยนี้หว่า"
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 May 2010
ตอบ: 139
ที่อยู่: คุกลวย
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 20:28
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนอ่านประวัติตัวเองเลยอ่ะ
ต่างกันตรงตอนจบที่ผมเลิกได้ก่อนที่จะโดนจับ
ยังไงก็ดีใจด้วยนะครับที่เลิกได้
ประโยคเด็ดๆของพวกเล่นยา"กุไม่ติดว่ะ มีก็เล่น ไม่มีกุก็ไม่เล่น อยู่ได้ไม่เห็นเป็นไร"
แต่ความจริงคือ"มีก็เล่น ไม่มีก็หา หาจนกว่าจะได้เล่น"




ปล. ผมจบจากคลองหกครับ ตอนผมจบยังเป็นเทคโนอยู่เลยตอนนี้เป็นมหาลัยละ
แก้ไขล่าสุดโดย PIT_DPB เมื่อ Mon Apr 07, 2014 20:34, ทั้งหมด 1 ครั้ง
4
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ก.
Status: 2T forever
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 09 Apr 2010
ตอบ: 11423
ที่อยู่: Old Trafford [91475]
โพสเมื่อ: Mon Apr 07, 2014 20:30
[RE: กรณีศึกษา : ไดอารี่ เด็กขี้ยา 18+ (เต็มๆ ทุกเนื้อหา)]
บุ๊คมาร์คไว้ก่อน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel