ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
หัวหน้าแมวมอง
Status:
: 1 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Dec 2013
ตอบ: 36605
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:06
ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ''


คุณจะเรียกเขาว่า เซซ่าร์, กลาดิเอเตอร์ หรือ ราชาแห่งฝูงหมาป่า ก็ได้ เป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้วที่นักเตะชื่อ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมฟุตบอลแห่งโรม หลังจากหมดยุคของ จูเซ็ปเป้ จานนินี่ เจ้าชายหมาป่าคนก่อน เวลาล่วงมาถึงปัจจุบัน เขาได้ก้าวขึ้นมากุมหัวใจแฟนบอล โรม่า ทั้งปวงไปหมดแล้ว สำหรับแฟนบอลหมาป่า เขาเปรียบเสมือนตำนานผู้เป็นสัญลักษณ์ของทีม เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดที่ทีมเคยมีมา การก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียวถึงจุดเริ่มต้นของสุดยอดนักเตะคนนี้



ชีวิตที่มีฟุตบอลในวัยเด็ก ..............

ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ เกิดเมื่อวันที่ 27 กันยายน ปี 1976 ในย่าน ปอร์ตา เมโตรเนีย ของกรุงโรม บ้านของเขาอยู่ห่างจาก โคลอสเซียม ราวๆ 2 กิโลเมตรเท่านั้น เขามีชีวิตในวัยเด็กต่างจากเด็กคนอื่นๆทั่วๆไป ด้วยวัยเพียงแค่ 9 เดือน ก็ได้สัมผัสลูกฟุตบอลแล้ว มันเหมือนเป็นของเล่นของเขาที่คุณพ่อ ลอเร็นโซ่ และคุณแม่ ฟิออเรลล่า หยิบยื่นให้ แม้กระทั่งในเวลาหลับก็ยังกอดลูกฟุตบอลไว้ในอ้อมแขน เหตุผลอย่างหนึ่งที่คุณแม่เค้าสนับสนุนให้หนูน้อย ต๊อตติ เล่นฟุตบอล เพราะเธอต้องการให้เขาอยู่ห่างจากบริเวณบ้าน หลีกหนีการที่จะต้องเห็นคุณปู่ คุณย่า ซึ่งต้องทนทรมานกับอาการเจ็บป่วยในวัยชราอย่างหนัก

วัยเด็กของเขาคือดูฟุตบอลครับ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสด หรือไฮไลต์ ทั้งในกัลโช่ หรือลีกต่างประเทศ เขาดูหมด ขณะที่เด็กคนอื่นๆเลือกที่จะดูการ์ตูน เขาเริ่มฝึกฝนการเล่นฟุตบอลเมื่ออายุ 4 ขวบ และอีก 1 ปีต่อมา ก็ได้ลงประลองในสนามเป็นครั้งแรก โดยคุณพ่อที่เห็นแววเก่งมาแต่ไกล พาเขาเข้าไปร่วมเล่นฟุตบอลกับนักเตะรุ่นพี่ ในทัวร์นาเมนต์ฤดูร้อน เขาขออนุญาตลงสนามท่ามกลางเสียงคัดค้านของเด็กที่โตกว่า ผลคือหนุ่มผมบลอนด์ ต๊อตติ ได้ลงสนามไป 2-3 นาที และยิงได้ 2 ประตู จากนั้นมาก็ไม่มีใครปฏิเสธการลงสนามของเค้าอีกเลย

ความเก่งกาจตั้งแต่เด็กของ ต๊อตติ ทำให้เขาตั้งใจที่จะเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการลงเล่นกับสโมสร ฟอร์ติตูโด้ ทีมเยาวชนแรกในชีวิตของเขา ด้วยวัยเพียง 8 ขวบ จากเด็กที่อายุน้อยที่สุด ตัวเล็กที่สุดในทีม แต่กลับกลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุด ทั้งการลากเลื้อย ครองบอล และทำประตู โดยเฉพาะเทคนิคในการควบคุมลูกแสดงให้เห็นว่าเขาคืออัจฉริยะโดยกำเนิด จากนั้นเขาเดินทางไปฝึกซ้อมร่วมกับทีมเยาวชน สมิต ตราสเตเวเร่ ในปีเดียวกัน ซึ่งเหมือนเป็นการยกระดับตัวเองให้มากขึ้น ต๊อตติ ซ้อมอยู่ที่นี่ 2 ปี จนอายุได้ 10 ขวบพอดีครับ



ย่างก้าวสู่นักฟุตบอลอาชีพเต็มตัว .............

ต๊อตติ เดินทางไปฝึกซ้อมต่อกับทีม โลดิจานี่ ทีมสมัครเล่นในโรม ซึ่งนั่นเป็นเหมือนการสร้างประตูบานใหญ่ในการส่ง ต๊อตติ เข้าสู่ความเป็นนักเตะเต็มตัว ต้องขอบคุณเทรนเนอร์คนแรกของเขา มาสโตรปิเอโตร ก่อนจะมาเป็น เอมิดิโอ เนโรนี่ 2 คนนี้คือโค้ชผู้เปรียบเสมือนผู้ปลุกปั้น และพร่ำสอน ต๊อตติ มาตลอด และหลังจากฝึกซ้อมกับที่นี่ได้เพียง 2 ปี ในปี 1989 แมวมองของ โรม่า และ ลาซิโอ 2 ทีมยักษ์ใหญ่ในโรม ก็มารุมตอมหนุ่มน้อย ต๊อตติ เพื่อเซ็นสัญญาเข้าเป็นนักเตะเยาวชนของทีม และ ต๊อตติ ก็ไม่ลังเลเลยที่จะเลือกใส่ยูนิฟอร์มเหลือง-แดงของ โรม่า ก็เพราะ จูเซ็ปเป้ จานนินี่ และ รูดี้ โฟลเลอร์ ขวัญใจในวัยเด็กของเขานั่นเอง ต๊อตติ และครอบครัว เข้าไปนั่งเชียร์ 2 คนนี้ในสนามเป็นประจำ มีโปสเตอร์ จานนินี่ แปะในห้องนอน มันเหลือเชื่อมากที่สุดท้ายจะกลายมาเป็นเพื่อนกัน เล่นฟุตบอลอาชีพด้วยกัน

ในวัยเพียง 13 ปี การเซ็นสัญญาร่วมทีมโปรดอย่าง โรม่า เป็นเหมือนความฝันที่ ต๊อตติ ได้รับ แน่นอนว่าเขาเป็นโรมานิสต้าเต็มขั้น อันที่จริงก่อนหน้านี้ ต๊อตติ เคยเล่นตำแหน่งปีกซ้ายในทีม โลดิจานี่ มาก่อน แต่หลังจากเซ็นสัญญากับทีมหมาป่า ฟรังโก้ ซูแปร์คี่ หนึ่งในทีมสตาฟฟ์เล็งเห็นว่าเขาดูเหมาะกับตำแหน่งกองกลางตัวรุกหลังคู่ศูนย์หน้า เลยพยายามเปลี่ยนตำแหน่งของเขา ถือเป็นการมองอย่างเฉียบแหลมยิ่งนัก ต๊อตติ เริ่มต้นจากการอยู่ในทีมเยาวชนรุ่นเล็กกับเทรนเนอร์ คาร์เนวาเล่ ก่อนขยับขึ้นไประดับนักเรียนทั่วประเทศกับ อัลโด้ มัลเดร่า แล้วจึงก้าวขึ้นสู่ระดับทีมเยาวชนปรีมาเวร่า กับเทรนเนอร์ ลูชาโน่ สปิโนซี่ และ เอซิโอ เซลล่า ช่วงแรกๆก็ฝึกซ้อมที่สนาม เตร ฟอนตาเน่ ก่อนย้ายมาฝึกยัง ตริกอเรีย สนามซ้อมของทีมชุดใหญ่ในที่สุด



ลีลาต้องตาประธานสโมสร .............

เวลาล่วงเลยมาถึงปี 1990 ต๊อตติ ผ่านปีแรกในการใช้ชีวิตอยู่กับทีมจัลโล่รอสซี่ เป็นครั้งแรกที่เขาคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จในเกมสุดท้ายของลีกเยาวชนที่พบกับ โตริโน่ โดยที่คุณพ่อ ลอเร็นโซ่ และพี่ชาย ริคคาร์โด้ ได้นำธง โรม่า ไปโบกในสนามทีเดียว สำหรับเพื่อนสนิทในทีมของ ต๊อตติ ในเวลานั้นก็มี ปาสเซรี่, อาเรลลี่ และ ริเมดิโอ ซึ่งรายหลังนี่อยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ทีมเยาวชนรุ่นแรกเลย ก่อนที่เขาจะย้ายไป คาสเตล ดิ ซานโกร แต่ ต๊อตติ กับ ริเมดิโอ ก็กลับมาพบกันอีกหนในช่วงฝึกทหาร ถือเป็นเพื่อนรักเลยคนนี้

ต๊อตติ กลายเป็นเด็กหนุ่มดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด รวมถึง ดิโน่ วิโอล่า ประธานสโมสร โรม่า ในขณะนั้น เขาจัดงานฉลองให้กับทีมเยาวชนของ โรม่า ในเดือนธันวาคม ปี 1990 และในงานฉลองนี้เองทำให้ ต๊อตติ ได้โอกาสสัมผัสมือกับท่านประธานเป็นครั้งแรก ด้วยวัยเพียง 14 ปี ขณะที่ประธานสโมสรหมาป่าเดินทางมาทักทายกับบรรดาเด็กฝึกหัดของทีม ต๊อตติ กลับได้รับการต้อนรับ และพูดคุยด้วยเป็นพิเศษมากกว่านักเตะคนอื่นๆ

“ฉันได้ยินว่าเธอเล่นได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ขอให้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงนะ”

นี่คือประโยคที่ ต๊อตติ ได้ยินจากปากบุรุษหมายเลข 1 ในถิ่น สตาดิโอ โอลิมปิโก้ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และในปีเดียวกันนั้นเอง ต๊อตติ ได้ถูกเรียกตัวเข้าสู่ทีมชาติอิตาลีชุดยู –14 ปี ของเทรนเนอร์ คอร์ราดินี่ ในทัวร์นาเมนต์ที่ ญี่ปุ่น และเขาคือผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรายการนั้น



การบาดเจ็บหนักครั้งแรก ................

ขณะเดียวกัน ในทีม โรม่า ได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ กับ อินเตอร์ เมื่อปี 1991 ก่อนเกมนัดที่สอง ต๊อตติ ที่มีฐานะเป็นเพียงแค่นักเตะดาวเด่นของทีมเยาวชนเท่านั้น กลับได้รับความสนใจจาก ออตตาวิโอ เบียงคี่ เทรนเนอร์ทีมชุดใหญ่ ที่เรียกตัวมาฝึกซ้อมกับบรรดานักเตะรุ่นพี่ เกมนั้นเขาเป็นเพียงแค่เด็กเก็บบอลเหมือนนักเตะเยาวชนคนอื่นๆครับ แต่เป็นเด็กเก็บบอลคนเดียวที่นักเตะชุดใหญ่รู้จักกันหมด น่าเสียดายที่ชัยชนะของ โรม่า ต่อ อินเตอร์ ในเกมที่สองที่กรุงโรม ไม่เพียงพอกับสกอร์รวมที่พ่ายมาก่อนเกมแรก ส่งผลให้ทีมงูใหญ่คว้าแชมป์ไปครอง สำหรับ ต๊อตติ เอง การได้มีส่วนร่วม ได้ใกล้ชิดคลุกคลีกับทีมชุดใหญ่ ก็พอใจแล้วที่มาได้ถึงขนาดนี้

ต๊อตติ กลับมาเล่นในทีมชุดเยาวชน เด็กหนุ่มวัย 14 ยังคงลงทำหน้าที่ตามปกติ แต่เขาก็ต้องประสบปัญหาการบาดเจ็บหนักเป็นครั้งแรก ในดาร์บี้แมตช์เยาวชนกับ ลาซิโอ ถึงขนาดต้องเข้ารับการผ่าตัดในอีก 2-3 เดือนถัดมา และเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึงเกือบ 1 ปีเต็มเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม หลังจากการดูแลของคุณหมอ คาร์ฟานยี่ อย่างใกล้ชิด ทำให้ ต๊อตติ ฟื้นตัวและแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขากลับมาโชว์ฟอร์มมหัศจรรย์ได้อีกครั้ง กระทั่งช่วยให้ทีมเยาวชนของ ลูชาโน่ สปิโนซี่ คว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย ได้สำเร็จ รวมทั้งเป็นดาวเด่นที่ทำให้ทีมระดับนักเรียนทั่วประเทศของ เอซิโอ เซลล่า คว้าสคูเด็ตโต้ทีมเยาวชนฤดูกาล 1992/93 อีกด้วย

หลังจากการจากถึงแก่กรรมของ ดิโน่ วิโอล่า ตำแหน่งประธานตกเป็นของ จูเซ็ปเป้ ชาร์ราปิโก้ และประธานคนใหม่ก็ไม่ลังเลที่จะใส่ชื่อ ต๊อตติ ลงในขุนพลรายชื่อของเทรนเนอร์ วูจาดิน บอสคอฟ ด้วย จากนั้นไม่กี่เดือนให้หลัง มิลาน จัดแจงให้ อาเรียโด้ ไบรด้า ติดต่อมาที่ โรม ทันที เพื่อหวังดึงดาวรุ่งรายนี้ไปร่วมทัพ ให้ข้อเสนอล่อใจเต็มขั้นทั้งการศึกษาและการเงิน แต่คำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะของ ชาร์ราปิโก้ และ ต๊อตติ

“ผมจะอยู่กับ โรม่า แห่งเดียวเท่านั้น” ต๊อตติ ยืนยัน

ทุกคนที่ ตริกอเรีย รัก ต๊อตติ จากความเก่งกาจเกินตัว อดีตนักเตะทีมชาติอิตาลีอย่าง ลิโอเนลโล่ มานเฟรโดเนีย ที่ดูแลรับผิดชอบระบบทีมเยาวชนในเวลานั้นยืนยันได้เลย เขาภูมิใจที่จะบอกเพื่อนๆ และแฟนบอล โรม่า ยามที่มาแวะชมฝีเท้าแข้งเยาวชนหมาป่าอยู่เสมอ ว่ามีนักเตะมหัศจรรย์คนหนึ่งในนี้ และเขาชื่อ ต๊อตติ คุณจำชื่อเขาไว้ คุณจะได้เห็นเขาลงเล่นในลีกในไม่ช้าแน่นอน



ฤดูกาลแรกใน เซเรีย อา ..............

ในการคุมทีมของ วูจาดิน บอสคอฟ เทรนเนอร์คนใหม่ชาวเซิร์บ ต๊อตติ ได้รับการฝึกร่วมกับนักเตะรุ่นพี่ที่เป็นศูนย์หน้าชื่อดังในทีมอย่าง รุจเจโร่ ริซซิเตลลี่, เคลาดิโอ คานิกเกีย, อันเดรีย คาร์เนวาเล่ และ โรแบร์โต้ มุซซี่ ขณะเดียวกันก็ลงเล่นในทีมเยาวชนพร้อมกันไป ไม่กี่เดือนต่อมา ต๊อตติ ได้ลงเล่นในเสื้อ จัลโล่รอสซี่ ชุดใหญ่เป็นเกมแรก ในการอุ่นเครื่องกับทีมออสเตรีย ของเทรนเนอร์ แฮร์เบิร์ต โปรฮาสก้า ที่สนามฟลามินิโอ

เมื่อถึงเวลาที่ ต๊อตติ จะตัดสินใจอนาคตของตัวเอง แน่นอนว่าเขาเลือกทางนักเตะอาชีพ ซึ่งทางครอบครัวก็ให้การตอบรับ สนับสนุน เพราะรู้ดีว่า ต๊อตติ เกิดมาเพื่อเป็นนักฟุตบอล และเขาก็เป็นคนเปลี่ยนชีวิตในบ้านให้ดีขึ้น พร้อมกับซื้อบ้านหลังใหม่ ย้ายจากถนน เวตูโลเนีย ไปอยู่ที่ คาซาล ปาลอคโค่ ในปัจจุบัน

สำหรับการลงสนามในเซเรีย อา นัดแรก คือวันที่ 28 มีนาคม 1993 ในเกมเบรสชา – โรม่า โดยนัดนี้ คานิกเกีย กับ ซินิซ่า มิไฮโลวิช ช่วยกันยิงให้ โรม่า นำ 2-0 จากนั้นเหลืออีก 2 นาทีจะหมดเวลา บอสคอฟ เลือก ต๊อตติ ลงสนามแทนที่จะเป็น มุซซี่ และนั่นก็คือเกมแรกในเซเรีย อา ของ ต๊อตติ กับวัย 17 ปี ก่อนที่เกมที่สองจะตามมาในนัดพบกับ อันคอน่า ถือเป็นฤดูกาลแรกในคัมปิโอนาโต้อันน่าตื่นเต้นของเขา

แม้ว่า ต๊อตติ จะอยู่ในทีมชุดใหญ่แล้ว แต่ก็ยังต้องลงเล่นให้กับทีมระดับต่างๆของ โรม่า ทั้งทีมเยาวชน และทีมระดับนักเรียน ซึ่งผลงานของเขานั้นทำได้สุดยอดทุกรายการ และแม้ว่าอาชีพหลักของ ต๊อตติ คือฟุตบอล แต่เขาก็เลือกที่จะศึกษาต่อเพื่อเป็นหลักฐานอันมั่นคงของชีวิตให้พ่อแม่ภูมิใจ จากการไปสมัครเรียนด้านการบัญชีที่ มาร์โคนี่ ก่อนไปเรียนต่อที่ โปลิเซียโน่ ในปี 3 เขาเลือกเรียนด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์

ผู้จัดการส่วนตัวของ ต๊อตติ ในขณะนั้นคือ ฟรังโก้ ซาวาญ่า เป็นเอเย่นต์คนแรกในชีวิตของเขา ซาวาญ่า ติดตาม และทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ ต๊อตติ อายุได้ 16 ปี เขาติดต่อและประสานงานกับผู้อำนวยการทีม เอมิเลียโน่ มาสเค็ตติ ทำให้ ต๊อตติ ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดยได้รับค่าจ้างครั้งแรก 60 ล้านลีร์ (ประมาณ 31,000 ยูโร หรือ 1.3 ล้านบาท ในปัจจุบัน) ในการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับ โรม่า



เทรนเนอร์ มัซโซเน่ บิดาคนที่สองของ ต๊อตติ ..............

ในช่วงหน้าร้อนปี 1993 โรม่า มีการเปลี่ยนเทรนเนอร์จาก บอสคอฟ เป็น คาร์โล มัซโซเน่ นี่อาจเป็นเทรนเนอร์ผู้นำพาเขาสู่เวทีระดับโลกก็เป็นได้ การมี มัซโซเน่ ทำให้เส้นทางค้าแข้งของ ต๊อตติ สดใสเรืองรองขึ้นมาตามลำดับ เขาถูกเรียกตัวไปเล่นทีมชาติชุด ยู-17 ปี ของโค้ช แซร์โจ้ วัตตา รวมทั้งทีมชุด ยู-21 ปี ของ เชซาเร่ มัลดินี่ เทรนเนอร์ผู้มีความคิดจะดึงตัว ต๊อตติ ไปเล่นฟุตบอลโลกที่ ฝรั่งเศส ในเวลาต่อมา โดยเรียกตัวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ในเกมอุ่นเครื่องก่อนหน้านั้นด้วย

นับถึงปัจจุบันเป็นเวลานานมากกว่า 1 ทศวรรษแล้วที่ ต๊อตติ ประเดิมสนามให้ โรม่า เป็นนัดแรกตอนอายุ 16 ปี ชีวิตของเด็กหนุ่มที่เหมือนเทพนิยายซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นเด็กที่เฝ้าติดตามเชียร์ทีมรักจากบนอัฒจันทร์มายืนบนสนามหญ้าของ โอลิมปิโก้ โดยเปิดตัวด้วยชัยชนะเหนือ เบรสชา 2-1 ในเดือนมีนาคมปี 1993 ในยุคของบอสคอฟ เวลานี้เขาอยู่ภายใต้การประคบประหงมจาก คาร์โล มัซโซเน่ ขรัวเฒ่าของวงการลูกหนังอิตาลีที่ใช้เจ้าหนูมหัศจรรย์เล่นเป็นตัวสนับสนุนกองหน้าตัวเป้า โดยมี อเบล บัลโบ้ ศูนย์หน้าคนใหม่ของทีมคอยช่วยเหลือ

“ผมติดหนี้ มัซโซเน่ มากมายสำหรับความเชื่อมั่นที่เขามีในตัวผมครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาช่วยพัฒนาผมทั้งใน และนอกสนาม เขายังสอนผมมากมายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในโลกฟุตบอล เขาเป็นคนที่อนุรักษ์นิยม และเน้นพื้นฐานเพียง 2-3 จุดในการคุมทีม เช่นการปรับเปลี่ยนแท็กติกตามการเล่นของคู่แข่ง ลุยให้เต็มที่ และแสดงเทคนิคที่ดี นอกจากพ่อแม่แล้ว ผมเป็นหนี้เขามาก จากความสำเร็จที่ได้รับ” ต๊อตติ กล่าวขอบคุณ มัซโซเน่ ตำนานปรมาจารย์กุนซือของวงการฟุตบอลอิตาลี

เทรนเนอร์ มัซโซเน่ ส่งลูกทีมคนโปรดลงเล่นเกมโคปปา อิตาเลีย เมื่อ 16 ธันวาคม 1993 ในเกมเจอกับ ซามพ์โดเรีย ความจริง ต๊อตติ เคยเล่นในถ้วยใบนี้มาแล้วในเกมกับ ปาโดว่า โดยลงมาเป็นตัวสำรอง แต่ครั้งนี้ต่างกันตรงที่ ริซซิเตลลี่ เจ็บพอดี และ บัลโบ้ ก็ลงสนามไม่ได้ ทำให้ โรม่า ไม่มีกองหน้าในทีมชุดใหญ่คนใดเหลืออีก ในที่สุด ต๊อตติ จึงได้มีชื่อเป็นตัวจริงให้ทีมครั้งแรก โดยลงสนามไป 83 นาที มันเป็นจุดเริ่มต้นที่สวยสดงดงามไม่น้อย



จุดเริ่มต้นของหมาป่ายุค ฟรังโก้ เซนซี่ .............

ทางด้านเทรนเนอร์ สปิโนซี่ ยังคงให้ ต๊อตติ ช่วยลงเล่นในทีมเยาวชนต่อ ซึ่ง ต๊อตติ ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เมื่อจัดการซัลโวคนเดียว 5 ประตู ในเกมกับ คาสเตล ดิ ซานโกร แต่สถานการณ์ในทีมชุดใหญ่ไม่ค่อยดีนัก เพราะทีมหมาป่าของ มัซโซเน่ ไม่ชนะใครติดต่อกันถึง 14 นัด ทำให้ประธานสโมสร ฟรังโก้ เซนซี่ ที่เพิ่งเข้ามาซื้อกิจการของทีม เกือบต้องเปลี่ยนเทรนเนอร์ใหม่ แต่แล้ว 6 กุมภาพันธ์ 1994 มัซโซเน่ ตัดสินใจส่ง ต๊อตติ ลงเล่นในเซเรีย อา เป็นแมตช์แรกในซีซั่นนั้นในเกมที่พบกับ มิลาน โดยส่งลงไปแทน ลุยจิ การ์เซีย ในครึ่งหลัง สรุปฤดูกาล 1993/94 ต๊อตติ ลงเล่นให้กับโรม่าไป 8 เกม และมีส่วนช่วยให้ โรม่า พ้นช่วงหายนะมาได้ในท้ายที่สุด

เริ่มต้นฤดูกาล 1994/95 เป็นเหมือนฤดูกาลเริ่มต้นอะไรใหม่ๆสำหรับชาวอิตาเลียน หลังจากทีม อัซซูรี่ แพ้ในการดวลจุดโทษให้กับ บราซิล ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก พลาดโอกาสเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 4 ชาติแรก ไปอย่างน่าเสียดาย ต๊อตติ เองก็เช่นกัน เขาเฝ้ามองดูการแข่งขัน และตั้งเป้าหมายฝึกปรือฝีเท้าให้แกร่งที่สุดเพื่อติดทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่ให้ได้ โดยเขาหวังว่าจะก้าวขึ้นมาช่วยรุ่นพี่ช่วยชาติให้ประสบความสำเร็จในอนาคต เด็กวัย 18 ปี คิดเช่นนั้น เขากลายเป็นผู้เล่นตัวจริงของ โรม่า อย่างถาวรในฤดูกาลนี้ มีโอกาสได้ลงเล่นร่วมกับสตาร์ของทีมอย่าง จานนินี่, บัลโบ้ และ ดาเนียล ฟอนเซก้า เขาคิดว่าไม่มีโค้ชคนไหนจะให้โอกาสเขาได้มากกว่า มัซโซเน่ อีกแล้ว

หลังจากที่เขายิงประตูแรกในเซเรีย อา ให้กับ โรม่า ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 4 กันยายน ปี 1994 ในเกมกับ ฟอจจา ต๊อตติ ก็แสดงความรู้สึกภายหลังประตูประวัติศาสตร์ในชีวิตของเขาไว้ว่า

“ตอนกลับถึงบ้าน ผมรู้สึกว่าตัวเองหิวเป็นพิเศษ ก็เลยชวนพี่ชายออกไปหาไอศกรีมกินกัน ผมยังแทบไม่เชื่อเลยว่ายิงประตูแรกให้กับตัวเองได้ด้วยซ้ำ”

และด้วยความโดดเด่นของ ต๊อตติ ทำให้ โรม่า ไม่ลังเลที่จะเสนอสัญญาฉบับใหม่ พร้อมด้วยค่าเหนื่อยก้อนโตให้เขาหลังจบฤดูกาลนั้น สัญญาที่ว่านี้มีอายุยาวนานถึง 6 ปี และจะไปสิ้นสุดในปี 2000 โน่นเลย สรุปฤดูกาล 1994/95 ต๊อตติ ลงสนามใน เซเรีย อา 21 นัด ยิงได้ 4 ประตู



ผลงานยอดเยี่ยมในทีม อัซซูร์รินี่ ............

หลังจบฤดูกาล 1994/95 ต๊อตติ ถูกเรียกติดทีมชาติอิตาลีชุด ยู-18 ปี ในการทำศึกชิงแชมป์ยุโรปที่ กรีซ และแม้ว่า อิตาลี จะแพ้ให้กับ สเปน ในรอบชิงถึง 1-4 แต่เกมนั้น ต๊อตติ โชว์ฟอร์มได้ดี และประตูเดียวที่ อิตาลี ทำได้นั้นก็มาจาก ต๊อตติ นั่นเอง ส่วนในคัมปิโอนาโต้ ฤดูกาล 1995/96 ถือเป็นปีที่ ต๊อตติ ลงเล่นในตำแหน่งริมเส้นค่อนข้างมาก เลยทำให้ยิงประตูได้น้อยแค่ 2 ประตูเท่านั้น จากการเล่น 28 นัด โดยจะหนักไปที่จ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูมากกว่า ซึ่งคุณสมบัติตรงนี้นี่เองเป็นจุดที่ทำให้ ต๊อตติ ถูกมองในแง่ตัวปั้นเกมมากขึ้น ทำให้เขาได้เลื่อนระดับจากทีมชาติชุด ยู-18 ปี ไปอยู่กับทีมชาติชุด ยู-21 ปี อย่างรวดเร็ว

ช่วงปิดฤดูกาลปี 1996 เชซาเร่ มัลดินี่ นำทัพทีมชาติอิตาลีชุด ยู-21 ปี คว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันที่ สเปน แน่นอนว่า ต๊อตติ อยู่ในสมาชิกชุดนั้นด้วย เขาเป็นยิงประตูแรกให้ อิตาลี ขึ้นนำ สเปน ในนัดชิงชนะเลิศ ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยการเสมอ 1-1 และ อิตาลี ดวลจุดโทษเอาชนะไป ซึ่งทัวร์นาเมนต์นั้น ต๊อตติ คือผู้เล่นยอดเยี่ยม

ความร้อนแรงของ ต๊อตติ ทำให้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่ อาร์ริโก้ ซ้าคคี่ เรียกตัวเขาเข้าร่วมกับทีมชุดใหญ่ที่ศูนย์เทคนิค บอร์เกเซียน่า กรุงโรม เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 1996 ฟอร์มอันโดดเด่นของ ต๊อตติ ต้องขอบคุณ มัซโซเน่ เทรนเนอร์ผู้เปิดทางสว่างให้เขาโดยแท้ น่าเสียดายที่เรื่องราวของ ต๊อตติ กับ มัซโซเน่ ต้องยุติลงแค่สิ้นฤดูกาลนี้เท่านั้น เช่นเดียวกับ “เจ้าชายหมาป่า” จูเซ็ปเป้ จานนินี่ ที่อำลาทีมไปเล่นในออสเตรีย กับ สตวร์ม กราซ หรือนี่จะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของ โรม่า ว่าผู้นำทีมคนใหม่ได้แสดงตัวออกมาแล้ว



เกือบย้ายจาก โรม่า เพราะ เบียงคี่ .............

ในอิตาลีนั้น ความคาดหวังของสโมสรและแฟนบอลมีสูงมาก ต่อให้เทรนเนอร์เป็นที่รักในหมู่แฟนบอลแค่ไหน ก็มีโอกาสถูกเด้งออกได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งกุนซือผู้เป็นที่รักของชาวโรมันทั้งปวงอย่าง คาร์โล มัซโซเน่ ......

เมื่อความสำเร็จไม่ได้เข้ามาสู่ โรม่า ทำให้ มัซโซเน่ ต้องถูกแทนที่โดย คาร์ลอส เบียงคี่ ในช่วงเริ่มฤดูกาล 1996/97 โดยเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ เริ่มต้นงัดข้อกับ ต๊อตติ ทันที ด้วยการปฏิเสธที่จะให้เขาสวมหมายเลข 20 ที่ใส่ประจำอยู่ โดยให้ กาเบรียเล่ กรอสซี่ กองหลังตัวสำรองใส่แทน ทั้งๆที่ กรอสซี่ เองก็ไม่ได้สนใจอยากได้หมายเลขนี้เลย เบียงคี่ ทำไปเพื่อก่อกำแพงแสดงอำนาจล้วนๆ เวลานี้ไม่มี มัซโซเน่ ไม่มี จานนินี่ ที่อำลาทีมไปแล้ว ต๊อตติ เองเสียใจจากการอำลาทีมของ มัซโซเน่ และ จานนินี่ ไม่พอ ยังถูกเทรนเนอร์เล่นสงครามประสาทใส่

“เบียงคี่ ไม่พอใจทัศนคติของผม มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ” จอมทัพ โรม่า กล่าวหลังจากต้องทนฝืนใจใส่เสื้อเบอร์ 17 และด้วยวัยเพียง 18 ปี เขาถูกกดดันด้วยการจับให้เล่นเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าของทีม ทั้งที่ตำแหน่งของเขาที่ มัซโซเน่ วางไว้คือ เพลย์เมคเกอร์ ทำให้เขาประสบปัญหาในฟอร์มการเล่นจนถูกดร็อป และเกือบทำให้คิดย้ายทีมออกไปหลัง ซามพ์โดเรีย ยื่นข้อเสนอขอยืมตัวเข้ามา ถึงขั้นที่ เบียงคี่ มีการเตรียมจะดึงเอา ยารี่ ลิตมาเน่น เข้ามาเสริมแทนเขาด้วย แต่สุดท้ายการย้ายทีมก็ไม่ประสบความสำเร็จ นั่นก็เพราะ ต๊อตติ ไม่อาจถอดเสื้อแดงเหลืองตัวนี้ ไปใส่ยูนิฟอร์มทีมอื่นได้ อีกทั้งประธานเซนซี่ ก็ยืนยันว่าจะไม่มีวันปล่อย ต๊อตติ เช่นกัน แน่นอนว่า เบียงคี่ อาจเป็นกุนซือที่ห่วยแตกที่สุดตั้งแต่ โรม่า ก่อตั้งสโมสรมา เขาเป็นคนที่มองไม่เห็นความสามารถของ ต๊อตติ เสียอย่างนั้น

ในท้ายที่สุด เบียงคี่ ต้องเป็นฝ่ายถูกไล่ออกแบบที่ฤดูกาลยังไม่ทันจบ โดยที่ โรม่า แต่งตั้งให้ นีลส์ ลีดโฮล์ม ตำนานแข้งสวีดิชผู้เคยพาทีมคว้าสคูเด็ตโต้เมื่อปี 1982 เข้ามาดูแลทีมเป็นการชั่วคราว ร่วมกับ เอซิโอ เซลล่า ที่เคยคุม ต๊อตติ มาตั้งแต่อยู่ทีมเยาวชน จบฤดูกาล 1996/97 อันเจ็บปวดของ ต๊อตติ เขาลงสนาม 26 นัด ทำได้ 5 ประตู อย่างไรก็ตาม ความเครียดทุกอย่างถูกปลดปล่อยในช่วงซัมเมอร์ ระหว่างที่หลายๆคนพักร้อน ต๊อตติ ไประเบิดฟอร์มกับทีมชาติชุด ยู-23 ของ มาร์โก ตาร์เดลลี่ ในรายการเมดิเตอร์เรเนียน ที่ บารี่ โดยยิง 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศที่ ถล่ม ตุรกี ไป 5-1 คว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่

หลังเสร็จสิ้นการฉลอง ต๊อตติ กลับมาที่ โรม เพื่อเริ่มต้นความตั้งใจใหม่อีกครั้ง กับเทรนเนอร์จอมวางแผนคนใหม่อย่าง ซเดเน็ค ซีแมน และ ต๊อตติ มีโอกาสกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมของตัวเองอีกครั้ง

“ผมลงเล่นทางริมเส้นฝั่งซ้ายภายใต้การคุมทีมของ ซีแมน และได้เรียนรู้มากขึ้นในตำแหน่งที่แตกต่างจากเดิม ผมต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร แม้ผมจะรู้ว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่อาจแสดงการเล่นที่ดีที่สุดออกมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับทีม แต่ผมก็ต้องเล่นเพราะต้องการช่วยเหลือทีม” ต๊อตติ กล่าว



ประดับปลอกแขนกัปตันหมาป่า ฟอร์มเด่นสุดๆ แต่เจ็บเลยชวดฟุตบอลโลก .............

จากนั้นไม่นาน เชซาเร่ มัลดินี่ เทรนเนอร์อัซซูรี่ในขณะนั้นก็ได้เรียกตัว ต๊อตติ ลงสนามในเกมอุ่นเครื่องกับ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ อูดิเน่ ในเกมที่อิตาลีเอาชนะไปสบายๆ 2-0 และนั่นคือบทบาทก้าวแรกของ ต๊อตติ ในทีมชาติชุดใหญ่ ทีมชาติอิตาลีนั้นเต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอด มันยากที่นักเตะอายุน้อยๆจะเข้าไปแทรกอยู่กับรุ่นพี่ได้ นอกจากฝีเท้าจะโดดเด่นมากจริงๆ ขณะเดียวกันในช่วงที่ว่านี้ ผลงานของ ต๊อตติ กับ โรม่า ในฤดูกาล 1997/98 ก็กำลังดีวันดีคืน ต๊อตติ ได้รับการไว้วางใจจากเพื่อนร่วมทีมให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของสโมสรอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ตำแหน่งนี้ว่างเว้นมา 1 ปีเต็มๆ จากการที่ จานนินี่ อำลาทีมไปเมื่อปี 1996 ระหว่างนั้นมี อัลดาเอียร์ สลับกับ อเบล บัลโบ้ ทำหน้าที่แทน กระทั่งเวลาที่เหมาะสมของ ต๊อตติ มาถึง ทำให้เขากลายเป็นกัปตันทีมที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ โรม่า ด้วยวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น

โรม่า ในฤดูกาลนี้นั้นได้นักเตะต่างชาติเข้ามาสร้างสีสันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดวิงแบ็กอย่าง คาฟู กับ แว็งซ็องต์ ก็องเดอล่า หรือศูนย์หน้าดีกรีแชมป์ฟุตบอลโลกอย่าง เปาโล แซร์โจ้ บวกกับเพชฌฆาตเจ้าประจำอย่าง บัลโบ้ ที่เป็นตัวหลักช่วยให้ทีมหมาป่าได้สิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลยุโรปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายสูงสุด คือ สคูเด็ดโต้ ซักที โดยในปีนี้ โรม่า จบได้อันดับ 4 เหนือทีมยักษ์ใหญ่อย่าง มิลาน, ลาซิโอ, ปาร์ม่า และ ฟิออเรนติน่า ขณะที่ ต๊อตติ เองยิงประตูได้ถึง 13 ประตู จากการลงเล่น 30 นัด ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ เขาโดดเด่นทั้งในและนอกสนามด้วยการเข้าร่วมองค์กรการกุศลที่สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีจัดขึ้น โดยเป็นตัวแทนนักเตะไปเยี่ยมเด็กกำพร้าอย่างใกล้ชิด แต่แล้วก็เกิดข่าวร้ายที่ไม่คาดฝันกับสุดยอดนักเตะดาวรุ่งคนนี้

ตัว ต๊อตติ เองโชคร้ายมีอาการบาดเจ็บรบกวนในช่วงก่อนปิดฤดูกาล และแม้ว่าจะเร่งฟิตร่างกาย แต่ก็ฝืนสังขารตัวเองไม่ไหว ประกอบกับที่ทีมมีนักเตะซูเปอร์สตาร์ในตำแหน่งเดียวกับเขาอยู่แล้ว คือ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ โกลเด้นบอยของทีมชาติอิตาลีในขณะนั้น รวมทั้งตำนานอย่าง โรแบร์โต้ บาจโจ้ ก็ติดทีมไปด้วย หลังจากซัดถึง 22 ประตูให้กับต้นสังกัด โบโลญญ่า แม้ว่า เชซาเร่ มัลดินี่ จะอยากให้ ต๊อตติ ร่วมทีมไปด้วย ในฐานะดาวรุ่งของทีม แต่ก็ทำไม่ได้ ทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง อิตาลี ไม่มีโควตาพิเศษแบบที่ โรนัลโด้ ในปี 1994, กาก้า ในปี 2002 และ ธีโอ วัลคอตต์ ในปี 2006 ได้รับ หากฝีเท้าคุณถึง แต่สภาพร่างกายไม่ถึงก็หมดสิทธิ์ สุดท้าย มัลดินี่ซีเนียร์ เองต้องตัดใจ และนั่นทำให้ ต๊อตติ ในวัย 22 ปี ชวดไปสร้างสีสันในฟุตบอลโลกที่ ฝรั่งเศส อย่างน่าเสียดาย

ที่น่าสนใจคือศูนย์หน้าชื่อดังอย่าง เอ็นริโก้ คิเอซ่า ที่เบียดกับเขาในตอนนั้นก็มีอันหลุดโผในเวลาต่อมาเช่นกัน เนื่องจากเจ็บกะทันหัน โอกาสเลยหลุดไปเป็นของ พี่หงอก ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่ แทน ในส่วนของ ต๊อตติ เขายอมรับว่าตัวเองรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่นักเตะวัยรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาได้ไปสร้างชื่อในเวทีนี้มากมายทั้ง โรนัลโด้, ราอูล กอนซาเลซ, แพทริค ไคลเวิร์ต หรือกระทั่งรุ่นน้องอย่าง ไมเคิ่ล โอเว่น และ ซามูเอล เอโต้ ยังได้ไป แต่กลับไม่มีชื่อของ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ไปร่วมด้วย ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุใหญ่ที่ชื่อของเขาแจ้งเกิดในเวทีระดับโลกได้ช้ากว่าคนอื่นๆในบรรดาดาวรุ่งด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ต๊อตติ ตั้งความหวังกับตัวเองในทัวร์นาเมนต์ต่อไป นั่นคือ ยูโร 2000 และการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ 1998/99 ดูจะเป็นที่น่าสนใจไม่น้อย และไม่น่าแปลกใจครับ หลังจากฟุตบอลโลกที่ ฝรั่งเศส จบลง ต๊อตติ ถูกเรียกเข้าสู่ทีมชาติอย่างสม่ำเสมอ และไม่เคยหลุดออกจากทีมอีกเลยนับจากนั้น



การมาของ คาเปลโล่ .............

ฤดูกาล 1998/99 นี้นับเป็นปีที่ ต๊อตติ ต้องเผชิญหน้ากับการแบกทีมด้วยตนเองอย่างแท้จริง เพราะ โรม่า ออกสตาร์ตได้ค่อนข้างฝืดกว่าทุกปี แม้จะแรงในช่วงกลาง แต่ก็มาแผ่วแบบหมดลุ้นแชมป์ในตอนปลาย ตอนช่วง ต๊อตติ บาดเจ็บไป 1-2 สัปดาห์ แต่หลังจาก ต๊อตติ กลับมาก็ช่วยพาทีมคว้าพื้นที่ ยูฟ่า คัพ ได้สำเร็จ เขาลงสนาม 31 นัด ยิงได้ 12 ประตู พา โรม่า จบที่ 5 ของตาราง เหนือทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส และ อินเตอร์ แต่ดูเหมือนจะยังไม่ถูกใจท่านประธาน เซนซี่ เท่าใดนัก หลังจบฤดูกาลเลยมีการเปลี่ยนเทรนเนอร์อีกครั้ง โดย ซีแมน ถูกยกเลิกสัญญาต้องระเห็จไปคุม เฟเนร์บาห์เช่ ในตุรกี จบฤดูกาลนี้ ต๊อตติ ลงเล่นไป 31 นัด ยิงได้ 12 ประตู

และก็เหมือนฟ้าประทานให้ โรม่า ได้ตัวยอดกุนซือระดับโลกอย่าง ฟาบิโอ คาเปลโล่ เข้ามาให้คำแนะนำ ควบคุมฝูงหมาป่าได้สำเร็จ ดอน ฟาบิโอ คัมแบ็กจากการว่างงานมา 1 ปีเต็ม หลังลาออกจาก มิลาน ซึ่งแม้ว่าทีมจะต้องสูญเสียแกนหลักอย่าง ลุยจิ ดิ เบียโจ้ ไปให้ อินเตอร์ และ เปาโล แซร์โจ้ ไป บาเยิร์น แต่ทีมก็ได้ดาวดังอย่าง วินเชนโซ่ มอนเตลล่า ศูนย์หน้าจาก ซามพ์โดเรีย เข้ามาทดแทน รวมทั้ง ฟรานเชสโก้ อันโตนิโอลี่, มาร์กอส อัสซุนเซา และ คริสเตียโน่ ซาเน็ตติ ขณะที่ตัว ต๊อตติ เองคาดหวังกับฤดูกาลนี้ไม่แพ้ เซนซี่ แต่กับ คาเปลโล่ แล้ว เขายอมรับว่าต้องใช้เวลาสร้างทีมๆนี้อีกซักระยะ



ฟอร์มอันเหลือเชื่อของ ต๊อตติ .............

หมาป่ากรุงโรมออกสตาร์ทฤดูกาล 1999/2000 อย่างร้อนแรงมาก ขึ้นไปอยู่บนหัวตาราง ขนาดที่บริษัทรับพนันบอลต้องรีบปรับอัตราแชมป์ให้เป็นกลุ่มตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ในปีนี้ทีเดียว และส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมผงาดได้ก็หนีไม่พ้นตัว ต๊อตติ อีกนั่นแหละ ที่คอยจ่ายบอลงามๆให้คู่ศูนย์หน้า มอนเตลล่า – เดลเว็คคิโอ ซัลโวประตูกันเป็นว่าเล่น จนคว้ารางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของอิตาลีไปครอง ฟอร์มของกัปตันหมาป่าพุ่งแรงถึงขนาด นีล ลีดส์โฮล์ม อดีตเทรนเนอร์ชุดแชมป์สคูเด็ตโต้ปี 82 ยังออกมากล่าวยกย่องว่า “แฟนบอลยอมเสียค่าตั๋ว เพื่อเข้ามาชมลีลาของ ต๊อตติ” เลยทีเดียว ว่ากันว่าในช่วงเวลานั้น มีนักเตะชื่อดังในอดีตอย่าง เปเล่ , ดีเอโก้ มาราโดน่า, มิเชล พลาตินี่ หรือ มาร์โก ฟาน บาสเท่น เข้ามาชมลีลาของเขาด้วยแทบไม่เว้นทุกเกม

และจากฟอร์มสุดยอดในปีนี้ทำให้ประตูของเขาในทีมชาติอิตาลีกลับมาเปิดกว้างอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะยังเป็นแค่ตัวสำรองของ เดล ปิเอโร่ ก็ตาม เพราะยามที่ได้รับโอกาส ต๊อตติ ไม่ทำให้เทรนเนอร์ผิดหวัง เมื่อจัดการซัดประตูแรกในนามทีมชาติได้สำเร็จในเกมกับทีมชาติโปรตุเกส เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2000 ซึ่งเกมนั้น อิตาลี เอาชนะไป 2-0 โอกาสของเขาโดดเด่นมากกว่าดาวรุ่งอิตาเลียนคนอื่นๆในรุ่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว

อย่างไรก็ดี มีโชค มันก็ต้องมีเรื่องอับโชคเป็นของคู่กัน ปัญหาอาการบาดเจ็บในช่วงท้ายฤดูกาล ทำให้ ต๊อตติ ไม่ได้ลงสนามราวเดือนกว่าๆ และในช่วงนั้นเอง คาเปลโล่ ได้ไปเซ็นสัญญาคว้าตัว ฮิเดโตชิ นากาตะ มาจาก เปรูจา แบบสายฟ้าแลบ หวังจะเข้ามาเสริมทีมในเวลาที่ ต๊อตติ ไม่อยู่ นากาตะ เองฟอร์มดี แต่ช่วย โรม่า แทบไม่ได้เลยในการเก็บชัยชนะในช่วง 10 เกมสุดท้าย และเมื่อ ต๊อตติ หายเจ็บกลับมาทวงตำแหน่งคืน โค้ชเริ่มประสบกับปัญหาตำแหน่งของนากาตะ โดยจับดาวเตะญี่ปุ่นไปเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับซึ่งเจ้าตัวไม่ถนัด ทำให้ฟอร์มของดาวเตะแดนปลาดิบหยุดชะงัก มีข่าวลือออกมาว่าอาจเป็นเพราะเหตุผลทางธุรกิจ กับสปอนเซอร์ของ นากาตะ ทำให้ทีมไม่อาจดร็อปเขาได้ ตามมาด้วยข่าวลือที่ไม่กินเส้นกับ ต๊อตติ ยังผลส่งโดยตรงถึงทีม โรม่า โชว์ผลงานผิดฟอร์มจากเมื่อช่วงต้นฤดูกาลไปในทันที

สื่อหลายสำนักตีความกันว่า มันเป็นความผิดพลาดหรือเปล่าในการคว้า นากาตะ มาในตอนนั้น? ก็สุดแล้วแต่จะตีความกันไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ต๊อตติ เองก็ไม่ได้มีปัญหากับ นากาตะ อย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่เข้าใจเล็กน้อย ที่ทำไมยังจับ นากาตะ ลงพร้อมกับเขา ทั้งๆที่น่าจะใส่มิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติจริงๆลงมากกว่า ใครจะทราบล่ะครับว่า 2 คนนี้จะช่วยกันพา โรม่า ไปสู่สคูเด็ตโต้ในปีถัดมา สรุปฤดูกาลนี้ ต๊อตติ ลงสนาม 27 นัด ยิงได้ 7 ประตู



โชว์ฟอร์มเด็ดประชัน ซีดาน ในยูโร 2000 ............

จากฟอร์มอันร้อนแรงของ ต๊อตติ แน่นอนว่ามันทำให้เขากลายเป็นตัวหลักในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกในชีวิต นั่นก็คือ ยูโร 2000 ที่เบลเยียม กับ ฮอลแลนด์ เป็นเจ้าภาพร่วม และ ต๊อตติ ก็ไม่ทำให้ ดิโน่ ซอฟฟ์ เทรนเนอร์อัซซูรี่ต้องผิดหวัง เมื่อฉายฟอร์มเด่นกว่ารุ่นพี่อย่าง เดล ปิเอโร่ แบบกลบสนิท สร้างความกระจ่างให้บรรดานักข่าวอิตาเลียน ว่าทำไมถึงไม่ต้องใช้บริการของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ อีกต่อไป ต๊อตติ เองได้เล่นในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ ที่ตัวเองถนัด และยังวอลเลย์ประตูสุดสวยให้ทีมได้ในเกมเจอ โรมาเนีย อีกด้วย จากนั้นเขาก็โดนดร็อปบ้างในเกมตัดเชือก ที่เจอเจ้าถิ่น ฮอลแลนด์ เพราะ ซอฟฟ์ ต้องการเน้นเกมรับ และ ต๊อตติ ก็ได้ลงสนามลงมาเปิดเกม หลังจาก อิตาลี ทำเกมไม่ขึ้น จวนเจียนจะเสร็จรอมร่อ อาศัยฟอร์มโคตรเซฟของ ฟรานเชสโก้ ตอลโด้ ช่วยไว้หลายครั้ง กระทั่งเกมจบลงเสมอกัน และต้องดวลจุดโทษ ต๊อตติ ก็ได้รับมอบหมายให้ได้ทำหน้าที่ที่แสนกดดันอันนี้ด้วย และแล้วเขาก็จัดการชิพบอลข้ามหัว เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ นายทวารดัตช์เข้าไปอย่างสุดคลาสสิค ช่วยให้ อิตาลี ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ กับแชมป์โลกอย่าง ฝรั่งเศส ในที่สุด

และในเกมนัดชิงชนะเลิศนั้นเอง ต๊อตติ ก็ได้โชว์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ กับลูกเล่นเหนือชั้นของเขาตลอดทั้งเกม ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มจากโรม จะให้ทำให้คนดูละสายตาจาก ซีเนอดีน ซีดาน ได้ การตอกส้นกลับหลังอย่างรุนแรงทะลุแผงหลังฝรั่งเศสของ ต๊อตติ ทำให้ จานลูก้า เปสซ็อตโต้ หลุดไปเปิดบอลให้ เดลเว็คคิโอ เพื่อนร่วมทีมหมาป่า โหม่งทำประตูให้กับ อิตาลี ขึ้นนำไปก่อน นิตยสารเวิลด์ ซ็อคเกอร์ของอังกฤษ ถึงกลับกล่าวว่า

“นั่นเป็นความมั่นใจ ที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินลูกหนังคนใหม่แห่งอิตาลีได้ก้าวสู่เวทีฟุตบอลระดับนานาชาติเต็มตัวแล้ว”

แต่อย่างไรก็ตามวาสนาเขายังไม่แรงพอ ต๊อตติ ยังคงชวดแชมป์เมเจอร์แรกของเขาต่อไป ฝันของเขาต้องสลายเมื่อ อิตาลี ไม่สามารถต้านทาน ฝรั่งเศส ได้ มาโดนประตูของ ซิลแว็ง วิลตอร์ ซัดเข้าไปในช่วงทดเวลา และ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ อิตาลี ต้องเศร้าอีกครั้ง เมื่อได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ (อีกแล้ว) หลายคนคงลืมไปแล้ว ว่าเกมนัดชิงชนะเลิศเกมนั้น ต๊อตติ เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ทั้งๆที่ อิตาลี ได้แค่รองแชมป์ แม้ว่า ต๊อตติ จะโชว์ฟอร์มได้ดีแค่ไหนก็ตาม อาจดีกว่า ซีดาน ด้วยซ้ำ แต่เมื่อคุณยังไม่ได้แชมป์ ก็ย่อมจะยังไม่ได้รับการยอมรับความสามารถอย่างเต็มปากเต็มคำกับทุกๆคน หน้าที่ต่อไปของ ต๊อตติ คือกลับไปซ้อมกับ โรม่า เตรียมสู้ศึกในฤดูกาลใหม่



การเสริมทีมที่ยิ่งใหญ่ นำพาไปสู่สคูเด็ตโต้ .............

การคว้าตัว กาเบรียล บาติสตูต้า, เอเมอร์สัน แฟร์ไรร่า และ วอลเตอร์ ซามูเอล 3 นักเตะชั้นยอดมาร่วมทีม สร้างความยิ่งใหญ่ในพาวเวอร์ของประธาน เซนซี่ ไม่น้อย พวกเขาได้ทีมที่สุดยอด กับนักเตะชั้นยอดที่มีอยู่แล้วภายใต้การคุมทีมของกุนซือระดับสุดยอดอย่าง คาเปลโล่ นั่นทำให้ ต๊อตติ เองปลื้มมากกับการตัดสินใจของ เซนซี่ เขารู้ดีว่าพร้อมแล้วที่จะพาทีม โรม่า ขึ้นไปทาบกับยอดทีมอีกหลายๆทีมได้อย่างไร การออกสตาร์ทที่สุดยอดของตัวเขา และทีม มันบ่งบอกทุกอย่างอยู่แล้ว แน่นอนว่าแทบจะทุกประตู รูปเกม แบบแผนในการเก็บชัยชนะ ล้วนมาจากการบงการอันชาญฉลาดของ ต๊อตติ ทั้งสิ้น การได้ลงเล่นต่อกรกับนักเตะระดับโลกทุกสัปดาห์สั่งสมประสบการณ์ของเขาจนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาสไปแบบไร้คนคัดค้าน เมื่อฟอร์มอันยอดเยี่ยมมาบวกกับผลงานที่ ต๊อตติ ทำไว้ใน ยูโร 2000 ทำให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปี 2000 ของอิตาลี และลีก เซเรีย อา ไปครองจนได้ มันเป็นรางวัลที่สำคัญมาก เพราะคะแนนมาจากการโหวตของนักเตะ กัลโช่ ด้วยกันเอง ที่สำคัญในเวลานั้น ลีกกัลโช่ยังเต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์คับคั่งทั้ง ซีดาน, โรนัลโด้, รุย คอสต้า หรือ เวรอน

ในฤดูกาล 2000/01 เพียงแค่ 7 เกมแรก ต๊อตติ ก็ยิงประตูไปถึง 5 ลูกแล้ว หลังจากนั้น เขาก็ยังช่วยทีมด้วยการยิงประตูอย่างต่อเนื่องในเกมกับ อูดิเนเซ่, บารี่, มิลาน และ นาโปลี ทำให้ทีมหมาป่าผงาดเกาะตำแหน่งคาโปลิสต้า (จ่าฝูง) อย่างเหนียวแน่น ช่วงนั้นฟอร์มแรงจัดถึงขั้นชนะคู่แข่งติดต่อกัน 7 นัดเลยทีเดียว ทำให้ทีมคว้าตำแหน่งแชมป์ในหน้าหนาวไปครอง หรือแชมป์ครึ่งฤดูกาลแรกนั่นเอง ตัวผมเองได้มีโอกาสไปเยือน อิตาลี ในช่วงกลางเดือนเมษายน ปีนั้นพอดี และได้ซึมซับกับบรรยากาศกระแสความคลั่งไคล้ในตัว ต๊อตติ มาไม่น้อย นอกจากเขาจะเป็นสัญลักษณ์ของทีมอย่างเต็มตัวแล้ว ยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์และความภาคภูมิใจของกรุงโรมอีกด้วย



อารมณ์รุนแรงของ ต๊อตติ ก่อนกลับมานำทัพหมาป่าเป็นแชมป์อิตาลี .............

อย่างไรก็ตาม ต๊อตติ เองก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน นอกสนามกับในสนามแตกต่างกันลิบลับ คือ เขาจะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูงมากยามที่ลงเล่นในทุกๆเกม เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน และความกระหายในชัยชนะสูงมากๆ จนบางครั้งเมื่ออะไรไม่เป็นอย่างที่ใจคิด เรื่องที่ไม่น่าดูชมก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ไฮไลต์ที่สำคัญอีกเรื่องของปีนี้คือ ต๊อตติ โดนเปลี่ยนออกในเกมที่ไปเยือน ยูเวนตุส ที่ เดลเล่ อัลปิ บอกตามตรง ผมคิดว่าฟอร์มของ ต๊อตติ เองไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น เพียงแต่วันนั้น เขาไม่มีสมาธิกับเกมเอาเสียเลย ทำเกมช่วย โรม่า ไม่ได้ คาเปลโล่ จึงตัดสินใจเปลี่ยนเขาออกมานั่งพัก และส่ง นากาตะ ลงไปแทน ซึ่ง ต๊อตติ เองไม่ได้ซีเรียส แค่มีซึมๆบ้างบนม้านั่งสำรอง เขายังเข้าไปแสดงความยินดีกับ นากาตะ หลังจากโชว์ผลงานยิง 1 จ่าย 1 ด้วยซ้ำไป

เหตุการณ์มันมาเกิดในเกมถัดไปครับ ในการลงสนามรับมือ อตาลันต้า ในบ้าน และเป็นนัดที่สองติดต่อกันที่ ต๊อตติ ยังไม่สามารถคืนฟอร์มตัวเองได้ แม้ว่าทีมคู่แข่งจะถูกมองว่าเป็นรองเยอะก็ตาม ทำให้เขาถูก คาเปลโล่ เปลี่ยนตัวออกกลางเกมอีกครั้ง คราวนี้ ต๊อตติ ระเบิดอารมณ์ออกมา เตะขวดน้ำข้างม้านั่งสำรองกระจายเลย รวมทั้งเดินออกจากอัฒจันทร์ ไปเลยในตอนนั้น แฟนบอลทั่วไปอาจคิดว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าว และไม่เหมาะสมที่กัปตันทีมอย่างเขาจะทำแบบนั้นต่อหน้าเทรนเนอร์ แต่ใครจะรู้บ้างว่าที่เขาเตะขวดน้ำกระจายนั้น ไม่ได้มาจากความโกรธอะไรในตัว คาเปลโล่ เลย เขาโกรธตัวเอง โมโหตัวเอง ที่ไม่สามารถเรียกฟอร์มที่ดีที่สุดช่วยทีมรักได้ต่างหาก

แน่นอนครับว่าทั้ง คาเปลโล่ แฟนบอล โรม่า รวมทั้งเพื่อนร่วมทีมเข้าใจเขาเสมอ และนั่นก็เป็นเพียง 2 เกม ที่ ต๊อตติ ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างกับตัวเอง เขากลับมาอีกครั้งในเกมไปเยือน บารี่ โชว์ลีลาการจ่ายบอลให้บาติสตูต้า และ คาฟู ช่วยกันซัดเจ้าถิ่นก่อนเอาชนะไปขาดลอย 4-1 ทีมหมาป่าขยับเข้าใกล้แชมป์มากขึ้นทุกขณะ และเมื่อเอาตัวรอดจาก มิลาน มาได้ ต๊อตติ ก็มีส่วนในการช่วยยิงประตูสุดสวยเมื่อไปเยือน นาโปลี ก่อนจะมายิงประตูเบิกร่องในเกมสุดท้ายกับ ปาร์ม่า ในโอลิมปิโก้ พาทีมชนะไปอย่างสวยงาม 3-1 คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้เป็นครั้งแรกในชีวิตได้อย่างยิ่งใหญ่ เหนือคำบรรยาย หลังเกมกับทีมจัลโล่บลู จบลง ต๊อตติ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า นี่คือเกมที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาอย่างแท้จริง แม้ว่า อิตาลี จะเป็นแชมป์ยูโรก็เถอะ มันเทียบไม่ได้เลยกับสคูเด็ตโต้ครั้งแรก สคูเด็ตโต้มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของ ต๊อตติ จริงๆ ต๊อตติ คว้ารางวัลผู้เล่นอิตาเลียนดีเด่นประจำปี 2001 ไปครองเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน ด้วยผลงานลงสนาม 30 เกม ยิงได้ 13 ประตู

หลังจากจบฤดูกาลนี้ ต๊อตติ ตั้งเป้าหมายต่อไปของเขาคือ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ทีมยังไม่เคยสัมผัส รวมทั้งป้องกันแชมป์สคูเด็ตโต้ให้ได้ จากนั้นก็เดินทางสู่เอเชียเพื่อเติมความฝันคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอิตาลี เรื่องน่าเสียดายในปีนี้มีอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ต๊อตติ ต้องแยกทางกับเอเย่นต์คู่ใจอย่าง ฟรังโก้ ซาวาญ่า หลังจากที่ทั้งคู่มีปัญหากันในเรื่องของผลประโยชน์ที่ ต๊อตติ มองว่าเขาได้รับอย่างไม่เป็นธรรม จึงทำให้เขาตัดสินใจแยกทางกับ ซาวาญ่า ที่ร่วมงานกับเขามานับ 10 ปีตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชน โดย ต๊อตติ เลือกที่จะใช้บริการของ วินเชนโซ่ โมราบิโต้ แทนนับจากนั้น



การสั่งสมฝีเท้าที่ดูเหมือนจะเพิ่มอย่างไม่หยุดยั้ง ...............

เริ่มต้นซีซั่นใหม่กับการติดตราสคูเด็ตโต้อันทรงเกียรติไว้บนหน้าอก ต๊อตติ เองฟอร์มยังเยี่ยม แต่ดูเหมือนเพื่อนร่วมทีมหลายๆคนจะฟอร์มตกลงไป อย่าง บาติสตูต้า หรือ ตอมมาซี่ บวกกับดาวรุ่งค่าตัวแพงอย่าง อันโตนิโอ คาสซาโน่ ที่เพิ่งซื้อเข้ามา ยังต้องใช้เวลาปรับตัว ทำให้ผลงานของ โรม่า ดูไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนปีที่แล้ว แต่ ต๊อตติ ก็ยังแบกทีมหมาป่าขึ้นไปคว้าแชมป์หน้าหนาว (ครึ่งฤดูกาลแรก) ได้สำเร็จ และต้องยอมรับเลยจริงๆว่าการป้องกันแชมป์นั้น มันยากกว่าไขว่คว้าหาแชมป์ปีก่อนหลายเท่าตัว หลายทีมพยายามสร้างทีมเพื่อโค่น โรม่า ให้ได้ ดังนั้น ต๊อตติ และเพื่อนร่วมทีมก็ต้องรวมแรงรวมใจกันต่อสู้ให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำไหว ซึ่งก็ดูเหมือนเขาจะทำได้ดีพอตัว การเปิดบ้านต้อน บาร์เซโลน่า 3-0 ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก นอกจากจะปั้นเกมแล้ว เขายังวิ่งพล่านไปทั่วสนาม ไล่บอลแบบไม่ถอย ทำให้ ต๊อตติ ได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของเกมดังกล่าว

ผลงานของ ต๊อตติ ยังเป็นที่กล่าวถึงในทีมชาติอิตาลีรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกในเกมสุดท้ายกับ ฮังการี นัดนั้น ต๊อตติ โชว์ลูกจ่ายเหนือชั้นมากมายนับ 10 ลูก แต่กองหน้าแต่ละคนกลับยิงทิ้งๆขว้างๆไปหมด สุดท้ายลงเอยด้วยการสังหารฟรีคิกของ เดล ปิเอโร่ เป็นประตูชัยให้อิตาลี หลังจบเกมทุกคนยกให้ เดล ปิเอโร่ เป็นฮีโร่ (ผมก็คิดเช่นนั้น) แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ เดล ปิเอโร่ แทบทั้งเกมโชว์ฟอร์มไม่ออกเลย และเป็น ต๊อตติ ที่ได้แมน ออฟ เดอะ แมตช์ อย่างเป็นทางการในเกมนั้นไป

เท่านั้นยังไม่พอ ต๊อตติ โชว์ผลงานดีที่สุดนัดหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ ในเกมแห่งความทรงจำกับ ลาซิโอ ในดาร์บี้แมตช์กรุงโรมเกมที่ 148 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2002 ต๊อตติ โชว์ความสุดยอดออกมาทั้งการทำเกม การครองบอล การตัดทำลายเกม รวมทั้งการยิงประตูอันสุดเหนือชั้น ยังไม่นับกลเม็ดเด็ดพราย ทั้งลูกส้น ลูกไขว้ การกระชากแผงหลังลาซิโอ 3-4 คนกระจุย ฯลฯ สุดท้ายพาทีมชนะถึง 5-1 เล่นเอา อเลสซานโดร เนสต้า ถึงกับเพ้อไม่อยากลงสู้หน้าแฟนบอลตัวเองอีกต่อไป และถ้าหาก มอนเตลล่า ไม่ได้ผีเข้าทำคนเดียวถึง 4 ประตู ต๊อตติ ก็คงจะได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของเกมนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงกับมีคำถามจากสื่อตามมาว่า ใครจะหยุด ต๊อตติ และ โรม่าได้

ก็นั่นแหล่ะครับ สุดท้ายแล้ว โรม่า ของ ต๊อตติ ก็มีคนหยุด และไปไม่ถึงฝั่งฝันจริงๆ เพราะตัว ต๊อตติ เองต้องประสบกับปัญหาบาดเจ็บช่วงท้ายฤดูกาล ทำให้ได้ลงสนามน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แถมทีมหมาป่ายังดันไปเล่นประมาทในเกมกับ ลิเวอร์พูล เลยตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบน่าเจ็บปวดสุดๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ในเฟสเดียวกัน สามารถต้อนยอดทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ได้ถึง 3-0 และทีมกำลังนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มก่อนเกมสุดท้ายแท้ๆ แต่กลับแพ้ให้อดีตแชมป์ยุโรปจากอังกฤษในเกมสุดท้ายที่ แอนฟิลด์ 0-2 จากจ่าฝูง เลยร่วงตกไปเป็นที่ 3 ปล่อยให้ บาร์เซโลน่า กับ ลิเวอร์พูล ควงแขนกันเข้ารอบหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ โรม่า เป็นหนึ่งในเต็งแชมป์ของรายการ และเป็นทีมที่ได้ชื่อว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกชั่วโมงนั้น แต่กลับเข้าไม่ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย

หนำซ้ำในคัมปิโอนาโต้ ที่ทีมหมาป่าเป็นแชมป์เก่า ยังมิอาจต้านทานความคงเส้นคงวาของ ยูเวนตุส ได้ ขนาดหลายฝ่ายกาชื่อทีมม้าลายของ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ ทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ เลยกลายเป็นว่าต้องเสียแชมป์ไปให้ ยูเว่ โดยต้องลุ้นกันถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล (ยูเว่ ร้อนเว่อร์มาก 5 เกมสุดท้ายชนะรวด) อย่างไรก็ตามนักเตะ โรม่า ทุกคนได้ทุ่มเทกันจนถึงที่สุดแล้ว คาสซาโน่ เองก็ทดแทน ต๊อตติ ได้เยี่ยม ไม่มีอะไรต้องเสียใจ แฟนบอลจัลโล่รอสซี่ทุกคนเชื่อว่าราชาของพวกเขาจะนำทีมๆนี้กลับมาคว้าสคูเด็ตโต้ได้อีกครั้ง จบฤดูกาล 2001/02 ต๊อตติ ลงสนาม 24 เกม ยิงได้ 8 ประตู ส่วนต้นสังกัด โรม่า ได้รองแชมป์อิตาลี โดยมีแต้มเป็นรอง ยูเว่ เพียงคะแนนเดียวเท่านั้น



ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมก่อนทำศึกฟุตบอลโลก ...............

ในทีม โรม่า นั้น ต๊อตติ เองเคยพูดเสมอว่า เขารู้สึกยินดีที่เพื่อนร่วมทีมหมาป่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และไม่เคยมีข้อขัดแย้งใดๆที่จะกระทบกับผลงาน หรือการลงสนามของทีม

“ในทีม โรม่า ทุกคนเป็นมืออาชีพ ผมรู้สึกดีเสมอเวลาอยู่ในห้องแต่งตัว ถึงแม้จะเป็นเกมที่เราพ่ายแพ้ เราจะช่วยกันแก้ปัญหา โดยมี คาเปลโล่ เป็นผู้ชี้แนะ”

“ผมสนิทกับ ก็องเดอล่า เขาตลกดี เขาเป็นคนฝรั่งเศส แต่กลับรู้เรื่องอิตาลีนอกกรุงโรม มากกว่าผมซะอีก”

ในส่วนของทีมชาติ ซึ่งในขณะนั้น ต๊อตติ ถูกคาดหมายว่าจะได้รับการการันตีเป็นเพลย์เมคเกอร์ตัวจริงของทีมสู้ศึกฟุตบอลโลกที่เอเชีย โดยหลายฝ่ายมองว่า ต๊อตติ เหมือนเป็นลูกรักของ ตราปัตโตนี่ เขาถูกสื่อมวลชนพยายามนำไปเปรียบเทียบกับ โรแบร์โต้ บาจโจ้ และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ดาวเตะรุ่นพี่ในทีมชาติอยู่เสมอ แต่ ต๊อตติ ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิดแต่อย่างใด กลับกันเขายังให้ความเคารพผู้เล่นรุ่นพี่ทุกคนในทีมชาติเสมอ

“ผมสนิทกับ เดล ปิเอโร่ ในทีมชาติ เขาช่วยเหลือผมทุกๆเรื่อง ผมเคารพเขาเสมอ มันไม่สำคัญว่าใครจะได้เป็นตัวจริงเกมไหน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเทรนเนอร์ในการตัดสินใจเลือกผู้เล่น แต่ที่ผมสามารถบอกได้คือ เราทั้งสองคนสามารถเล่นร่วมกันได้แน่นอน”

“สำหรับ บาจโจ้ ก็เช่นกัน เขาเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ เขาเคยได้ลูกบอลทองคำ พวกคุณคงไม่สงสัยในความสามารถเขาอยู่แล้ว ผมก็เช่นกัน แต่อย่างที่ผมบอก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเทรนเนอร์ คุณควรจะไปถามเขามากกว่า” ต๊อตติ กล่าวกับผู้สื่อข่าว ลา กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต ที่ถามเขาในเรื่องเกี่ยวกับ เดล ปิเอโร่ และ บาจโจ้ ในทีมชาติอิตาลี



เพลย์เมคเกอร์ ผู้หวังจะนำอัซซูรี่เถลิงบัลลังก์แชมป์โลก .............

ความเก่งกาจของ ต๊อตติ นั้นได้รับการยอมรับจากทุกคนในวงการฟุตบอลอิตาลี โจวานนี่ อันเญลลี่ อดีตเจ้าของสโมสรยูเวนตุส อาจเคยกล่าวว่า เดล ปิเอโร่ เปรียบเหมือนศิลปินที่สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซในสนาม แต่หากถาม “อิล แทร็ป” โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลีในขณะนั้น เขาเชื่อว่ากัปตันทีมหมาป่ารายนี้มีค่าเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้

“นักเตะชั้นยอดทุกคนย่อมมีอัจฉริยภาพแฝงอยู่ในตัว แต่บนโลกก็มีคนอย่าง วินเซนต์ ฟาน โก๊ะห์ เพียงผู้เดียว เช่นเดียวกับที่ไม่มี ต๊อตติ คนที่สองบนโลกนี้”

แน่นอนว่า ต๊อตติ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการจับตามองว่าจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการช่วยทีมชาติอิตาลีประสบความสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ นั่นคือ แชมป์โลก ซึ่งทีมนั้นได้ห่างเหินมานานเป็นเวลากว่า 20 ปี และถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะเป็นชาติแรกในยุโรปที่คว้าแชมป์โลกได้มากที่สุดถึง 4 สมัย เทียบเท่า บราซิล ของทวีปอเมริกาใต้ ก่อนหน้านั้น ต๊อตติ ได้รับคำชมเปรียบเปรยกับนักเตะซูเปอร์สตาร์ในอดีตมากมาย อิล แทร็ป ถึงกับยกให้เทียบชั้น ยูเซบิโอ ตำนานทีมชาติโปรตุเกส เลยทีเดียว และยังบอกอีกว่า เขาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีมไม่ต่างอะไรไปจาก ซีดาน ของฝรั่งเศส หรือ เวรอน ของอาร์เจนติน่า ซึ่งดูเหมือนตัว ต๊อตติ จะไม่ค่อยสนใจคำชมนั้นๆนัก เขามุ่งมั่นที่จะทำผลงานที่ได้รับมอบหมายจากโค้ช รวมทั้งความตั้งใจสานฝันของตัวเองให้สำเร็จมากกว่า



ฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตของ ต๊อตติ .............

ศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ อิตาลีลงสนามแข่งในฐานะทีมเต็งแชมป์ทีมหนึ่ง เพราะมีนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ร่วมทีมเต็มไปหมด และ ต๊อตติ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่แฟนบอล และสื่อมวลชนทั่วโลกให้การจับตามองมากที่สุดไม่ต่างกับซูเปอร์สตาร์คนอื่นๆเช่น ซีดาน, โรนัลโด้, เบ็คแฮม หรือ เวรอน เขาได้ใส่เสื้อหมายเลข 10 ซึ่งเป็นหมายเลขของเพลย์เมคเกอร์ในระดับทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรก โดย เดล ปิเอโร่ ต้องยอมสละไปใช้เสื้อหมายเลข 7 แทน ทั้งที่เขาเคยเป็นเจ้าของเลขนี้มาก่อน เหมือนเป็นการส่งมอบตำแหน่ง “โกลเด้นบอย” คนใหม่ให้ ต๊อตติ อย่างเป็นทางการ

เกมถ่ายทอดสดที่อิตาลีลงแข่งทุกเกม ช่างภาพทุกสำนัก รวมถึงตากล้องโฟกัสไปที่ ต๊อตติ มากที่สุด ตั้งแต่เกมนัดเปิดสนามของอิตาลีที่พบกับ เอกวาดอร์ ซึ่งเกมนั้น ต๊อตติ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เขาจ่ายบอลให้ คริสเตียน วิเอรี่ ซัลโว 2 ประตู เอาชนะคู่แข่งจากอเมริกาใต้ได้ 2-0 ซึ่งเกมที่ว่านี้ ต๊อตติ ลงเล่นเป็นศูนย์หน้าตัวต่ำ หลังตัวเป้าอย่าง วิเอรี่ ในระบบ 4-4-2 อิตาลี เริ่มต้นได้อย่างสวยงามในฟุตบอลโลก

มาถึงเกมที่ 2 ในรอบแรก เกิดเรื่องช็อคขึ้น เมื่อ อิตาลี ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับ โครเอเชีย แบบค้านสายตา 1-2 ทั้งๆที่ คริสเตียน วิเอรี่ ยิงประตูให้อิตาลีขึ้นนำก่อน แต่มาโดน โครเอเชีย ยิงแซง 2 ประตู ขึ้นไปนำเฉยเลย บ้างก็ว่าเพราะเกมนี้ เนสต้า เจ็บตั้งแต่ช่วงต้นเกม ไปโทษ มาเตรัซซี่ ว่าเป็นบ่อน้ำมัน ไฮไลต์ที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ วิเอรี่ ยิงประตูตีเสมอได้ แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินจากเดนมาร์ค เยนส์ ลาร์เซ่น ยกธงว่าล้ำหน้า ทั้งที่จริงแล้วไม่ล้ำ ส่วน ต๊อตติ เอง เขาก็ช็อคไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ เขามีโอกาสยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้ แต่เหมือนฟ้าไม่เป็นใจ ลูกฟรีคิกอันหนักหน่วงของเขาในช่วงท้ายเกมไปชนเสาเต็มๆ จบเกม อิตาลี แพ้ โครเอเชีย อย่างเจ็บปวด

เกมสุดท้ายของรอบแรก เจอกับ เม็กซิโก เกมนี้ถือเป็นเกมชี้ชะตา เพราะ อิตาลี จะแพ้ไม่ได้ หรือถ้าหากเสมอ ก็ต้องไปลุ้นให้ เอกวาดอร์ ทีมบ๊วยของกลุ่มพลิกล็อคชนะ โครเอเชีย ซึ่งถือว่ายากมากๆและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เกมนี้ ฮาเวียร์ อากิร์เร่ เทรนเนอร์ทีมชาติเม็กซิโก ยอมเสียผู้เล่นจากระบบทีมไป 1 คน โดยให้ เคราร์โด้ ตอร์ราโด้ ตามมาร์กตาย ต๊อตติ ตลอดทั้งเกม ทำเอา ต๊อตติ แทบไม่เจอบอลเลยครับ เขาโชว์ฟอร์มไม่ออกในเกมนี้ และถูกเปลี่ยนตัวออกให้ เดล ปิเอโร่ ลงสนามมาแทน และก็เป็น เดล ปิเอโร่ ที่เป็นฮีโร่ เมื่อเขาซัดประตูตีเสมอ 1-1 ได้ก่อนหมดเวลาแค่ 5 นาที ประตูนั้นมีค่ามากจริงๆ เพราะ โครเอเชีย ดันไปบ้าจี้แพ้ เอกวาดอร์ หน้าตาเฉยซะงั้น สุดท้าย อิตาลี ผ่านเข้าสู่รอบสองแบบหืดจับที่สุด เหมือนโกงความตาย ทั้งๆที่น่าจะตกรอบไปแล้ว



จากความฝันแชมป์โลก กลายเป็นฝันร้ายเมื่อต้องถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม ..............

เกมรอบสอง เหมือนเป็นเกมฟุตบอลนัดประวัติศาสตร์ที่วงการฟุตบอลอิตาลีจะต้องจดจำไว้ไม่มีวันลืมเลือนแน่ๆ พวกเขาเข้าไปพบกับเจ้าภาพร่วม เกาหลีใต้ ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโกงยามที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ เรียกว่าโกงจนเป็นตำนาน ตั้งแต่โอลิมปิกปี 1988 เคยทำให้ รอย โจนส์ จูเนียร์ แพ้ พาร์ค ซี-ฮุน มาแล้ว ทั้งที่นักชกเกาหลีใต้โดนถลุงจนไม่ต่างอะไรกับคนเมา

เกมนี้ อิตาลี ไม่มี 2 เซนเตอร์ตัวจริงอย่าง เนสต้า และ คันนาวาโร่ รายแรกเจ็บ ส่วนรายหลังติดโทษแบน ต้องให้ เปาโล มัลดินี่ หุบมายืนเซ็นเตอร์คู่กับ มาร์ค ยูเลียโน่ แทน แต่เกมรุกนั้น เทรนเนอร์ ตราปัตโตนี่ ใช้ 3 ประสาน วิเอรี่, ต๊อตติ และ เดล ปิเอโร่ ลงครบครัน และ อิตาลี ก็เล่นได้ดีกว่าเห็นได้ชัดในช่วงต้นเกม จนได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากลูกเตะมุมของ ต๊อตติ ที่เปิดได้อย่างแม่นยำให้ วิเอรี่ เข้าฮอสหน้าประตู วิเอรี่พุ่งโขกบอลตุงตาข่าย เพื่อนร่วมทีมต่างเข้ามารุมล้อมเพื่อให้กำลังใจ ต๊อตติ หลังจากเกมก่อนเขาโชว์ฟอร์มไม่ออก

แต่หลังจากนั้นเหมือนเป็นวิบากกรรมที่ อิตาลี ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะประสบพบเจอ เมื่อพวกเขาได้โอกาสในการทำประตูมากมาย แต่กลับทำประตูเพิ่มเพื่อฝังเจ้าถิ่นไม่ได้ (เหมือน รอย โจนส์ ที่น็อกนักชกเกาหลีไม่ได้นั่นแหล่ะ) วิเอรี่ มีโอกาสยิงจ่อๆไม่ถึง 5 หลาโล่งๆ กลับยิงไม่เข้ากรอบ เกมนี้ผมมองว่า ตราปัตโตนี่ พลาดมหันต์ที่ปรับแท็กติกเน้นเกมรับกับทีมเลือดสู้ฟัดอย่าง เกาหลีใต้ ด้วยการถอด เดล ปิเอโร่ ออก แล้วเน้นรับเต็มที่ เลยกลายเป็นโดนเกาหลีล่อเป้าเป็นชุดในช่วง 10 นาทีสุดท้าย และจนได้ครับ ก่อนหมดเวลา 2 นาที โซล คี เฮือน ซัดประตูตีเสมอเป็น 1-1

ในเกมช่วงต่อเวลาพิเศษ เหมือนเป็นการฉายภาพรีเพลย์ โอลิมปิก 1988 อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด บรรดานักเตะอิตาลีโดนเตะกระจายแต่ไม่มีเสียงนกหวีด (มัลดินี่ โดนเตะที่หัว) ตามมาด้วยไฮไลต์สำคัญเมื่อ ดาเมียโน่ ตอมมาซี่ ได้บอลจากครึ่งสนาม แล้วลากมายิงเข้าประตู แต่ผู้ตัดสินไบรอน โมเรโน่ ชาวเอกวาดอร์ ไม่ให้ประตู โดยบอกว่าล้ำหน้า ทั้งๆที่จริงแล้วไม่ล้ำ โมเรโน่ ไม่ได้เป่าตั้งแต่ครึ่งสนาม แต่รอให้ ตอมมาซี่ ลากเข้าไปยิงประตูก่อน แล้วค่อยเป่าครับ คุณเคยเห็นเรื่องแบบนี้ไหม?

เท่านั้นยังไม่พอ เหยื่อต่อมาของ โมเรโน่ และต้องกลายเป็นผู้โชคร้ายถูกไล่ออก คือ ต๊อตติ เมื่อก่อนหมดครึ่งแรกของช่วงต่อเวลาไม่นาน เขากระชากบอลเข้าไปถึงในเขตโทษของ เกาหลีใต้ ก่อนเตรียมจะง้างเท้ายิงแบบเข้าข้อ จังหวะนั้น อี ชุน-ซู นักเตะโสมขาวพุ่งเข้ามาสกัดดาวเตะหมาป่าล้มลง เอาแล้วครับ เฟเรนซ์ เซเคลี่ ไลน์แมนชาวฮังกาเรียน ซึ่งอยู่ใกล้เหตุการณ์ที่สุด สะบัดธงเป็นลูกฟาวล์ไปแล้ว อิตาลีกำลังจะได้ลูกที่จุดโทษ แต่ โมเรโน่ ซึ่งจังหวะนั้นอยู่กลางสนาม ย้ำครับ ว่ากลางสนาม วิ่งเข้ามาบอกว่า ต๊อตติ พุ่งล้ม และชูใบเหลืองที่สองข้อหาตบตาผู้ตัดสิน กลายเป็นใบแดงไล่ออกแบบช็อคคนดูทั่วโลก เขาใช้กล้องส่องทางไกล หรือกระแสจิตตัดสินล่ะเนี่ย

อิตาลีต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนในสนาม จึงต้องตั้งรับ รอไปยิงจุดโทษอย่างไม่มีทางเลือกอื่น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อพลพรรคอัซซูร์รี่ซึ่งส่วนใหญ่อายุมากแล้ว ต้านทานความอึดของพลังหนุ่มโสมไม่ไหว โดนลูกโหม่งประตูชัยของ อาห์น จุง ฮวาน เข้าไปในนาทีที่ 117 ครับ มันเป็นโกลเด้นโกล อิตาลี ไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวเอาคืนได้ มันเป็นค่ำคืนที่แสนจะโหดร้ายสำหรับชาวอิตาเลียน และแฟนบอลอัซซูร์รี่ทั่วโลก



กรรมสนองพวกชอบโกง ..............

หลังจากนั้น เกาหลีใต้ เข้ารอบไปแผลงฤทธิ์กับทีมชาติ สเปน ต่อ ด้วยการที่ผู้ตัดสินปฏิเสธประตูทีมกระทิงดุ โดยบอกว่าลูกออกเส้นหลังไปก่อนแล้วหน้าด้านๆ สุดท้ายดวลจุดโทษเอาชนะ สเปน เข้ารอบไปหน้าตาเฉย ก่อนที่จะไปร่วงในเกมที่เจอทีมชาติเยอรมัน ซึ่งเกมนั้นอาจจะไม่มีโอกาสเนียนในการโกง เลยตกรอบไปอย่างสะใจแฟนบอลทั่วโลก และเหมือนกรรมตามทัน เมื่อเกมนัดชิงที่สามกับ ตุรกี กัปตันทีม ฮอง เมียง โบ ทำเรื่องน่าขายหน้าเมื่อปล่อยให้ฮาคาน ซูเคอร์ ฉกบอลเข้าไปยิงประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกตั้งแต่ 11 วินาทีแรกของเกม สุดท้ายอกหักแพ้ ตุรกี ไป 2-3 (สังเกตดีๆ ผู้ตัดสินนัด เกาหลีใต้ แข่งรอบลึกๆ มาจากชาติโนเนมแทบทั้งนั้น เช่น เอกวาดอร์, อียิปต์, คูเวต)

ส่วนผู้ตัดสินจอมอื้อฉาว โมเรโน่ ยังคงตระเวนรับเงินพิเศษระดับสโมสรต่อ ในลีกบ้านเกิด ด้วยการทดเวลาบาดเจ็บนานถึง 13 นาที ย้ำครับ 13 นาที จากที่ทดเวลาจริง 6 นาที ให้ทีม ลีกา เด กีโต้ ที่เป็นฝ่ายตามหลัง บาร์เซโลน่า สปอร์ติ้ง คลับ อยู่ 2-3 กลับมายิงแซงชนะได้สำเร็จ 4-3 ทำไปได้นะพี่ สุดท้ายก็ถูกสอบสวนว่าผิดจริง และ FIFA สั่งถอดเขาออกจากรายชื่อผู้ตัดสิน ประกาศเป็นผู้ตัดสินทุพพลภาพ ทุจริตต่อหน้าที่ และห้ามไม่ให้เขาตัดสินเกมระดับนานาชาติอีกต่อไป โดยโทษนี้มีผลต่อการตัดสินใน เอกวาดอร์ ด้วย และหลังจากเขาพ้นโทษแบนในเกมระดับท้องถิ่นกลับมาได้เพียง 3 นัด เขาก็ยังรับสินบนการตัดสินอีกครั้ง ด้วยการไล่นักเตะคู่แข่งของ เดปอร์ติโว่ กีโต้ ถึง 3 คนในเวลาเพียง 11 นาที จนถูกสอบสวนว่าผิดจริงอีก และโดนลงโทษอีกแล้ว ไม่อายลูกหลานบ้างเลย เรียกว่าผิดซ้ำผิดซากจริงๆ จนกระทั่งเลิก แขวนนกหวีดไปอย่างสุดอนาถในที่สุด ยังครับ ยังไม่หมด ล่าสุดเมื่อปี 2010 โดนตำรวจจับที่ สนามบิน JFK นิวยอร์ก ข้อหาพก เฮโรอีน 6 กิโลกรัม โอ้แม่เจ้า นี่มันอาชญากรตัวจริงเสียงจริง ก่อนที่จะถูกศาลสหรัฐ สั่งจำคุก 10 ปีเต็มกันเลยทีเดียว

ขณะที่ผู้ทำประตูชัยให้เกาหลีใต้ อาห์น จุง ฮวาน อาจจะเพราะความดีใจเกินเหตุ หลังจบเกมดันไปปากดีให้สัมภาษณ์ ดูถูกทีมชาติอิตาลี ว่าวงการฟุตบอลด้อยกว่าเกาหลีใต้ไปแล้ว และ เกาหลีใต้ สามารถเอาชนะ อิตาลี ได้สบายๆ เลยถูกประธานสโมสร เปรูจา ลูชาโน่ กาอุชชี่ ขับไล่ออกจากทีมต้นสังกัด โดยบอกว่า

“อาห์น ลืมกำพืดตัวเอง ผมรับไม่ได้ที่เขาพูดแบบนั้น เขาไม่ให้เกียรติวงการฟุตบอลอิตาลี พวกเราเป็นแชมป์โลก 3 สมัย แล้วเขายิ่งใหญ่ขนาดไหนกันเชียว เขาเคยโชว์ฟอร์มอะไรได้ดีสักนัดมั้ยใน เปรูจา จากนี้ไปขอให้เขาไปหาสังกัดใหม่ได้เลย เขาจะไม่มีวันกลับมาเหยียบเปรูจาได้อีก ผมไม่รับประกันความปลอดภัย” กาอุชชี่ กล่าวอย่างโกรธแค้น

กรณีที่ อาห์น ถูกขับออกจาก เปรูจา มี 2 ฝ่ายที่มองไปคนละมุม บางฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป ขณะที่อีกฝ่าย รวมทั้งตัวผมเองมองว่า อาห์น ก็พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดจริงๆ และถ้าวงการฟุตบอล เกาหลีใต้ เก่งเลิศเลอขนาดนั้น ผมก็เห็นด้วยนะว่าน่าจะกลับไปเล่นที่ เค-ลีก เกาหลีใต้ บ้านเกิดจะดีกว่า น่าจะช่วยพัฒนาฝีเท้าเขาได้ดีกว่าที่ อิตาลี มั้ง อิอิ และหลังจากนั้นชื่อของ อาห์น ก็หายลับไปจากสารบบลูกหนัง ขณะที่นักเตะผู้ยิงประตู อิตาลี ในยูโร 2000 อย่าง เทรเซเก้ต์ หรือ อิบราฮิโมวิช กลับอยู่ดีมีสุขใน อิตาลี กับ ยูเวนตุส โดยไม่มีแฟนบอลอิตาเลียนคนไหนแอนตี้เขาจากการซัลโว อิตาลี ได้เสียหน่อย นี่แหล่ะครับ “ปากพาจน” แท้ๆ



ลืมความผิดหวัง แล้วศึกษาความผิดพลาด .............

หลังความล้มเหลวของทีมเต็งแชมป์ อิตาลี นอกจากสื่ออิตาเลียนจะหมายหัวผู้ตัดสินจอมฉาวอย่าง โมเรโน่ แล้ว ทั้งเทรนเนอร์ และนักเตะทีมชาติตัวเองก็โดนหมายหัวเช่นกัน สื่อทุกฉบับให้ความเห็นตรงกันว่าความล้มเหลวครั้งนี้ เทรนเนอร์อย่าง ตราปัตโตนี่ ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ โทษฐานที่วางแท็กติกเน้นเกมรับแบบไม่จำเป็นมากเกินไป แต่สุดท้ายแล้ว สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีตัดสินใจให้ อิล แทร็ป ทำทีมต่อ

“เวิลด์ คัพ เป็นความรับผิดชอบของทุกคน ไม่มีทางที่จะไปโทษ ตราปัตโตนี่ คนเดียว” ต๊อตติ เอ่ยปากเล่าพร้อมกับส่ายหัวด้วยความผิดหวัง

“กรรมการตัดสินตรงข้ามเราหลายครั้งระหว่างการแข่งขัน จากนั้นเราก็เริ่มทำผิดพลาด และเริ่มขาดความสามัคคี แต่มันก็ย่อมมีช่วงเวลาที่ต้องจดจำในชีวิตการเล่นของคุณ และเหตุการณ์นั้นก็ถูกรวมอยู่ด้วย ผมได้เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น และทำให้ผมมีสายตากว้างไกลสำหรับการเผชิญสถานการณ์อื่นๆ”

“หลังจบทัวร์นาเมนต์ ผมได้ทบทวนอยู่หลายครั้งในสิ่งที่เกิดขึ้น และผมก็ได้ข้อสรุปเดียวกับ วิเอรี่ ซึ่งออกมาพูดว่าเราควรจะเล่นเน้นเกมรุกมากกว่านี้ เราคือทีมชาติอิตาลีซึ่งควรจะมีการเล่นที่ใกล้เคียงกับ เรอัล มาดริด หรือ บราซิล คู่แข่งควรจะเป็นฝ่ายกังวลเมื่อต้องเจอกับเรา ไม่ใช่เราเป็นฝ่ายกลัวพวกเขาเหมือนที่เป็นอยู่”

“พอเรามีโอกาสเจอ ตราปัตโตนี่ เป็นครั้งแรก หลังศึกฟุตบอลโลก พวกเราได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับแท็กติกของทีม และสามารถหาข้อตกลงร่วมกัน เขาอธิบายว่าเราไม่อาจจะเล่นด้วยแผนการเล่นอื่นที่เกาหลีใต้ เพราะสภาพร่างกายของผู้เล่นไม่ได้อยู่ในระดับที่สมบูรณ์เต็มที่ แต่ตอนนี้เราก็มีการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และมีความสนุกมากขึ้น”

สุดท้าย ต๊อตติ สามารถหาตำแหน่งที่ลงตัวในทีมชาติได้สำเร็จ หลังจากประสบปัญหาในการที่ถูกสลับตำแหน่งในเกมรุกอยู่ตลอดเวลา แต่สถานการณ์ของเขาผิดกับอดีตจอมทัพคนอื่นๆ ในอดีตไม่ว่าจะเป็น โรแบร์โต้ มันชินี่, จานฟรังโก้ โซล่า หรือแม้กระทั่ง โรแบร์โต้ บาจโจ้ ซึ่งตำแหน่งในการเล่นให้อิตาลีของพวกเขาไม่เคยต้องตกเป็นที่ถกเถียงในระดับชาติมาก่อนเลย

2 เหตุผลที่ทำให้เกิดการโต้เถียงในตำแหน่งของ ต๊อตติ เหตุผลแรกมาจากสถิติตลอด 7 ฤดูกาลหลังสุดกับ โรม่า เขายิงประตูเป็นตัวเลขเกิน 2 หลักมาตลอด ยกเว้นเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นมาจากการที่เขาได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวถึง 15 เกม ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเพลย์เมกเกอร์สายเลือดโรมานิสต้าแตกต่างจาก มันชินี่, โซล่า และ บาจโจ้ ตรงที่ความเร็วไม่ใช่กุญแจสำคัญในการเล่นของ ต๊อตติ เขาสามารถเล่นงานกองหลังคู่แข่งด้วยการใช้ร่างกายท่อนบนที่แข็งแกร่งในการพาบอลฝ่าไป บวกกับชั้นเชิงลูกหนังระดับสูง และพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์เกม ความจริงการได้ลงเล่นในหลายๆ ตำแหน่งช่วยยกระดับการเล่นของ ต๊อตติ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ผมมักจะใช้เขาเป็นศูนย์หน้าตัวที่ 2 เพราะเขาเป็นนักเตะที่มีความเร็วสูง” อดีตโค้ชทีมชาติชุดยู-21 เชซาเร่ มัลดินี่ ให้ความเห็น

“เขายังพัฒนาขึ้นอีกมากนับตั้งแต่ได้ฝึกซ้อมร่วมกับผม เวลานี้เขากลายเป็นผู้เล่นตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์อย่างแท้จริงแล้ว ผู้ที่สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ทีม และบรรยากาศรอบตัว เขาจะมอบความสามารถที่มีอยู่ให้กับทีม เขาคือแชมป์ตัวจริง” มัลดินี่ซีเนียร์ กล่าวเพิ่ม

ตราปัตโตนี่ ยอมที่จะเดินตามแนวทางของ คาเปลโล่ ในการสร้างทีมชาติอิตาลีโดยมี ต๊อตติ เป็นแกนหลัก โดยมีการดัดแปลงแผนการเล่นเล็กน้อยออกมาเป็นระบบ 4-2-3-1 ซึ่งสร้างความพอใจให้จอมทัพผู้นี้เป็นอย่างมาก

“เราเล่นโดยมีแผงกองหลัง 4 คนที่แข็งแกร่ง และมิดฟิลด์ตัวรับอีก 2 คน ผมจะยืนตรงกลางโดยมีผู้เล่นปีก 2 คนขนาบอยู่ด้านข้าง และกองหน้าตัวเป้าอยู่เหนือขึ้นไป เมื่อผมยืนต่ำลงมาเล็กน้อย ผมสามารถเห็นเกมได้ชัดเจนขึ้น ถ้าหากเลือกได้ผมอยากจะเล่นอยู่ด้านหลังศูนย์หน้าในระบบ 4-2-3-1”

ขณะที่ ตราปัตโตนี่ ไม่ได้ขัดข้องที่จะให้อิสระในการเล่นแก่ซูเปอร์สตาร์หนุ่มจาก โรม่า “ต๊อตติ พร้อมเสมอสำหรับเกมใหญ่ๆ ในระดับชาติ ผมคิดว่าเขาจะอันตรายขึ้นหากยืนอยู่ใกล้ประตู แต่มันไม่สำคัญว่ามีกองหน้ากี่คนที่เขาจะต้องร่วมเล่นด้วย ผมต้องการเพียงให้เขาบุกขึ้นไป และลองเสี่ยงเล่นดู”

“ผมชอบ ตราปัตโตนี่” ต๊อตติ เอ่ยถึง อิลชิที ด้วยรอยยิ้ม “ในอิตาลีทุกคนชื่นชมแทร็ปเสมอ เขาเป็นนักสู้ ผู้ชนะ เส้นทางในอาชีพที่ผ่านมาของเขาพูดแทนทุกสิ่งได้ดีอยู่แล้ว เขามุ่งมั่นที่จะได้รับผลการแข่งขันที่ดีอยู่เสมอ แน่นอนว่าผลการแข่งขันในเวิลด์ คัพ ที่ผ่านมาเลวร้ายกว่าที่คาดคิด แต่ด้วยประสบการณ์ และวิธีการสื่อสารกับผู้คนของเขาทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน”



เผชิญฤดูกาลยากลำบากในคัมปิโอนาโต้ 2002/03 ..............

เมื่อ ต๊อตติ เดินทางกลับกรุงโรม เขาได้รับรู้ข่าวที่ไม่สู้จะดีนักในเรื่องสถานการณ์เงินของสโมสร เมื่อผลประกอบการของ โรม่า อยู่ในขั้นเลวร้าย จากการใช้จ่ายที่ไม่ประมาณตนในเรื่องการจ่ายเงินค่าเหนื่อยนักเตะ รวมไปถึงความผิดพลาดในการบริหารด้านการเงินอื่นๆ ต๊อตติ ช่วยเหลือทีมด้วยการนำเงินส่วนตัวเข้าซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งของสโมสร รวมทั้งยอมให้สโมสรลดโบนัสการทำประตูของเขาลงครึ่งหนึ่ง ไม่เคยมีนักเตะคนไหนทำแบบเขามาก่อน

“การที่ผมยิงประตูให้ โรม่า ได้ มันเป็นความสุขที่สุดยอดแล้ว พวกเขาไม่ต้องจ่ายอะไรให้ผมมากหรอก เรื่องสถานการณ์เงินของทีมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นปัจจัยหลักในการดึงตัวนักเตะระดับโลกมาร่วมทีม อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นในตัวเทรนเนอร์ คาเปลโล่ เขาสามารถสร้างทีมได้โดยไม่ต้องใช้เงินมาก และคิดว่าเขาคงไม่ทำให้ผมและแฟนบอลผิดหวัง”

ผลงานในลีกของโรม่าฤดูกาล 2002/03 นี้ไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อนักเตะในทีมประสบปัญหาฟอร์มตก เช่น บาติสตูต้า, ตอมมาซี่ และ เดลเว็คคิโอ รวมไปถึงอาการบาดเจ็บรบกวนพลพรรคหมาป่าอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็รวมไปถึง ต๊อตติ ด้วย แต่อาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับฟอร์มส่วนตัวแต่อย่างใด เขาได้ลงสนามแค่ 23 นัดใน เซเรีย อา แต่กลับยิงได้ถึง 14 ประตู น่าเสียดายที่ โรม่า จบแค่อันดับ 8 ในตาราง หมดโอกาสที่จะไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งที่มีผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์อยู่เต็มทีม

ปัญหาดังกล่าวเล่นเอา ฟาบิโอ คาเปลโล่ เทรนเนอร์หมาป่า ถึงกับเครียดจัด เพราะ โรม่า เป็นทีมชั้นนำของอิตาลี และยุโรป ลงทุนไปมหาศาล และคุ้นเคยกับการเล่นในเวทีใหญ่สุดมาตลอดนับตั้งแต่คว้าสคูเด็ตโต้มาครอง ยังดีที่ดวงยังแข็งอยู่บ้างเมื่อสามารถเข้าไปชิงชนะเลิศกับ มิลาน ในศึกโคปปา อิตาเลียได้ เลยทำให้สามารถคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า คัพ ได้สำเร็จ เพราะ มิลาน นั้น ได้สิทธิ์ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนหน้านั้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกได้เห็นฟอร์มสุดยอดของ ต๊อตติ ผ่านเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปีนั้น เมื่อเขาระเบิดฟอร์มได้ถูกเวลา จากการนำทัพหมาป่าบุกไปเชือด เรอัล มาดริด ได้ถึงรัง ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว 1-0 ทั้งๆที่ตัวผู้เล่นเป็นรอง ทีมราชันชุดขาวชุดนั้นได้ชื่อว่าเป็น “กาลาคติกอส” ยุคแรก 11 ตัวจริงมี กาซิยาส, ซัลกาโด้, เอียร์โร่, เอลเกร่า, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, มาเกเลเล่, กัมบิอัสโซ่, ฟิโก้, ซีดาน, ราอูล และโรนัลโด้ ซึ่งถือเป็นทีมชุดตัวจริงที่ดีที่สุดของทีมแชมป์ยุโรปในปีนั้น แต่ ต๊อตติ โชว์ฟอร์มกลบรัศมีสตาร์ เรอัล ทั้งหมดในสนาม และเป็นผู้ซัดประตูชัยให้ โรม่า บุกไปเอาชนะแชมป์ 9 สมัยจากสเปน ผู้ยังไม่เคยแพ้ใครในบ้านทั้งในลีก และบอลยุโรปแบบหักปากกาเซียน

หลังจบเกมนั้น ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานทีม เรอัล กล่าวชื่นชมฟอร์มการเล่นของราชาหมาป่าเป็นพิเศษ ถึงกับคุยกับ ฟรังโก้ เซนซี่ เพื่อถามไถ่เรื่องการซื้อตัว แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างเงียบไป หลังจาก เซนซี่ ได้ออกมาแสดงเจตนารมณ์ไม่มีความคิดจะปล่อยตัวกัปตันทีมผู้เป็นสัญลักษณ์ของสโมสรออกไป

“ต๊อตติ ไม่ได้มีไว้ขาย เขาเป็นผู้เล่นที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ไม่ต่างจาก เปาโล มัลดินี่ ที่ มิลาน หรือ ราอูล ที่ มาดริด ผมจะไม่พิจารณาข้อเสนอใดๆเกี่ยวกับ ต๊อตติ และตราบใดที่ผมยังเป็นประธานทีมอยู่ ต๊อตติ จะไม่มีทางย้ายไปสวมเสื้อทีมอื่น” ฟรังโก้ เซนซี่ กล่าวที่ที่ทำการสโมสรหลังจากถูกผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์

โรม่าได้ผ่านเข้าสู่เฟสสอง ของรอบแบ่งกลุ่ม ไปเจอ บาเลนเซีย, อาแจ๊กซ์ และ อาร์เซน่อล ซึ่งพวกเขาไม่สามารถเข้ารอบตัดเชือกได้ เพราะดันไปแพ้คู่แข่งถึง 3 นัด จากทั้งหมด 6 เกม แต่ชื่อของ ต๊อตติ ก็ถูกกล่าวขานไปทั่วสเปน เมื่อเขาซัลโวคนเดียว 2 ประตู บุกไปยำใหญ่ บาเลนเซีย ถึงวังค้างคาว เมสตาย่า 3-0 ซึ่ง บาเลนเซีย ในขณะนั้น เป็นแชมป์เก่า ลา ลีกา ที่ยังไม่เคยแพ้ใครในบ้าน และเกมยุโรปก็ยังไม่เคยแพ้แม้แต่เกมเดียว ทั้งรอบแบ่งกลุ่มเฟสแรก และเฟสสอง เจอแบบนี้ไปก็อึ้งสิครับ

“ต๊อตติ เหมือนไม่ใช่คน เขามหัศจรรย์มาก วันนี้ผู้เล่น บาเลนเซีย ทุกคนไม่สามารถหยุดอะไรเขาได้” มิเกล อังเคล อังกูโล่ กล่าวหลังจบเกมช็อกวงการฟุตบอลสเปน

หลังจบฤดูกาล 2002/03 ชื่อของ ต๊อตติ เข้ามาพัวพันถึงตลาดนักเตะอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่าทีมในสเปน ต้องการจะดึงตัวเขาไปร่วมทีม โดยอาศัยโอกาสที่ โรม่า ได้แค่อันดับที่ 8 ในลีก มาเป็นตัวยุให้ราชาหมาป่าอำลาทีมหาความท้าทายใหม่ๆ แต่สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นเพียงข่าวโคมลอย เมื่อ ต๊อตติ ประกาศว่าจะจงรักภักดีกับ โรม่า ต่อไป แน่นอนครับฟอร์มแรงแบบนี้ รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของอิตาลีสมัยที่ 3 จะหลุดมือเขาไปไหนเสีย ขนาดทีมจบแค่ที่ 8 นะเนี่ย



ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอ 20 ประตูใน คัมปิโอนาโต้ ส่ง โรม่า สู่รองแชมป์อิตาลี ...............

ไม่มีใครคิดว่า โรม่า จะประสบกับปัญหาด้านการเงิน ถึงขั้นต้องดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้สามารถลงทะเบียนแข่งขันในเซเรีย อา นาทีสุดท้าย แถมยังจบแค่อันดับ 8 ในตารางปีก่อน จะสามารถกลับมาเป็นทีมลุ้นสคูเด็ตโต้กับ ยูเวนตุส, มิลาน และ อินเตอร์ ได้อย่างถึงพริกถึงขิง จุดเปลี่ยนน่าจะเป็นการเซ็นสัญญากับ คริสเตียน คิวู กัปตันทีม อาแจ๊กซ์ และทีมชาติโรมาเนีย ซึ่งถือว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ทีม เพราะในตอนนั้น คิวู ถือเป็นกองหลังดาวรุ่งที่เก่งที่สุดของยุโรป และเขาก็เข้ามาประสานงานกับ วอลเตอร์ ซามูเอล ได้อย่างเข้าขาลงตัวจริงๆ

โรม่า ทำผลงานได้ร้อนแรงในช่วงต้นฤดูกาล เมื่อสามารถเอาชนะคู่แข่งได้มากถึง 7 นัด จาก 10 เกมแรก ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง เซเรีย อา อย่างสุดยอด และยังนำเป็นจ่าฝูงมาตลอด จนกระทั่งถึงเกมที่ 15 ที่เปิดบ้านเจอ มิลาน เกมนั้นต้องยอมรับว่า โรม่า สู้ มิลาน ที่มี อังเดร เชฟเชนโก้ ไม่ได้ ทั้งที่เล่นใน โอลิมปิโก้ รังตัวเอง ก่อนจะพ่ายแพ้ไป 1-2 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา มิลาน ของ คาร์โล อันเชล็อตติ ก็กลายเป็นทีมเทพไร้เทียมทาน ทำผลงานได้อย่างสุดยอด และไม่เคยหล่นจากจ่าฝูงอีกเลยจนจบฤดูกาล ทำให้ โรม่า ได้แค่รองแชมป์โดยมีแต้มตามหลัง มิลาน มากถึง 11 คะแนน ส่วนใน ยูฟ่า คัพ โรม่า เข้าได้ถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยไปพ่ายให้กับ บียาร์เรอัล จากสเปน ด้วยสกอร์รวม 2-3 นับว่าน่าผิดหวังไม่น้อยสำหรับถ้วยนี้ ที่ไม่สามารถเข้าถึงรอบตัดเชือกได้



จุดสูงสุดของ ต๊อตติ? ...............

อย่างไรก็ตาม ผลงานส่วนตัวของ ต๊อตติ ในฤดูกาลนี้ ถือว่าดีที่สุดตั้งแต่เล่นให้ โรม่า มาก็ว่าได้ ฝีเท้าของเขาก้าวสู่ความเป็นผู้เล่นระดับสุดยอดของโลก ด้วยการทำผลงานประสานกับ อันโตนิโอ คาสซาโน่ สร้างความปั่นป่วนให้กับแผงหลังทุกทีมในอิตาลี เขาลงสนาม 31 เกม ซัดไปมากถึง 20 ประตู ซึ่งแต่ละประตูที่ทำได้นั้นงดงามหยดย้อยทั้งสิ้น และหนึ่งในเหยื่อของ ต๊อตติ และ คาสซาโน่ นั้น ก็คือ ยูเวนตุส แชมป์เก่าสคูเด็ตโต้ เมื่อ โรม่า จัดการถลุงทีมม้าลายเละเทะถึง 4-0 ถึงกับทำให้ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมเบียงโคเนรี่ คิดที่จะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลทีเดียว

จบฤดูกาล 2003/04 ต๊อตติ ถูกคาดหวังถึงการเป็นผู้นำทีมชาติอิตาลีลุยศึกยูโร 2004 และหลายคนเชื่อว่า วินาทีนี้คือจุดสูงสุดของ ต๊อตติ ในชีวิตการค้าแข้ง แต่ผมกลับคิดว่ายังแฮะ ผมเชื่อว่ากับวัย 27 ปี ต๊อตติ ยังมีโอกาสเก่งได้มากกว่านี้อีก เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นนักเตะอิตาเลียนที่เก่งที่สุดในเวลานี้ จากการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมอิตาลี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน รวมเป็น 4 สมัยแล้ว ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มากขนาดนี้มาก่อน



ชื่อเสียงความโด่งดังระดับโลก ............

ถึงตรงนี้ ต๊อตติ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวงการฟุตบอลอิตาลีเฉกเช่นเดียวกับที่ เดวิด เบ็คแฮม เป็นของวงการฟุตบอลอังกฤษ ด้วยบุคลิกที่น่าเข้มแข็ง มีพรสวรรค์ในระดับซูเปอร์สตาร์ และการเป็นจุดศูนย์รวมของทีมชาติอิตาลี จากคำชมเชยที่ได้รับจากความสามารถในสนาม และพร้อมหัวเราะไปกับการถูกล้อเลียนเกี่ยวกับการไม่ทันคนด้วยการออกหนังสือรวมเรื่องตลกที่ชื่อว่า “Tutte le Barzellette su Totti” (เรื่องตลกของ ต๊อตติ) ซึ่งขายดิบขายดีจนต้องพิมพ์ซ้ำมากกว่า 10 ครั้ง มียอดขายทะลุมากกว่า 1 ล้านเล่มไปแล้ว (สถิติในปี 2004) และที่สำคัญรายได้ทั้งหมดจะถูกนำเข้าการกุศลอีกด้วย ต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้ถูกบรรจุเป็นหนึ่งในตำราเรียนของนักเรียนระดับประถมต้นในอิตาลี ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติของ ต๊อตติ มากทีเดียว

เขาได้รับการแต่งตั้งจาก UNICEF ให้เป็นทูตกีฬา และได้รับการคัดเลือกจาก เปเล่ ตำนานนักเตะบราซิเลียน ให้เป็นผู้เล่นยิ่งใหญ่ที่สุด 100 คนของโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ (ก่อนที่จะมีการเพิ่มรายชื่อภายหลังเป็น 125 คน) และได้มีโอกาสเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์กีฬาดังระดับโลกอย่าง NIKE ร่วมกับนักเตะอย่าง โรนัลโด้ และ อองรี ในขณะที่วงการน้ำอัดลมชื่อดัง PEPSI ก็ไม่พลาดที่จะคว้าตัวเขาไปร่วมโปรโมตสินค้ากับ เบ็คแฮม, โรนัลดินโญ่, ราอูล และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ในโฆษณาชุดนักรบโรมัน กลาดิเอเตอร์ ซึ่ง ต๊อตติ ภูมิใจมากที่ได้สวมมัน

“ผมเล่าให้เพื่อนนักฟุตบอล PEPSI ด้วยกันฟังถึงตำนานของนักรบโรมัน พวกเขาดูตื่นเต้นมาก และต้องให้ผมสวมชุดแสดงท่าทางก่อน ที่พวกเขาจะลองสวมมัน ผมรู้สึกภูมิใจมากที่นักเตะระดับสุดยอดอย่างพวกเขาให้การยอมรับ พวกเขาเป็นคนดีทั้งในและนอกสนามจริงๆ” ต๊อตติ กล่าวยอเพื่อนร่วมงานทั้ง 4 ด้วยรอยยิ้ม

ทั้งฟอร์มการเล่นอันโดดเด่น ทั้งยอดขายหนังสือ และการปรากฏตัวทางโทรทัศน์เป็นการแสดงให้เห็นว่าความนิยมของ ต๊อตติ ขยายออกจากโรมเมืองที่เขาเปรียบเสมือนเป็นพระเจ้าออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น แม้จะยังไม่ถูกยอมรับในฐานะหมายเลข 10 ของทีมอัซซูรี่อย่างเต็มตัวเท่าไรนักจากบางฝ่ายก็ตาม โดย ต๊อตติ เชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตีอยู่บ่อยครั้งมาจากการเป็นชาวโรมของตัวเขา

“สื่อมวลชนทั้งหมดมาจากทางตอนเหนือ และพวกเขาก็ให้คำจำกัดความคุณโดยที่คุณไม่ได้เป็นอย่างนั้น เช่นว่า มันยากที่จะคว้าแชมป์หากคุณไม่ได้เล่นให้ ยูเวนตุส หรือ เอซี มิลาน ทำให้บางครั้งยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความเคารพในตัวบุคคล ผมเชื่อว่าในอิตาลีมีมุมมองที่ผิดๆ เกี่ยวกับผมอยู่มาก”

ในสนาม ต๊อตติ แสดงให้เห็นความทุ่มเทต่อสู้เพื่อชัยชนะมาเสมอ จากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องเหมือนที่ได้เห็นในเกมที่ขุนพลจัลโล่รอสซี่ไล่ถล่ม ยูเวนตุส 4-0 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และทำคะแนนลุ้นแชมป์สคูเด็ตโต้กับ มิลาน อย่างดุเดือดมาตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา

ฝีเท้าอันเลิศเลอของเพลย์เมกเกอร์หนุ่มผู้นี้ ได้รับการยกย่องจากนักข่าวคนหนึ่งของ คอร์ริเอเร่ เดลโล่ สปอร์ต หนังสือพิมพ์กีฬาชื่อดังของอิตาลีว่า

“ต๊อตติ เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของอิตาลีเวลานี้ และฟอร์มของเขาเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราเข้าร่วมยูโร 2004 ด้วยความมั่นใจ โค้ชของเขาทั้งในสโมสร และทีมชาติ ฟาบิโอ คาเปลโล่ กับ โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ ได้ให้ความเชื่อใจในตัวเขา และเขาก็กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเล่น ซัมเมอร์นี้จะเป็นโอกาสของเขา”

บ่ายของเดือนกุมภาพันธ์ในวันที่สภาพอากาศเย็น ก่อนเกมกระชับมิตรกับ สาธารณรัฐเช็ก จะมาถึง ต๊อตติ ในชุดวอร์มสีน้ำเงินของทีมชาติอิตาลีที่รูดซิปมาจนถึงคาง สวมรองเท้าผ้าใบที่ผูกเชือกไม่เรียบร้อย และผมที่ถูกปล่อยยาวปะบ่า เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาระหว่างพูดคุยอยู่บนเก้าอี้เก่าๆ เหมือนเป็นการแสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของชายที่ชื่อ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ

“ฤดูกาลนี้ผมมีการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมี” ราชาหมาป่ากล่าวถึงผลงานของตัวเอง

“ผมยังคงคิดว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเล่นของผมยังสามารถพัฒนาขึ้นมาได้อีก ตอนนี้ผมอายุ 27 และนักฟุตบอลส่วนใหญ่จะขึ้นสู่ระดับสูงสุดในอายุราว 29 หรือ 30 ปี แต่ผมก็คิดว่าวงการฟุตบอลจะตกอยู่ภายใต้ความตื่นเต้นระหว่างศึกยูโร 2004 มันเป็นโอกาสที่ผมจะแสดงผลงานออกมา”



ต๊อตติ กับข่าวลือเรื่องการย้ายทีม .............

ฤดูร้อนปี 2004 ต๊อตติ จะต้องนำทีมชาติอิตาลี เดินทางสู่โปรตุเกส ด้วยความคาดหวังที่จะต้องประสบความสำเร็จสูงขึ้นกว่าเมื่อ 2 ปีก่อน

“ด้านจิตใจ ในตอนนี้ผมกลายเป็นคนใหม่แล้ว ผมประสบปัญหาพอสมควรหลังจบเวิลด์ คัพ และทำให้ผมต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อกลับมา ผมได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทีม และเราก็ได้เคลียร์ข้อข้องใจหลายๆ อย่างที่มีอยู่จนหมดไป”

“ผมพร้อมแล้วที่จะรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง และช่วย อิตาลี คว้าแชมป์ในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอิตาลี นับเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศ และผมก็คิดว่าเราสามารถคว้าแชมป์ยูโร 2004 เรามีทีมที่ยอดเยี่ยม และผมก็ฝันที่จะมีโอกาสชูถ้วยแชมป์ด้วยมือ 2 ข้างนี้”

แม้จะเป็นนักเตะเบอร์ 1 ของทีม แต่ก็มีคำวิจารณ์อยู่บ้างว่า ต๊อตติ ยังไม่อาจทำผลงานได้ดีในยามที่ต้องลงเล่นในเกมสำคัญ ความผิดพลาดในศึกฟุตบอลโลกที่ เกาหลีใต้ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่หลายคนจดจำได้ดี รวมถึงการโดนไล่ออกในรอบ 2 ของศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ อาร์เซน่อล ที่ไปเสียท่าให้มารยาของ มาร์ติน คีโอว์น ในฤดูกาลที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนหลายคนจะเจตนาทำเป็นลืมผลงานในศึกยูโร 2000 และฟอร์มที่น่าประทับใจในชัยชนะ 3-0 เหนือ บาเลนเซีย รวมถึงการทำ 2 ประตู ใน 2 เกมที่พบ เรอัล มาดริด ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลเดียวกันไปอย่างสิ้นเชิง มองแต่ด้านแย่ ด้านดีไม่มอง ประมาณนั้น

เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าการที่ โรม่า ไม่ประสบความสำเร็จในถ้วยสโมสรอันดับหนึ่งของทวีปยุโรป ส่งผลกระทบกับสถานะของ ต๊อตติ ในเวทีลูกหนังโลก จนทำให้ได้รับเสียงโหวตเพียง 3 คะแนนในการคัดเลือกนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป หรือ บัลลง ดอร์ ของนิตยสารฟร้องซ์ ฟุตบอล เมื่อปีก่อน แม้ว่าสื่อบางส่วนจะยอมรับว่าเขาสมควรจะได้รับรางวัลนี้ก็ตาม เรื่องนี้เล่นเอา คุณเอกราช เก่งทุกทาง นักพากย์ฟุตบอลอันดับ 1 ของไทยในปัจจุบันถึงกับงงกับคะแนนที่ ต๊อตติ ได้รับในปีนั้น เพราะเขาติดตามดูฟอร์มใน กัลโช่ มาต่อเนื่อง และเชื่อว่าฝีเท้าของ ต๊อตติ นั้นไม่เป็นสองรองใครในโลก

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ ต้องออกมาเชียร์ให้ ต๊อตติ ย้ายออกจากถิ่น โอลิมปิโก้ ไปสู่ทีมระดับโลกอื่นๆ เพื่อพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง โดยมองข้ามความจงรักภักดีที่ ต๊อตติ มีให้ โรม่า ไป

“เขาเป็นคนที่ดูซื่อๆ และเป็นชาวโรมันขนานแท้ ผมอยากเห็นเขาลงเล่นให้ทีมอื่น การเล่นกับ โรม่า สำหรับเขามันเป็นเรื่องง่ายมาก ที่นั่นไม่มีความท้าทายใดๆ เหลืออยู่อีกแล้ว และเขาก็จำเป็นต้องตอกย้ำให้เห็นถึงพรสวรรค์ของตัวเองสำหรับทีมชาติอิตาลี” พลาตินี่ กล่าวอย่างไม่เกรงใจแฟนบอลหมาป่า

คำพูดของอดีตจอมทัพ ยูเวนตุส อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ศึกยูโร 2004 มีความสำคัญมากสำหรับ ต๊อตติ

“ผมเคยได้ยินที่ พลาตินี่ ให้สัมภาษณ์ถึงผมในการก้าวไปสู่นักเตะระดับชาติ มันเป็นเรื่องน่ายินดีเสมอที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม ไม่ได้เพียงแค่ประเทศของคุณ แต่รวมไปถึงทั่วโลก แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาผู้เล่นคนอื่นๆ อะไรที่ เดวิด เบ็คแฮม แตกต่างจากที่ผมมีล่ะ? ไม่มีเลยใช่ไหม ผมอาศัยอยู่ในเมืองที่ดีที่สุดในโลก ผมมีแฟนสาวที่น่ารัก ผมได้เล่นให้ทีมที่ตัวเองติดตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก แค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว”

เจ้าของรางวัล บัลลง ดอร์ ในขณะนั้น พาเวล เนดเวด และ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ กัปตันทีมชาติอิตาลี ต่างพร้อมใจออกมายกย่องว่า ต๊อตติ สมควรที่จะได้รับรางวัลดังกล่าวในปีหน้า ขณะที่ โรนัลโด้ ยอดดาวยิงทีมชาติบราซิลของ เรอัล มาดริด ซึ่งเคยคว้ารางวัลนี้ในปี 1997 และ 2002 กล่าวถึงเพลย์เมกเกอร์ผู้นี้ว่า “ถ้าหาก ต๊อตติ รักษาฟอร์มการเล่นของเขาตอนนี้เอาไว้ เขาจะต้องได้รับรางวัลแน่นอน”

จากการประสบปัญหาทางการเงินของ โรม่า ทำให้ฤดูกาลนี้มีข่าวลือออกมาอยู่ตลอดว่า ต๊อตติ จะต้องถูกขายออกไปเพื่อพยุงสโมสรเอาไว้ และ เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งถูกตอกย้ำด้วยการให้สัมภาษณ์ของ ฮอร์เก้ บัลดาโน่ ผู้อำนวยการกีฬา ที่เคยให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานนี้ว่า

“ต๊อตติ ถอดแบบการเล่นมาจาก ซีดาน เขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม แต่มีการขึ้นเติมเกมรุกที่มากกว่า ซีดาน ราว 10 เมตร ทั้งคู่สามารถเล่นในทีมเดียวกัน มันคงจะเป็นความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นมากทีเดียว”

สื่อแดนกระทิงดุเคยรายงานข่าวว่าผู้บริหารราชันชุดขาว ได้ทำการตกลงสัญญากับ ต๊อตติ ล่วงหน้า โดยไม่ว่าผลงานในศึกยูโร 2004 จะออกมาอย่างไรเขาจะต้องย้ายมาสู่ ซานติอาโก เบอร์นาบิว ทำให้กัปตันทีม โรม่า ต้องออกมาเบรกเรื่องนี้ แม้จะไม่ปฏิเสธเสียทีเดียวก็ตาม

“ผมไม่อาจบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของตัวเอง ผมจะได้เล่นกับ โรม่า ต่อไปหรือไม่ ในอดีตผมอาจจะเคยพูดว่า “ผมจะอยู่ที่นี่ตลอดไป” แต่ตอนนี้ผมไม่อาจมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อีกแล้ว ผมได้เรียนรู้ว่าไม่ควรจะพูดคำว่า “ไม่มีทาง” ความหวังของผมคือการสิ้นสุดการเล่นให้ทีมรัก และตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่ความหวังเท่านั้น”

ถ้าหาก ต๊อตติ ย้ายออกไปกรุงโรมจะต้องปกคลุมไปด้วยความเศร้า สถานีวิทยุท้องถิ่น 23 แห่ง และสถานีโทรทัศน์อีก 9 ช่อง จะต้องประสบปัญหาในการหาข่าวมานำเสนอแก่ประชาชน โดย แว็งซ็องต์ ก็องเดอล่า มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศส ยอมรับว่านักเตะจัลโล่รอสซี่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายเมื่อความสนใจทั้งหมดตกอยู่กับเจ้าของเสื้อเบอร์ 10 มาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

“จะมีคนกลุ่มใหญ่คอยติดตามเขาไม่ว่าจะไปที่ไหน การเล่นที่โรมมีความยากลำบากมากพออยู่แล้วทั้งแฟนบอล ความกดดัน และอีกหลายสิ่งที่ไม่เชื่อ การที่เป็นเลือดเนื้อชาวโรมันยิ่งทำให้เขาไม่มีโอกาสหยุดพักหายใจ และตำแหน่งการเล่นในสนามของเขาก็ยิ่งทำให้ตกเป็นเป้ามากขึ้นไปอีก” ก็องเดอล่า กล่าว



ความมั่นใจก่อนทำศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส ..............

กลับมาพูดถึงเรื่องทีมชาติ ต๊อตติ นั้นมีเหตุผลที่จะเข้าร่วมศึกยูโร 2004 ด้วยความมั่นใจ

“นับจากเวิลด์ คัพ ที่ผ่านมา เรายังคงมีแผงหลังที่แข็งแกร่งที่นำโดย ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ อเลสซานโดร เนสต้า หน้าปากประตูเรามีนายทวารที่ดีที่สุดของโลก จานลุยจิ บุฟฟ่อน ทำหน้าที่อยู่ ข้อแตกต่างที่สำคัญตอนนี้คือเรามีเปิดเกมรุกมากขึ้น วงการฟุตบอลอิตาเลียนยุคนี้ทำให้เรามีกองหน้าชั้นยอดอยู่มากมายทั้ง วิเอรี่, อินซากี้, เดล ปิเอโร่, คาสซาโน่, ดิ วาโญ่, คอร์ราดี้, บาซซานี่, มิคโคลี่, มอนเตลล่า, เดลเว็คคิโอ...ผมคิดว่าคงพอแล้วนะ หรือคุณว่าไง?”

เวลานี้เกือบจะแน่นอนแล้วว่า วิเอรี่, ต๊อตติ และ เดล ปิเอโร่ จะได้ลงเล่นพร้อมกันในเกมแรกของศึกยูโร 2004 กับ เดนมาร์ก ซึ่งจะช่วยให้ทัพอัซซูรี่มีความน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก

“เมื่อมีพวกเขาทั้ง 3 คนอยู่ในทีม เราสามารถมีความหวังสำหรับการเล่นที่โปรตุเกส” ตราปัตโตนี่ กล่าวยกย่องลูกทีม

“เมื่อเรามีแชมเปี้ยนเหล่านี้อยู่ในทีมด้วยสภาพที่สมบูรณ์พร้อม พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเรา และช่วยให้ทีมชนะในเกมสำคัญ”

ก่อนหน้านี้ ในศึกยูโร 2000 วิเอรี่ ต้องพลาดโอกาสร่วมทีมจากปัญหาอาการบาดเจ็บ และสถิติที่ผ่านมา 3 ประสานกลุ่มนี้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงพร้อมกันเพียง 4 เกมเท่านั้น นับตั้งแต่นัดแรกในเกมกับ สวีเดน เมื่อปี 1998 แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นความยอดเยี่ยมออกมาในชัยชนะ 1-0 กับ เยอรมัน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และอีกครั้งในเกมเสมอ สาธารณรัฐเช็ก 2-2

คู่แข่งทั้งสองทีมถือเป็นกระดูกชิ้นโตสำหรับทัวร์นาเมนต์ในซัมเมอร์นี้จากความเห็นของ ต๊อตติ

“ทั้งสองทีมถือเป็นตัวเต็งสำหรับผมหากไม่นับ อิตาลี แน่นอนว่ายังมีฝรั่งเศสรวมอยู่ด้วย หากคุณได้เห็นสถิติการเล่นในรอบคัดเลือกของพวกเขาก็จะเห็นได้ว่าเหนือชั้นขนาดไหน ฝรั่งเศส เคยคว้าแชมป์โลกปี 1998 และแชมป์ยูโร 2000 แต่ครั้งนี้จะเป็นงานที่หนักขึ้นสำหรับพวกเขาที่จะป้องกันแชมป์ หลังจากศึกฟุตบอลโลก 2002 ความกดดันของพวกเขายังคงสูงอยู่”

“ผมยังรู้สึกว่า สเวน โกรัน อีริคส์สัน กับทีมชาติอังกฤษของเขา และ ฮอลแลนด์ จะเป็นทีมที่ยากจะเอาชนะ แม้ว่าพวกเขาจะประสบความยากลำบากในรอบคัดเลือก แต่ก็มีทีมที่ดีอยู่ แต่ผมก็ไม่กังวลกับทีมอื่นๆ ที่เราต้องเจอ มันไม่สำคัญเลยเพราะไม่ช้าก็เร็วเราจะต้องพบทีมที่แข็งแกร่งที่สุด ความหวังของผมอยู่ที่เราเดินลงสู่สนามทุกเกมด้วยความเชื่อมั่นว่าจะต้องเอาชนะ มันเป็นสิ่งสำคัญหากเราต้องการทุ่มเทอย่างเต็มที่ เราควรจะเชื่อมั่นในตัวเองไว้ก่อน”

นอกจาก เดนมาร์ก คู่แข่งในกลุ่มซี ของ อิตาลี ยังมี สวีเดน และ บัลแกเรีย 2 ทีมระดับกลางของทวีปที่ไม่อาจจะประมาทได้เลย

“ทุกทีมมีความอันตราย” ต๊อตติ ยอมรับ

“เรารู้จักทีมจากสแกนดิเนเวียเป็นอย่างดี พวกเขาเป็นทีมที่แข็งแกร่ง บัลแกเรีย มีโอกาสจะสร้างเซอร์ไพรส์เช่นกัน โดยเฉพาะถ้าพวกเขาเลือก วาเลรี่ โบยินอฟ (กองหน้าวัย 18 ปีของ เลชเช่ ในขณะนั้น) ร่วมทีมไปด้วย ผมประทับใจการเล่นของเขามาก และเป็นนักเตะที่ต้องจับตามองในอนาคต”

สุดท้าย ต๊อตติ ในวัย 27 ปี ตั้งเป้าหมายที่จะมีโอกาสแสดงให้เห็นพรสวรรค์ในการเล่น 6 เกม ที่โปรตุเกส เพื่อให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าเขาสามารถพา อิตาลี ประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์สำคัญระดับศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้

“ผมต้องการทะลุขึ้นมาสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับชาติ และเป็น บันดิเอร่า (สัญลักษณ์ของทีม) สำหรับทีมชาติอิตาลีเหมือนที่ผมเป็นกับ โรม่า ผมรู้ว่าตัวเองมีทักษะมากพอที่จะทำ สิ่งเดียวที่ผมขาดไปคือถ้วยรางวัล และอิตาลีมีโอกาสจะทำสำเร็จในครั้งนี้” จอมทัพหมายเลขหนึ่งของทัพอัซซูรี่ ประกาศจองถ้วยอองรี เดอโลเนย์ ล่วงหน้า



จุดตกต่ำที่สุดในชีวิต เมื่อถูกแบนเพราะไปถ่มน้ำลายใส่ โพลเซ่น ...............

ความกดดันทั้งมวลที่สื่อมวลชน และแฟนบอลโถมกระหน่ำเข้าใส่ ต๊อตติ เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เมื่อราชาหมาป่าคนปัจจุบันแสดงความมั่นใจมาโดยตลอด เกี่ยวกับศักยภาพของอิตาลีในการคว้าแชมป์ที่โปรตุเกส และถ้ามองกันโดยรวมทั้งตัวผู้เล่น บวกกับบารมีเทรนเนอร์ แน่นอนว่า อิตาลี ยังคงเป็นทีมชั้นนำของยุโรปที่คู่แข่งเกรงขามเสมอ

เกมนัดแรกของ อิตาลี ที่พบกับ เดนมาร์ค ตราปัตโตนี่ ใช้แนวรุกที่ดีที่สุด วิเอรี่, ต๊อตติ และ เดล ปิเอโร่ ลงเล่นพร้อมกัน เพื่อเน้นเกมรุก หวังจะเอาประตูให้ได้เร็วที่สุด แต่วันนั้นเกมรับเดนมาร์คเหนียวแน่นมาก โดยเฉพาะนายทวาร โธมัส โซเรนเซ่น เล่นได้อย่างกับผีเข้า เซฟลูกยิงของผู้เล่นอิตาลีมากมายนับไม่ถ้วน หนึ่งในจำนวนนั้นคือลูกฟรีคิกอันหนักหน่วงของ ต๊อตติ ซึ่งเกมนี้ได้โอกาสยิงไม่มาก เนื่องจากถูก คริสเตียน โพสเซ่น ประกบตลอดทั้งเกม สุดท้ายเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ท่ามกลางความหวาดวิตกของแฟนบอลอัซซูรี่ เพราะอีกสนามหนึ่งในกลุ่มเดียวกัน สวีเดน ไล่ต้อน บัลแกเรีย ยับเยินถึง 5-0 และเกมนัดต่อไป อิตาลี ต้องไปเจอ สวีเดน ที่ร้อนแรงนี่ด้วยสิ

และแล้วหลังจบเกมวันนั้น ข่าวช็อกของวงการฟุตบอลยุโรปได้เกิดขึ้น เมื่อสื่อ เดนมาร์ค ได้ตีพิมพ์ภาพถ่าย เป็นรูปของ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของ อิตาลี ถ่มน้ำลายใส่หน้า คริสเตียน โพลเซ่นได้อย่างชัดเจน การกระทำที่น่ารังเกียจของ ต๊อตติ เช่นนี้ทำให้ ยูฟ่า ตัดสินใจสั่งลงโทษ ต๊อตติ ทันที ด้วยการแบน 3 นัด ยังผลให้เขาหมดโอกาสลงเล่น 2 เกมที่เหลือในรอบแรก กับ สวีเดน และ บัลแกเรีย รวมไปถึงเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ถ้า อิตาลี ได้เข้ารอบ

การถ่มน้ำลายใส่เพื่อนร่วมอาชีพนั้น ผมเองก็รับไม่ได้ครับ และเห็นด้วยว่า ต๊อตติ สมควรถูกลงโทษกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเขาเท่านั้น แต่มีผลไปถึงทีมชาติอิตาลี ที่เขาเป็นผู้เล่นอันดับ 1 ที่ทุกคนตั้งความหวังไว้ แม้ทุกคนจะทราบดีว่า ต๊อตติ ถูก โพลเซ่น เตะ และยั่วยุ ทั้งเกม แต่การที่ผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์อย่างเขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่แบบนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ

การถ่มน้ำลายใส่คู่แข่งในเกมฟุตบอลไม่ใช่เพิ่งจะมีครั้งแรก แต่มีมาแล้วหลายครั้ง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เคยถ่มน้ำลายใส่ รูดี้ โฟลเลอร์ ตอนฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี ซินิซ่า มิไฮโลวิช เคยถ่มน้ำลายใส่ อาเดรียน มูตู ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2003/04 อเล็กซานเดอร์ ฟราย ที่เพิ่งถ่มน้ำลายใส่ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ในทัวร์นาเมนต์เดียวกัน หรือแม้กระทั่งนักเตะมาดดีอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ยังเคยถ่มใส่ ดูด้า นักเตะมาลาก้า ในปี 2008 แต่ไม่มีใครถูกพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่า ต๊อตติ เพราะนอกจากการที่เขาคือซูเปอร์สตาร์ที่ดังมากๆ นี่ยังเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่เจ้าตัวถูกจับตามองสูง ไม่ใช่เกมลีกทั่วๆไปที่ลืมกันง่าย สุดท้ายเขาโดนถล่มอย่างหนักจากทุกสำนักตามคาด หลัง อิตาลี ไปไม่รอด ร่วงตกรอบแรกทั้งๆที่ไม่เคยแพ้ใคร

2 เกมที่เหลือในรอบแรก คาสซาโน่ ถูกส่งลงไปเป็นตัวตายตัวแทนของ ต๊อตติ โดยที่ อิตาลี ถูก สวีเดน ตีเสมอ 1-1 จากลูกมหัศจรรย์ของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในช่วง 5 นาทีสุดท้าย ทั้งที่ขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ครึ่งแรก และเกมที่สอง พวกเขาเอาชนะบัลแกเรียได้ 2-1 แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ เพราะ สวีเดน และ เดนมาร์ก ดันไปเสมอกันด้วยสกอร์ต้องห้าม 2-2 เหมือนล็อกสกอร์ไว้ แต่มันก็คือความจริง เวลานี้ ต๊อตติ อยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดในชีวิต เขาแทบไม่อยากเจอหน้าใคร เพื่อนร่วมทีมได้แต่ปลอบใจ ต๊อตติ รวมทั้ง ตราปัตโตนี่ ทั้งๆที่ชะตาตัวเองกำลังจะขาดเพราะลูกรักแท้ๆ

“ฟรานเชสโก้ เสียใจมากกับการกระทำที่เขาทำลงไป”

“เวลานี้ เขารู้สึกว่าตัวเองผิดมหันต์ และเขาคงต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพจิตใจซักระยะ ตอนนี้คงยังให้สัมภาษณ์ไม่ได้”

“แน่นอนว่าผมผิดหวังที่เราต้องตกรอบโดยไม่มีเขา แต่เขาเปรียบเสมือนลูกชายของผม เมื่อลูกคุณได้มาขอโทษจากสิ่งที่ทำผิดไป คนเป็นพ่อไม่สามารถจะปฏิเสธการให้อภัยได้ พวกคุณก็คงคิดเช่นนั้น” อิล แทร็ป กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เขากล้าพูดอย่างไม่อายใครว่าเห็น ต๊อตติ เป็นลูกรักอย่างที่สื่อมวลชนว่าไว้จริงๆ.....

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเป็นต้นมา ต๊อตติ ก็ได้รับความเข้าใจจากสื่อมวลชน และแฟนบอลหลายฝ่ายมากขึ้น เมื่อ คริสเตียน โพลเซ่น ได้แสดงพฤติกรรมหลายอย่างออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการไล่เตะ กาก้า ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ในเกมที่ ชาลเก้ ต้นสังกัดของเขาไปเยือน มิลาน จนถูก ดาวเตะบราซิเลียน รวมถึง คาร์โล อันเชล็อตติ ด่ากราดหลังจบเกมอย่างไม่ไว้หน้า รวมถึงการโดนเยาะเย้ยอย่างโจ่งแจ้งหลังจบเกมของ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เท่านั้นยังไม่พอ โพลเซ่น ยังไปถูก โยฮัน มิกูด์ บีบอวัยวะเพศ ในเกมที่ ชาลเก้ พบกับ เบรเมน ในบุนเดสลีก้า จนทำให้มิดฟิลด์จอมเทคนิคโดนแบนไป 3 นัด ไม่รู้ไปทำอะไรให้ มิกูด์ ยัวะขนาดนั้น

มันแปลกๆนะคนนี้ โดนเล่นงานอยู่หลายครั้ง กลัวจะน้อยหน้า มาดูตอนหาเรื่องชาวบ้านมั่ง เด็ดสุดๆต้องเป็นวีรกรรมตุ้ยท้อง มาร์คุส โรเซนเบิร์ก ใน ยูโร 2008 รอบคัดเลือกกับสวีเดน จนถูกไล่ออก ผลที่ตามมาคือแฟนบอลอาละวาดและเกมต้องถูกยกเลิก เดนมาร์ค โดนปรับแพ้ 0-3 ส่วน โพลเซ่น ต้นเหตุโดนแบน-ปรับกระจายเช่นกัน เรื่องอื้อฉาวเยอะครับ สงสัยที่ ต๊อตติ ไปพ่นน้ำลายใส่ โพลเซ่น อาจทำอะไรที่ ต๊อตติ รับไม่ได้ขึ้นมาก็เป็นได้ ก็เหมือนที่ ซีดาน เกิดบันดาลโทสะ ใช้หัวโขก มาร์โก มาเตรัซซี่ ในฟุตบอลโลกปี 2006 ไง แต่ทำไมไม่ยักเห็นมีใครเข้าใจ ต๊อตติ บ้างเลยแฮะ ........



ความหายนะเริ่มมาเยือน เมื่อ คาเปลโล่ ทรยศ โรม่า ............

หลังจบศึกยูโร 2004 ต๊อตติ ได้กำลังใจจากครอบครัว และแฟนสาว อิลารี่ บลาซี่ ตลอดการเดินทางจากโปรตุเกส กลับกรุงโรม และในส่วนของต้นสังกัด ฟรังโก้ เซนซี่ ประธานสโมสร รุดเข้าไปหา ต๊อตติ ถึงบ้านพัก เพื่อให้กำลังใจเช่นกัน แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสำหรับแฟนบอลทีมหมาป่าก็เกิดขึ้น เมื่อ ฟาบิโอ คาเปลโล่ เทรนเนอร์ของทีม ตัดสินใจลาออก เพื่อไปคุม ยูเวนตุส ทีมคู่แข่งแบบสายฟ้าแลบ มันเป็นกระทำที่ไม่มีแฟนบอล โรม่า คนไหนรับได้ มันกะทันหันแบบที่ตั้งรับไม่ทัน ย้ายไปคุมทีมไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ ยูเว่ หรือ ลาซิโอ แต่ คาเปลโล่ ไม่สนใจ เพราะเขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรกับ โรม่า อีกต่อไป (ผมว่าเพราะไม่มีเงินให้ใช้ ถ้ามีเงินให้ถลุงก็ไม่ไปครับ)

แฟนบอล โรม่า ส่วนใหญ่เชื่อว่า คาเปลโล่ มีส่วนในการย้ายทีมของ วอลเตอร์ ซามูเอล และ เอเมอร์สัน หลังจากนั้นไม่นาน อีกทั้งยังเชื่อว่าเขามีส่วนรู้เห็นกับการซื้อขายแบบผิดกฎของ ฟิลิปป์ เม็กแซส ที่ทำให้ โรม่า ถูกลงโทษจาก ฟีฟ่า ในเวลาต่อมา เสียงยกย่องสรรเสริญจากการพาทีมคว้าสคูเด็ตโต้ กลายเป็นเสียงสาปแช่ง และอาฆาตแค้นไปเสียแล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นมา หาก คาเปลโล่ เดินทางมายังกรุงโรม เพื่อมาพบทันตแพทย์ส่วนตัว ยังต้องมี บอดี้การ์ด ตามมาอารักขาด้วย เพราะเขารู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่าทำสิ่งที่แฟนหมาป่าให้อภัยไม่ได้นั่นเอง

ทางฝั่ง โรม่า ที่ยังช็อคไม่หาย พวกเขาเสียทั้งเทรนเนอร์ฝีมือดี และ 2 นักเตะชุดแชมป์อย่าง ซามูเอล และ เอเมอร์สัน โดยเฉพาะรายหลังนั้น ถึงกับประกาศว่าจะหนีกลับไปอยู่ บราซิล โดยไม่ขอลงเล่นทั้งฤดูกาล หาก โรม่า ไม่ยอมให้ย้ายไปทีมคู่แข่งอย่าง ยูเวนตุส นี่หรือคือการตอบแทนสำหรับการไว้เนื้อเชื่อใจของแฟนบอลที่มีให้เขา สุดท้าย โรม่า จำยอมต้องปล่อย เอเมอร์สัน ไปให้ ยูเว่ จนได้ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ผมเกลียดที่สุดตั้งแต่ดูฟุตบอลมา

“มันน่าผิดหวังมากกับกรณีของ คาเปลโล่ เขาไม่เคยบอกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย เมื่อเดือนก่อนเขายังพูดถึงเรื่องแผนการในฤดูกาลหน้าอยู่แท้ๆ ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นคนปลิ้นปล้อนแบบนี้” ต๊อตติ กล่าวถึงอดีตเทรนเนอร์อย่างมีอารมณ์

“ส่วน เอเมอร์สัน เขาเคยบอกว่ารัก โรม่า สุดหัวใจ ผมคงไม่แปลกใจถ้าเขาจะพูดคำนี้อีกกับ ยูเวนตุส ในเดือนหน้า เขาเป็นคนสับปลับ เชื่อถือไม่ได้ ผมคงจะปัดมือเขาออกไป เมื่อเขายื่นมือมาทักทายในสีเสื้อ ยูเวนตุส” กัปตันหมาป่ากล่าวเพิ่มโดยคำพูดนี้เหมือนเป็นการตัดเพื่อนกับมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลอย่างสิ้นเชิง



กรุงโรมปั่นป่วน กับการเปลี่ยนเทรนเนอร์เป็นว่าเล่น ............

จากนั้นโรม่าได้เข้าทาบทาม เชซาเร่ ปรันเดลลี่ ที่มีผลงานโดดเด่น สามารถพา ปาร์ม่า ที่ดูเหมือนจะไร้อนาคตไปแล้ว คว้าอันดับ 5 ได้อย่างน่าชื่นชม แต่กลับกลายเป็นว่า ปรันเดลลี่ กลายเป็นกุนซือประวัติศาสตร์ของทีมที่ยังไม่เคยคุมทีมลงเล่นเลยแม้แต่เกมเดียว และลาออกไปอย่างงงกันทุกฝ่าย เมื่อเขาปฏิเสธจะคุมทีมไปทำศึก World Series ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าต้องกลับไปดูแลภรรยาที่ป่วยหนักอย่างใกล้ชิด ตัวเลือกที่ดีที่สุดหายไป ลุยจิ เดล เนรี่ เองก็ไปคุม ปอร์โต้ เรียบร้อยแล้ว คราวนี้เอาไงดี

โรม่า เหมือนถึงทางตัน มองไปทุกทิศมีอยู่คนเดียวที่อยู่ตรงหน้าคือ ตำนานของทีมอย่าง รูดี้ โฟลเลอร์ เขาเคยลงเล่นให้ โรม่า ในช่วงปี 1987-1992 เขามีผลงานที่น่าสนใจคือการพาทีมชาติเยอรมัน ล้มทีมจอมโกงอย่าง เกาหลีใต้ ได้สำเร็จ ก่อนจะพาทีมอินทรีเหล็กเข้ารอบชิงดวลกับ บราซิล แม้ว่าจบเกมจะได้แค่รองแชมป์ แต่ โฟลเลอร์ ได้รับเครดิตจากสื่อมวลชน และแฟนบอลเยอรมันล้มหลาม และเมื่อสโมสรสุดรักอย่าง โรม่า ติดต่อทาบทามให้เขามาคุมทีม โฟลเลอร์ ไม่ลังเลที่จะย้ายกลับมาพำนักในกรุงโรม หลังช่วงเวลาอันมีความสุข กับการนั่งชมเกมที่ ไบอารีน่า ในฐานะผู้อำนวยการฟุตบอลของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น

“ผมตัดสินใจคุม โรม่า โดยใช้หัวใจมากกว่าสมอง มันเป็นความตื่นเต้นที่จะได้พบกับแฟนบอลที่ผมรักอีกครั้ง ข้อเสนอของ โรม่า นี้ ผมไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อ โรม่า ต้องการความช่วยเหลือจากผม ผมต้องมา” โฟลเลอร์ กล่าวหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือคนใหม่ของทีมหมาป่า ด้วยสัญญาระยะสั้นเพียง 1 ปี ท่ามกลางความดีใจของ ต๊อตติ ผู้ที่ชื่นชอบในตัว โฟลเลอร์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว



ฟอร์มการเล่นอันสุดแสนเลวร้ายของทีมหมาป่า ...............

แต่แล้วอะไรๆที่มันดูเหมือนจะง่าย แต่กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดแรก กับ ดินาโม เคียฟ ถูกยกเลิกตอนพักครึ่ง หลังผู้ตัดสิน อันเดอร์ส ฟริสค์ ที่ไล่ ฟิลิปป์ เม็กแซส ออก ถูกแฟนบอลถ่อยคนหนึ่งของทีมหมาป่าขว้างเหรียญลงมาถูกศีรษะ เขารับไม่ได้ และสั่งยกเลิกเกมนั้นทันที หลังจากวันนั้นไม่นาน โรม่า ถูก ยูฟ่า ปรับให้แพ้ 0-3 และโดนลงโทษ ห้ามให้แฟนบอลเข้าสนาม 3 นัด จากนั้นไม่นาน โรม่า ก็ต้องตกรอบไปอย่างชอกช้ำ มีการกล่าวถึงเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เลเวอร์คูเซ่น ที่สื่อเยอรมันไม่พอใจการกระทำของ ต๊อตติ ที่ดูเหมือนจะเจตนาจงใจย่ำตัว คาร์สเท่น ราเมโลว์ แบบน่าเกลียดหลังจากนั้น

“ผมเสียใจนะ กับเรื่องของ ราเมโลว์ แต่จังหวะนั้นทุกคนก็เห็นว่าเขาพุ่งเสียบผมยังไง ผมก็แค่กระโดดหลบเขาเท่านั้น บังเอิญจริงๆที่เขาดันเสียบผมซะลึกจนน่าเกลียด เลยทำให้ผมไปอยู่กลางลำตัวเขาพอดี” ต๊อตติ พูดพลางชี้ให้สื่อมวลชนดูภาพช้า “ผมว่านี่มันยังน้อยไป กับการเข้าเสียบแบบไม่สนใจใครแบบนั้น”

เรื่องราวหายนะของ โรม่า ยังคงมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อ โฟลเลอร์ มีปัญหากับ คาสซาโน่ ลูกทีมตัวแสบในสนามซ้อม โดยศูนย์หน้าดาวรุ่งทีมชาติอิตาลีเดินออกจากสนามซ้อมดื้อๆ หลังจาก โฟลเลอร์ สั่งให้เขาเล่นในทีมชุดสอง เพื่อทดสอบระบบทีม จนถึงกับต้องมาคุยเป็นการส่วนตัวอยู่นาน เมื่อผลงานของทีมไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ สุดท้ายกลายเป็น โฟลเลอร์ เอง ที่ต้องมาซวยรับกรรมกับผลงานของทีมไปด้วย เพียงแค่นัดที่ 4 ของฤดูกาล หลังพ่ายแพ้ต่อ โบโลญญ่า 1-3 เขาตัดสินใจยื่นใบลาออกหลังจากรับตำแหน่งได้เพียง 26 วันเท่านั้น

มันเป็นเรื่องเศร้าจริงๆกับตำนานของทีม กับฮีโร่ที่ ต๊อตติ ชื่นชอบเสมอมา ช่วงเวลานั้นมีอะไรต่อมิอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ตัวของ ต๊อตติ เองตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์อันยาวนานนับ 10 ปีกับ NIKE หลังจากหมดสัญญา เพื่อไปสวมรองเท้าคู่ใหม่ยี่ห้อ DIADORA ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของอิตาลีเอง โดยรองเท้าคู่ใหม่ของ ต๊อตติ เป็นแบรนด์ของเขาเอง ไม่ซ้ำกับใคร มีชื่อว่า TOTTI 10 PRO

เทรนเนอร์คนที่สามในฤดูกาล 2004/05 ของ โรม่า กลับกลายเป็น ลุยจิ เดล เนรี่ หน้าตาเฉย หลังจากเขาถูก ปอร์โต้ ปลด ด้วยเหตุผลประหลาดเพราะไปพักร้อนนานเกินกำหนด แฟนบอลหมาป่าเชื่อว่าคนๆนี้แหล่ะ ที่จะพา โรม่า พ้นจากความวิกฤตได้ แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น ที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้ โรม่า ทำผลงานได้น่าประทับใจแค่ 3 เกมเท่านั้น ในเกมไล่ตีเสมออินเตอร์ 3-3 และเกมที่ถล่ม กายารี่ กับ ปาร์ม่า ด้วยสกอร์เดียวกัน 5-1 ต๊อตติ เองเป็นตัวหลักในทีมตลอด เขายิงประตูที่ 107 ในเกมกับ ปาร์ม่า ทำสถิติแซงหน้า โรแบร์โต้ ปรุซโซ่ ในการเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของทีมหมาป่า แต่หลังจากนั้น โรม่า กลับแพ้ให้กับคู่แข่งหมายเลข 1 อย่าง ลาซิโอ ยับเยินถึง 3-1 ทำให้ประธาน เซนซี่ ถึงกับโกรธจัดกับเหตุการณ์วันนั้น

“เราไม่ได้แพ้ให้ ลาซิโอ มานานหลายปีแล้ว ผมจำไม่ได้แล้วว่าเราแพ้ครั้งล่าสุดตอนไหน บอกตามตรงว่าผมโกรธมาก ที่เราสู้ทีมที่เคยแพ้ทางเรามาตลอดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมๆนี้คือ ลาซิโอ” เซนซี่ กล่าว



จาก HERO สู่ ZERO? ................

หลังจาก โรม่า แพ้ติดต่อกัน 3 นัด โดยเป็นความพ่ายแพ้ 4 จาก 5 นัดหลังสุด เดล เนรี่ ก็ประกาศลาออกไปอีกคน ทำให้ทีมหมาป่า ต้องแต่งตั้งให้ บรูโน่ คอนติ เทรนเนอร์ทีมเยาวชนขึ้นมาเป็นกุนซือชั่วคราว และความเลวร้ายมันยังไม่จบแค่นั้น เกมถัดมากับมิลานที่ โอลิมปิโก้ โรม่า เป็นฝ่ายแพ้ และ ต๊อตติ ไปเตะ อันเดรีย ปีร์โล่ ช้าแบบไม่จำเป็น ทำให้เขาถูกไล่ออกจากสนาม และจะโดนแบนในเกมออกไปเยือนทีมแกร่งอย่าง อูดิเนเซ่ ซึ่งเกมนั้นกลับกลายเป็นว่า โรม่า รอดพ้นการแพ้ 5 เกมติดมาได้อย่างหวุดหวิดซะงั้น ด้วยการเสมอกันไป 3-3

ต๊อตติ กลับมาอีกครั้งในเกมกับ เรจจิน่า แต่ดูเหมือนฟอร์มของเขาจะยังไม่กลับมาเป็นคนเดิม เขาไม่สามารถช่วยให้ โรม่า เก็บคะแนนได้ และต้องแพ้ให้กับทีมเยือนไปอย่างช็อคแฟนบอลอีกครั้ง 1-2 ตามมาด้วยความเลวร้ายแบบสุดๆ เมื่อได้ลงเล่นในบ้านตัวเองต่ออีกนัด แต่กลับแพ้ให้กับทีมหนีตกชั้นอย่าง เซียน่า คาบ้าน 0-2 โดยที่ ต๊อตติ ปิดฉากฤดูกาลอันแสนเลวร้ายด้วยการถูกไล่ออกอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เกม เมื่อไปเตะ ฟรานเชสโก้ โคลอนเนเซ่ นอกเกม นี่เขากลายร่างจากเทพเจ้าเป็นซาตานได้รวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ หลายฝ่ายจับตามอง ต๊อตติ ถึงฟอร์มการเล่น และปัญหาการควบคุมอารมณ์ที่ดูเหมือนว่ามันกำลังจะเข้ามาทำลายชีวิตนักฟุตบอลของ ต๊อตติ ให้ย่อยยับพังพินาศ



โดน เลก้า กัลโช่ แบน 5 เกม ปิดฉากฤดูกาลวิปโยคของ ต๊อตติ และ โรม่า ...............

ต๊อตติ ในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้ร้ายฆ่าคนตายในสายตาแฟนบอลทั่วไปเสียแล้ว เขาถูกลงโทษด้วยกฎใหม่ของ เลก้า กัลโช่ ด้วยการแบนถึง 5 เกม ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่นักเตะคนหนึ่งได้รับจากการเล่นแบบนี้ ต๊อตติ รู้สึกช็อคพอสมควร แต่ก็ยอมรับกับการกระทำที่ได้ทำลงไปว่าผิดจริง

“ผมเป็นคนผิดเองที่ทำแบบนั้น ผมไม่ควรจะไปเตะ โคลอนเนเซ่ นอกเกม แม้ว่าเขาจะเล่นงานผมหนักแค่ไหนก็ตาม ผมเสียใจที่ต้องถูกห้ามลงสนามถึง 5 เกม มันเป็นบทลงโทษที่รุนแรงมากที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับมา”

ฤดูกาลนี้เขาเละจริงๆ ตั้งแต่ไปถ่มน้ำลายในศึกยูโร 2004 ต่อด้วยฤดูกาลวิปโยคกับ โรม่า ที่ต้องมาดิ้นรนหนีตกชั้นในช่วงท้ายฤดูกาล แถมตัวเองยังโดนไล่ออก และโดนแบนอีก 5 เกม ไม่มีอะไรจะแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว โรม่า ปิดฤดูกาลด้วยความซวยสุดท้าย เมื่อถูก ฟีฟ่า ประกาศห้ามทีมหมาป่าซื้อขายผู้เล่นเป็นเวลา 1 ปี หลังจากแอบไปติดต่อดึง ฟิลิปป์ เม็กแซส กองหลังดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสของ โอแซร์ มาร่วมทีมแบบผิดกฎ สถิติฤดูกาลนี้ ต๊อตติ ลงสนามในคัมปิโอนาโต้ไป 29 นัด ยิงได้ 12 ประตู




แต่งงานกับแฟนสาว อิลารี บลาซี่ .............

ต๊อตติ ลืมความปวดร้ายทั้งหลายด้วยการตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงาน แล้วหวังจะบินไปฮันนีมูนเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจอีกครั้ง

เขาเคยกล่าวไว้ตั้งแต่เลิกกับ มาเรีย มาสซ่า ดาราดังอิตาลี เมื่อหลายปีก่อนว่า เขาคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะคิดเรื่องแต่งงาน (เพราะตอนนั้นยังหาแฟนไม่ได้) บางทีอาจจะอายุราวๆ 28-29 แล้วค่อยร่วมหอกับสาวไหนสักคน แล้วก็แม่นจริงๆ ด้วยวัย 28 ตอนนี้ แล้วเจ้าสาวของเขาก็เป็นนางแบบ และพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดังของแดนพิซซ่า อย่าง อิลารี บลาซี่ เรียกว่าดังด้วยกันทั้งคู่ในอิตาลี


โดยพิธีจัดขึ้นที่โบสถ์ซานตา มาเรีย อิน อาราโคเอลี่ ในกรุงโรม เห็นว่าต้องปิดถนนในบริเวณนั้นกันตั้งแต่เช้า ทั้งๆที่งานน่ะเริ่มบ่ายสี่ และคุณพ่อที่ทำพิธีก็ต้องยกเลิกงานอื่นๆที่มีคิวในวันนั้นทั้งหมด เห็นภาพ ต๊อตติ เป็นฝั่งเป็นฝา เห็นภาพสาวกหมาป่าเป็นพันร่วมเป็นสักขีพยาน ผมก็ดีใจกับ ต๊อตติ ไปด้วยครับ ได้แต่หวังว่าการแต่งงาน และกำลังจะมีลูก น่าจะทำให้ ต๊อตติ มีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ตัวเองมากขึ้น



โรม่า ฟ้าใหม่ ได้ สปัลเล็ตติ มาคุมทีม ...... ต๊อตติ ต่อสัญญาด้วยค่าเหนื่อยแพงอันดับ 5 ของโลก ...........

ฤดูกาลใหม่ 2005/06 มาถึง สโมสรได้แต่งตั้ง ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ เป็นเทรนเนอร์คนใหม่ หลังจากปีก่อน เขาสร้างผลงานพา อูดิเนเซ่ จบอันดับที่ 4 ในตาราง และไม่นานหลังจาก โรม่า ได้รับการยกเลิกโทษแบนการซื้อขายผู้เล่น และสามารถดึงตัวผู้เล่นที่เซ็นสัญญาไปแล้วอย่าง ซามูเอล คูฟฟูร์, ชาบานี่ นงด้า และ โรดริโก้ ตาดเด กลับมาร่วมทีมได้ ดูเหมือนระบบอะไรหลายๆอย่างในทีม โรม่า เริ่มจะลงตัว จะมีก็เพียงแต่ปัญหาของเจ้าแสบ คาสซาโน่ เท่านั้น ที่ยังไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไป และจากกระแสข่าวลือว่าเขาต้องการไปร่วมงานกับ คาเปลโล่ ที่ ยูเวนตุส ยิ่งทำให้เขากลายเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอลตัวเองไปในทันที

ทางด้าน ต๊อตติ เอง หลังจากผ่านฤดูกาลวิปโยคของตัวเอง และต้นสังกัดมาได้ เขาได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปถึงเดือนมิถุนายน ปี 2010 ด้วยค่าเหนื่อยสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของสโมสรด้วยตัวเลขถึง 10.4 ล้านยูโรต่อปี (7.5 ล้านปอนด์ต่อปี) ทำให้เขามีรายได้รวม คิดเป็นรายสัปดาห์ได้เงินมากถึง 144,230 ปอนด์ต่อสัปดาห์ กลายเป็นนักเตะค่าเหนื่อยแพงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกในขณะนั้น เป็นรองเพียงแค่ เดวิด เบ็คแฮม, ซีเนอดีน ซีดาน, โรนัลโด้ และ คริสเตียน วิเอรี่ เท่านั้น โดยตัวเขาเองยังรู้สึกตกใจกับตัวเลขจำนวนมหาศาลนี่ไม่หาย

“คงจะมีเพียง โรนัลดินโญ่ เท่านั้น ที่จะได้ข้อเสนอแบบนี้ถ้าเขาย้ายมา โรม่า” ต๊อตติ กล่าวติดตลก



โอกาสสุดท้ายกับการแก้ตัว ...............

ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะหมดความศรัทธากับ ต๊อตติ ไปไม่น้อย จากเหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขาในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยอยู่ เป็นผลให้ตนเองต้องได้รับบทเรียน รวมไปถึงต้นสังกัดที่ต้องลำบากยามขาดผู้นำซึ่งเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดของทีมในยามที่คับขัน สื่อมวลชนบางประเทศตัดชื่อเขาออกจากรายชื่อนักเตะที่มีลุ้นรางวัล บัลลง ดอร์ ออกเป็นครั้งแรก ทั้งที่เขาเคยอยู่ในสารบบนี้มาโดยตลอด โดยอย่างน้อยต้องได้รับการเสนอชื่อติด 50 คนสุดท้ายอยู่ทุกปี ในฐานะสตาร์หมายเลข 1 ของอิตาลี

ไม่น่าเชื่อว่าแค่ปีเดียว ต๊อตติ ถูกลดเครดิตลงไปมากจนน่าตกใจ แม้กระทั่งแฟนบอลในเมืองไทยเอง พวกเขามองข้ามฝีเท้าของ ต๊อตติ ไป เพราะความประพฤติที่น่าผิดหวัง ดูจากกระทู้ในบอร์ดขณะนั้นว่าใครเป็นเพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุด มีรายชื่อนักเตะมากมายนับ 10 ราย แต่ไม่มีใครกล่าวถึง ต๊อตติ ผมแปลกใจ เพราะเขาไม่ใช่ผู้เล่นที่เพิ่งโผล่มาดัง 2-3 ปีหลังมานี้ แต่เขาดังมานานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนรอบชิงยูโร 2000 และคว้าสคูเด็ตโต้เมื่อปี 2001 เสียอีก คนส่วนใหญ่มองข้ามเขาเพราะความประพฤติโดยไม่เอาฝีเท้ามาตัดสิน

เรื่องนี้โทษใครไม่ได้จริงๆ ต๊อตติ ต้องกลับมาพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับกับแฟนบอลอีกครั้งด้วยตนเอง และดูเหมือนว่า ฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมัน น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่ ต๊อตติ จะกลับมากู้ศรัทธาแฟนบอล ที่มองข้ามเขาไปเพราะภาพลักษณ์อันมัวหมองที่เขาได้กระทำลงไปแท้ๆ



เริ่มต้นฤดูกาล 2005/06 แบบฝืดๆ ก่อนแตกหักกับน้องรัก คาสซาโน่ ............

ภายใต้การคุมทีมของ สปัลเล็ตติ เทรนเนอร์หัวเหม่งจาก แชร์ตัลโด้ เมืองเล็กๆใกล้ๆ ฟิเรนเซ่ เขานำ โรม่า ออกสตาร์ตใน เซเรีย อา ได้ไม่สวยงามนัก เพราะหลังจากที่บุกไปชนะ เรจจิน่า 3-0 ในนัดแรก หลังจากนั้นทีมหมาป่าเก็บชัยชนะได้เพียงนัดเดียวเท่านั้น จาก 7 นัดล่าสุด (ชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 3) ทำให้อันดับของทีมร่วงระนาวตกลงมาเรื่อยๆจนถึงกลางตาราง โดยถูกทีมอื่นๆทำคะแนนทิ้งห่างจนหมดลุ้นแชมป์สคูเด็ตโต้ตั้งแต่ไก่โห่ ทำเอาแฟนบอลหมาป่าอึดอัดไม่น้อย ได้แต่ข่มใจว่าเป็นฤดูกาลที่แสนยากลำบาก ปีที่แล้วเน่าเฟะ ปีนี้ได้แค่นี้ แถมทีมโดนลงโทษแบนห้ามซื้อขายนักเตะจาก ฟีฟ่า อีก แม้จะมีประตูสุดอลังการของ ต๊อตติ ในเกมบุกสยบ อินเตอร์ 3-2 ก็ไม่ได้ช่วยภาพรวมมากนัก

โดยที่ทางเทรนเนอร์ สปัลเล็ตติ มองว่า ปัญหาของทีมในตอนนั้น อยู่ที่ “ทีมสปิริต” ซึ่งนักเตะ โรม่า ยังค้นหากันไม่เจอ โดยที่ประเด็นที่พูดถึงกันมากที่สุดหนีไม่พ้นข่าวของ คาสซาโน่ เกี่ยวกับการย้ายทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาล เพราะเขายังไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่เสียที หากเป็นเช่นนี้ เมื่อจบฤดูกาล 2005/06 คาสซาโน่ จะได้ย้ายทีมโดยไม่มีค่าตัว ทั้งๆที่ โรม่า ลงทุนซื้อตัวเขามาจาก บารี่ ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 19 ล้านปอนด์ จนกระทั่งเขาได้กลายเป็นตัวหลักของทีมชาติอิตาลีในปัจจุบัน

คาสซาโน่ ในตอนนั้นไม่เหลือสภาพของความเก่งกาจเลย เขาอ้วนฉุ ไม่ฟิตพอที่จะเล่นให้ครบ 90 นาทีอยู่แล้ว พอมามีเรื่องกับสโมสร เลยทำให้มีข่าวลือว่าถูกประธาน ฟรังโก้ เซนซี่ สั่งดร็อป แต่ สปัลเล็ตติ ก็ปฎิเสธข่าวนี้ในเวลาต่อมา โดยให้เหตุผลว่า คาสซาโน่ ยังไม่มีความพร้อมเพียงพอ ลงมาก็ช่วยอะไรทีมไม่ได้ สุดท้ายลงเอยด้วยการอำลาจริงๆ เมื่อ โรม่า ตอบรับข้อเสนอ 5.5 ล้านยูโร จาก เรอัล มาดริด ในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคม ซึ่ง ฟีฟ่า อนุญาตให้ย้ายทีมได้ เป็นการปิดฉากชีวิตนักเตะในถิ่น โอลิมปิโก้ ของเจ้าแสบ คาสซาโน่ แบบไม่สวยงามเท่าไหร่ รวมทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ ต๊อตติ ที่ย่อยยับไม่มีชิ้นดีด้วย

ต๊อตติ ไม่รู้กำหนดเดินทางของ คาสซาโน่ ในการบินไปยัง มาดริด เพราะ คาสซาโน่ ไม่ได้มาร่ำลาเขา ทั้งๆที่ทั้งคู่เคยสนิทกันราวกับเป็นพี่น้อง และเมื่อทำการเปิดตัว และร่วมซ้อมกับ เรอัล มาดริด ต้นสังกัดใหม่ เขาได้รับคำชื่นชมจาก ซีเนอดีน ซีดาน ซึ่งเปรียบเหมือนคำยกยอปอปั้นนักเตะน้องใหม่ แต่ดาวเตะชาวบารี่ กลับคิดเป็นจริงเป็นจังจนเป็นที่ขำขันในวงการฟุตบอลอิตาลี

“ซีดาน บอกว่าผมเก่งกว่า ต๊อตติ ในเมื่อเขาเป็นนักเตะที่สุดยอด ดังนั้นคำกล่าวของเขาย่อมน่าจะเป็นจริง” คาสซาโน่ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสเปนที่ มาดริด

ขณะที่ ต๊อตติ ได้รับทราบข่าวดังกล่าวนั้น ก็กล่าวตอบโต้กลับไปอย่างเจ็บแสบว่า

“มันเป็นความคิดเห็นของซีดาน ที่ควรได้รับการเคารพ แม้ว่าผู้คนทั่วไปจะมองไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม”



หมาป่าหลังไร้ คาสซาโน่ ทีมสปิริตกลับคืน จนสร้างประวัติศาสตร์ชนะ 11 นัดติดต่อกัน ..............

ภายหลังจากจากไปของ คาสซาโน่ แทบไม่น่าเชื่อว่า ผลงานของ โรม่า เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ เริ่มจากจากเอาชนะ บาเซิ่ล 3-1 ใน ยูฟ่า คัพ ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ 32 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ขณะที่ผลงานในคัมปิโอนาโต้ ก็เริ่มติดเครื่องร้อนแรง ด้วยการไล่ถล่ม คิเอโว่ ยับเยิน 4-0 เป็นจุดเริ่มต้นเลยเกมนี้ เพราะจากนั้นเป็นต้นมา โรม่า ก็ยังเดินหน้าชนะมาเรื่อยๆทั้ง เตรวิโซ่, มิลาน, เรจจิน่า, อูดิเนเซ่, ลิวอร์โน่, ปาร์ม่า, กายารี่, เซียน่า, เอ็มโปลี และ ลาซิโอ ทำให้สร้างประวัติศาสตร์ชนะคู่แข่งมากถึง 11 นัดติดต่อกัน ซึ่งยังไม่เคยมีทีมไหนทำได้มาก่อนเลย โดยที่ใกล้เคียงที่สุดคือชนะ 10 นัดรวดที่ ยูเวนตุส (1931/32), มิลาน (1950/1951) และ โบโลญญ่า (1963/64) เคยทำไว้ ซึ่งครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 42 ปีที่แล้วโน่น แต่ปีนี้ โรม่า ยุค สปัลเล็ตติ มาทีเดียวแซงไปเลยครับ กลายเป็นทีมระดับตำนานไปโดยทันที

ซึ่งฟอร์มการเล่นของ ต๊อตติ ในช่วงที่ทีมชนะรวดแบบหยุดไม่อยู่นี้ ถือว่าเป็นการโชว์ฟอร์มระดับโลกอย่างแท้จริง ทั้งๆที่เขาต้องลงเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าห้อยคนเดียว แต่ด้วยความเฉียบแหลมของ สปัลเล็ตติ ที่วางระบบใหม่ 4-2-3-1 โดยให้มีปีกริมเส้นความเร็ว และเทคนิคสูงอย่าง มานซินี่ และ ตาดเด ขนาบข้างช่วยเหลือ บวกกับตรงกลางที่มี แปร์ร็อตต้า ซึ่งกำลังท็อปฟอร์มอีกคน เป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้ไม่ต้องพึ่งศูนย์หน้าธรรมชาติเลย ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ ต๊อตติ ช่วยยิงไปถึง 7 ประตู ทำให้ชื่อของเขาพุ่งขึ้นมาอยู่บนชาร์ตของอันดับดาวซัลโวทันที โดยยิงไปได้รวมทั้งสิ้น 15 ประตู จากการลงเล่นไปแค่ 24 นัด ผมเชื่อว่าสาเหตุที่ ต๊อตติ เล่นได้ดีแบบนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ อิลารี่ ภรรยาของเขาให้กำเนิดบุตรชายคนแรกด้วย ให้ชื่อว่า คริสเตียน ต๊อตติ ลูกชายคนแรกเปรียบเสมือนแรงผลักดันให้ ต๊อตติ งัดฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาได้




เปเล่ – มาราโดน่า ยกย่อง ต๊อตติ ยอดนักเตะของโลก .............

จากฟอร์มที่กำลังเข้าฝักของ ต๊อตติ นี้เอง ทำให้มีบรรดานักเตะที่เป็นตำนานในอดีตอย่าง เปเล่ และ ดีเอโก้ มาราโดน่า ออกมาแสดงความเห็นถึง ต๊อตติ ว่าเป็นผู้เล่นที่เป็นยอดนักเตะของโลกอย่างแท้จริง โดย เปเล่ ตำนานราชาลูกหนังของโลกชาวบราซิเลียน ให้สัมภาษณ์ชม ต๊อตติ ผ่านทางผู้สื่อข่าวของ ลา กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต ว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว

“สำหรับผม ต๊อตติ เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ที่ผ่านมา เขาแค่โชคร้ายไปเล็กน้อยเท่านั้น”

ขณะที่ ดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานฟุตบอลชาวอาร์เจนไตน์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เดินทางกลับมาที่อิตาลี เป็นครั้งแรกหลังจากไปผ่าตัดลดขนาดร่างกาย และได้เดินทางมาที่ ที่ทำการสโมสรโรม่า เพื่อเยี่ยม บรูโน่ คอนติ รวมทั้ง ต๊อตติ ก็ได้กล่าวถึงราชาหมาป่าด้วย

“ช่วงฤดูร้อนผมแวะมาที่โรม เพราะมันมีความผูกพันอยู่ที่นั่น บรูโน่ คอนติ คือเพื่อนของผม วันนั้นเราได้มาเจอกันอีกครั้ง ยังมีอีกคนหนึ่งที่สำคัญมาก ถ้าผมมาที่โรมแล้วไม่ได้เจอ ต๊อตติ แสดงว่าผมยังมาไม่ถึงที่นี่จริงๆ”

“ฝีเท้าของ ต๊อตติ คงจะไม่ต้องสงสัยอะไรกันอีกแล้ว เขาเป็นยอดนักเตะ ปีก่อนผลงานทีมตกไปก็จริง แต่ผมก็เชื่อว่า ต๊อตติ จะพาทีมของเขากลับมาได้ นั่นรวมถึงฟุตบอลโลก ที่เยอรมันด้วย ผมยังคงติดตามเขาอยู่เสมอ”



ถึงคราวช็อค เมื่อ “ข้อเท้าหัก” ต้องพักยาวเกือบ 3 เดือน จน โรม่า ฟอร์มเป๋ .............

ในขณะที่ ต๊อตติ ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายฝ่าย และ โรม่า กำลังเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ทีมอยู่นั้นเอง ในเกมที่ทีมหมาป่าเปิดบ้านพบกับ เอ็มโปลี เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 2006 โดยเกมนั้นถ้า โรม่า เอาชนะได้ จะทำให้ทีมชนะ 10 เกมรวด เทียบเท่าสถิติที่ยอดทีมในอดีตเคยทำไว้ แต่แล้วก็เกิดเรื่องร้ายที่ไม่น่าเชื่อขึ้นกับ ต๊อตติ หลังลงเล่นไปได้ไม่ถึง 10 นาที เมื่อเขาถูก ริชาร์ด วานิญี่ กองหลังทีมเยือนไล่เสียบข้อเท้าจากด้านหลัง จนทำให้ ต๊อตติ ร่วงลงพื้นผิดจังหวะ ถึงกับทำให้ข้อเท้าซ้ายของเขาหักสะบั้นทันที ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ช็อคแฟนบอล โรม่า และรวมไปถึงวงการฟุตบอลอิตาลีเป็นอย่างมาก ต๊อตติ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเข้าทำการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ซึ่งแพทย์สรุปว่าเขาต้องใช้เวลาพักฟื้นนานถึง 2-3 เดือน กว่าจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง

และถึงแม้ในเกมนัดนั้น และนัดต่อมากับ ลาซิโอ ในโรมดาร์บี้ โรม่า จะสามารถเอาชนะได้ทั้งหมด จนสร้างสถิติประวัติศาสตร์ ชนะติดต่อกัน 11 นัดรวด แต่แฟนบอลหมาป่ากลับไม่อาจยินดีกับความสำเร็จนี้ได้เต็มที่เลย เพราะต้องสังเวยราชาผู้เป็นที่รักอย่าง ต๊อตติ ไปแบบนี้ และการขาด ต๊อตติ นี้เอง ที่ทำให้ผลงานของ โรม่า หลังจากนั้น ไม่อาจรักษาฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง เกมนัดต่อมา ทีมหมาป่าถูก อินเตอร์ ไล่ตีเสมอในนาทีสุดท้าย ก่อนจะออกไปโดนทีมน้องใหม่อย่าง อัสโคลี่ เชือดอีก 3-2 (โดนนำก่อน 3-0) ยัดเยียดความพ่ายแพ้ครั้งแรกในรอบ 13 นัด ให้กับ โรม่า จนได้

ส่วนในรายการ ยูฟ่า คัพ ก็ไปตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือ มิดเดิ้ลสโบรช์ จากอังกฤษ ด้วยกฎ Away Goal กลายเป็นว่าทีมฟอร์มเป๋ไปเลย 8 นัดหลังสุดใน เซเรีย อา พวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้เพียง 2 นัดเท่านั้น ที่เหลือก็ทำแต้มหกหล่นไปแบบน่าเขกกะโหลกหมด แม้ ต๊อตติ จะได้กลับมาช่วยทีมในนัดสุดท้ายกับ มิลาน แต่ก็ไม่ทันการ ทำให้ทีมจบเพียงอันดับ 5 เป็นรอง ฟิออเรนติน่า ที่อยู่อันดับ 4 ถึง 5 คะแนน พลาดโควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างสุดเซ็ง ทั้งที่มีโอกาสดีมาถึงแล้วแท้ๆ นับว่าการเสีย ต๊อตติ ไปมีผลกระทบกับ โรม่า มากพอสมควรทีเดียว (ภายหลังมีคดี กัลโช่โปลี ทำให้ โรม่า ถูกปรับอันดับขึ้นมาเป็นรองแชมป์ได้ไป แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม หน้าตาเฉยครับ แห่ะๆ)



ต๊อตติ อัญมณีล้ำค่าของ โรม่า ที่ทดแทนไม่ได้ ..............

สำหรับผมแล้ว ต๊อตติ มีค่าที่จะประมาณไม่ได้เลยสำหรับ โรม่า เพราะเขาไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักฟุตบอลธรรมดาคนหนึ่ง แต่เป็นเหมือนหัวใจของทีม และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับแฟนบอล ดังนั้นคงไม่ต้องถามต่อเลยว่าใครจะสามารถมาแลกตัวกับเขาได้หรือไม่ ไม่มีใครที่จะแทนที่เขาได้ครับ

ตั้งแต่ผมดู ต๊อตติ เล่นครั้งแรกเมื่อปี 1995 ผมไม่เคยเห็นเขาเจ็บหนักถึงขั้นข้อเท้าหัก ต้องผ่าตัดมาก่อนเลย ก่อนหน้านั้นเขาเคยเจ็บหนักถึงขั้นผ่าตัดมาแล้ว ในปี 1991 เมื่อเขามีอายุได้ 14 ปีเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยเจ็บหนักขนาดนี้อีกเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ และมันอาจส่งผลถึงโอกาสลงเล่นฟุตบอลโลกของเขา

อย่างที่ ดาเนียเล่ เด รอสซี่ ทายาทของ ต๊อตติ บอกไว้ว่า ราชาหมาป่านั้นมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าเรื้อรังมานานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องมีวันนี้สักวัน ถึงขนาดที่ ต๊อตติ เองยังเคยออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความกังวลว่า ตัวเองจะถูกเตะจนเดี้ยงจนอาจชวดบอลโลก แล้วเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นกับตัวเขาจริงๆ เรียกว่าลางสังหรณ์แม่นมาก เขาเป็นคนที่ถูกเตะนับไม่ถ้วนจริงๆในแต่ละเกม ในขณะที่ผู้คนที่ไม่ชอบเขา มักมองว่าเขาแกล้งทำเป็นบาดเจ็บเพื่อตบตาผู้ตัดสิน

ที่ผ่านมา ต๊อตติ อุทิศตัวเองให้ โรม่า มาทั้งชีวิต แต่เขาต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาตลอด ทั้งปัญหาการควบคุมอารมณ์ตัวเอง และ การเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในทีม โรม่า จนดูเหมือนจะกลายเป็นทีมที่ไร้ความสำเร็จ จนกระทั่งเข้ามาฤดูกาลนี้ เขาแต่งงาน และมีลูกชาย เขาเปลี่ยนไปมาก นิสัยเดิมๆหายไป กลายเป็นคนที่มุ่งมั่นเล่นฟุตบอลเต็มที่ และผลงานของทีมก็ดีแบบเหลือเชื่อ ทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย แต่ต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับได้จริงๆ

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์มันเกิดขึ้นไปแล้ว และมันคือความจริง ชีวิตและโลกของฟุตบอลยังต้องดำเนินต่อไป มีนักฟุตบอลหลายคนที่เคยประสบเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นขาหักสะบั้นมาแล้ว อย่าง เฮนริค ลาร์สสัน หรือ ฌิบริล ซิสเซ่ แต่พวกเขาก็ยังกลับมาเล่นได้เหมือนปกติ อาการ ต๊อตติ อาจไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น แต่เขาก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรที่จะกลับมา นาทีนี้ผมไม่หวังอะไรมาก สำหรับ โรม่า นั้นอาจจบ แต่กับทีมชาติอิตาลี ในฟุตบอลโลกต้องมีเขาครับ



เร่งฟิตซ้อมอย่างหนัก ก่อนถูก ลิปปี้ เรียกตัวไปฟุตบอลโลกที่ เยอรมัน .............

กล่าวถึงช่วงที่ ต๊อตติ ได้รับบาดเจ็บหนัก เขาได้รับกำลังใจจากทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นนักเตะชื่อดังอย่าง เปาโล มัลดินี่, โรนัลโด้ หรือ ราอูล ต่างออกมาให้กำลังใจ ต๊อตติ กันอย่างถ้วนหน้า ขณะที่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคลี่ ประธานสโมสร มิลาน และนายกรัฐมนตรีอิตาลี รวมทั้ง มาร์เชลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลี ถึงกับรุดมาเยี่ยม ต๊อตติ ด้วยตนเองถึงโรงพยาบาลทีเดียว โดยที่ ลิปปี้ ยืนยันว่า ต๊อตติ คือนักเตะตัวหลักของ อิตาลี ที่ไม่มีใครทดแทนได้ คำพูดของ ลิปปี้ ทำให้ ต๊อตติ มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอาการบาดเจ็บต่อไปอย่างมาก

“วานิญี่ โทรศัพท์มาขอโทษผม เขาร้องไห้และบอกว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายผม ผมก็เชื่อและให้อภัยกับเขา มันไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการยิ้มรับกับมัน และทำสิ่งที่อยู่ข้างหน้าให้ดีที่สุด สำหรับฟุตบอลโลกที่ เยอรมัน น่ะเหรอ ผมจะต้องไปที่นั่นให้ได้แน่นอน เพราะมันคงจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของผมแล้ว” ต๊อตติ กล่าว

ภายใต้การดูแลเป็นอย่างดีจาก ดร.ปิแอร์เปาโล มาริอานี่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดชื่อดังของอิตาลี อาการของ ต๊อตติ ฟื้นตัวขึ้นเร็วอย่างเหลือเชื่อ จากที่เคยคาดกันว่า ต๊อตติ อาจจะต้องพักถึง 3 เดือนจนไม่น่าจะถูกเรียกตัวไปฟุตบอลโลก แต่เขากลับมาลงเตะฟุตบอลได้หลังจากนั้นเพียง 2 เดือนในเกมอุ่นเครื่อง ก่อนที่จะมีโอกาสลงสนามอย่างเป็นทางการในช่วงท้ายฤดูกาล ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนนัดที่น้อยมากในการแสดงฟอร์มให้ ลิปปี้ ได้เห็น อย่างไรก็ตาม ลิปปี้ นั้นเชื่อมั่นในตัว ต๊อตติ อย่างเต็มเปี่ยม จึงไม่ลังเลที่จะใส่ชื่อ ต๊อตติ ลงในขุนพล 23 คนสุดท้ายในการลุยฟุตบอลโลกที่เยอรมัน และแน่นอนว่าเขาได้รับเสื้อเบอร์ 10 เหมือนเดิมครับ



เปิดใจเคยคิดอำลาทีมชาติ หลังจบยูโร 2004 แต่ก็ขอแก้ตัวอีกครั้ง .............

ในช่วงเตรียมความพร้อมก่อนฟุตบอลโลก ต๊อตติ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยย้อนไปในช่วงที่เขาโดนโจมตีอย่างหนักหลังจบฟุตบอล ยูโร 2004 จนเคยคิดจะอำลาทีมชาติอิตาลีไปในตอนนั้น

“ผมเคยคิดจะประกาศอำลาทีมชาติอิตาลี” เขากล่าวให้สัมภาษณ์นักข่าว Sky Italia

“หลังจากจบศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ผมกลายเป็นเป้าโจมตีจากความล้มเหลวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าผมผิดหวัง ผมได้ทำผิดไป ผมเสียดายที่ผมได้รับโอกาสไปเพียงแค่เกมเดียว และผมก็ทำให้ทุกอย่างก็หลุดลอยไป สิ่งที่ได้รับคราวนั้น มันหนักหนากว่าประสบการณ์ในฟุตบอลที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น หลายเท่าจริงๆ”

“ฟุตบอลโลก เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำเช่นกัน บางทีผมอาจจะคิดมากเกินไป แต่ ผมรู้สึกว่าตัวเองมักจะเป็นคนที่โดนด่าหนักอยู่เสมอ ทั้งที่ในศึกฟุตบอลโลกนั้น การเป็นตัวความหวัง มันเป็นอะไรที่กดดันมากทีเดียว”

“ทั้งหมดนั้น มันทำให้ผมคิดอำลาทีมชาติ แต่คนใกล้ชิดรอบข้าง บอกให้ผมสู้ต่อไป เพราะนั่นคือการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ดีที่สุด ถึงตรงนี้ ผมเพียงหวังว่าพอจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติได้บ้าง”

อย่างไรก็ตาม ต๊อตติ เคยกล่าวเป็นนัยก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ว่าเขาพร้อมจะอำลาทีมชาติอิตาลีแน่นอน ถ้าทีมอัซซูรี่ สามารถก้าวขึ้นไปประสบความสำเร็จสูงสุดถึงตำแหน่งแชมป์โลกที่ เยอรมัน แม้ว่าเขาจะยังมีอายุเพียงแค่ 29 ปีก็ตาม

“ถ้าเราคว้าแชมป์โลกได้จริงๆ ผมอยากจะอำลา”

“มันคงไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่านั้นอีกแล้ว กับการอำลาทีมชาติในตอนประสบความสำเร็จสูงสุด”

“ผมเคยคิดว่าอยากจะมีเวลาให้ครอบครัวมากกว่านี้ และหลังชาติอำลาทีมชาติแล้ว ผมก็จะอุทิศตัวเองให้กับ โรม่า สโมสรของผมได้อย่างเต็มที่”

“อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างในโลกฟุตบอลไม่แน่นอน ผมได้เห็นการกลับมาช่วยทีมชาติของ ซีดาน หรือ เนดเวด นั่นเป็นการกระทำที่ควรยกย่อง เราจะดูกันต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

“สำหรับเกมที่เราจะพบกับ กาน่า ในนัดแรกที่เยอรมัน ผมคิดว่าผมมักจะโชคดีในเกมที่พบกับพวกเขานะ ตอนเล่นฟุตบอลเยาวชนโลก ชุด ยู-17 เรายิงพวกเขาได้ถึง 4 ประตูแหน่ะ”



หั่นผมสั้นรับ ฟุตบอลโลก 2006 ...............

และแล้วการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง อิตาลี เดินทางมายังแผ่นดิน เยอรมัน ด้วยความหวังที่จะเป็นแชมป์โลก แต่สื่อมวลชนทั่วไปยังไม่เชื่อมั่นเช่นนั้น โดยยกให้ บราซิล, อาร์เจนติน่า และเจ้าภาพ เยอรมัน เป็นตัวเต็ง ส่วน อิตาลี ถูกมองเป็นเพียงเต็ง 4 ขณะที่ ต๊อตติ มีความฟิตอยู่เพียงราวๆ 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่เขาก็มีความสำคัญในสายตา ลิปปี้ อยู่ดี โดยถูกวางให้เป็นศูนย์หน้าตัวต่ำ คอยเล่นคู่กับ ลูก้า โทนี่ ซึ่งฟอร์มกำลังร้อนแรงกับต้นสังกัดอย่าง ฟิออเรนติน่า จนคว้ารองเท้าทองคำยุโรปเมื่อปีที่ผ่านมา

ต๊อตติ เองได้รับเลือกให้ลงสนามเป็นตัวจริงตั้งแต่นัดแรกที่เจอกับ กาน่า ก่อนเกมถึงกับเปลี่ยนโฉมตัวเองด้วยการเรียกช่างตัดผม ลูชาโน่ เบลล็อตติ จากร้าน Kaos ที่ตั้งอยู่ในย่านมอนตัญโญล่า ชานกรุงโรม มาจัดแจงหั่นผมเสียสั้นเกรียน ดูแปลกตาไปเลย ทำเอาเพื่อนร่วมทีมอมยิ้มไปตามๆกัน เกมแรกนั้นเขาทำผลงานได้ดีทีเดียว มีจังหวะจ่ายบอลสวยๆหลายครั้ง ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกหลังจากถูกเตะที่หน้าแข้ง ซึ่งนัดนั้น อิตาลี เอาชนะไป 2-0

“หลายคนคิดว่าหลังจากผมขาหัก คงทำอะไรไม่ได้อีก ในทางตรงกันข้าม ผมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ชาวโรมอย่างเรารู้จักการลุกขึ้นสู้ เราไม่เคยท้อถอย การกลับมาของผมคือคำตอบแก่ผู้ที่ชอบพูดว่า เราทำอะไรไม่ได้แล้ว” ราชาหมาป่าให้สัมภาษณ์ด้วยความดีใจหลังจบเกมกับ กาน่า

แต่พอมาถึงเกมที่สองกับ สหรัฐฯ ทีมอัซซูร์รี่ กลับทำผลงานได้ไม่ดีนัก แต่นั่นก็เพราะหลังจากเล่นไปได้เพียงครึ่งชั่วโมง เมื่อเด็กห้าว เด รอสซี่ ดันไปตีศอก ไบรอัน แม็คไบรด์ ทำให้โดนใบแดงไล่ออก และ ต๊อตติ กลายเป็นผู้โชคร้ายที่ต้องถูกเปลี่ยนตัวตามแท็กติก และแม้ว่า พาโบล มาสโตรเอนี่ กับ เอ็ดดี้ โป๊ป ของ สหรัฐฯ จะโดนไล่ออก จน อิตาลี กลับมาได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่น แต่บรรดาดาวเตะเลี่ยนก็ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ผลก็คือเกมนั้น อิตาลี ทำได้แค่เสมอกับ สหรัฐฯที่เหลือ 9 คน ไป 1-1

มาถึงเกมนัดสุดท้ายของรอบแรก อิตาลี ต้องชนะเท่านั้น เพื่อความมั่นใจว่าจะได้ผ่านเข้ารอบเป็นที่ 1 ของกลุ่ม เพื่อจะได้ไม่ต้องไปชนกับ บราซิล ในรอบสอง ในการเจอกับ สาธารณรัฐเช็ค ต๊อตติ ยังได้รับโอกาสเป็นตัวจริง ในขณะที่ศูนย์หน้าคนอื่นๆของทีมไม่ว่าจะเป็น ลูก้า โทนี่, อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่, วินเชนโซ่ ยากวินต้า, ฟิลิปโป้ อินซากี้ หรือ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ นั้นต้องสลับกันลงเล่นตลอด โดยไม่มีใครเป็นตัวจริงถาวร และเกมนี้ ต๊อตติ ก็ช่วยเปิดลูกเตะมุมให้ มาเตรัซซี่ โขกประตูให้ อิตาลี ขึ้นนำ ก่อนที่จบเกมจะเอาชนะไป 2-0 ในที่สุด



ประตูแรกในฟุตบอลโลกของ ต๊อตติ ................

อย่างไรก็ตาม แม้ ต๊อตติ จะช่วยทำแอสซิสต์ให้ทีมได้ แต่ฟอร์มโดยรวมของราชาหมาป่าในเกมกับ เช็ค ยังไม่น่าประทับใจนัก เพราะเขามีโอกาสยิงประตูโล่งๆ 3-4 ครั้ง แต่ทำพลาดง่ายๆไปหมด ทำให้ถูกสื่อมวลชนวิจารณ์พอสมควร และในเกมต่อมา ซึ่งเป็นเกมในรอบสองกับ ออสเตรเลีย ลิปปี้ ก็ตัดสินใจดร็อปเขาเป็นตัวสำรอง โดยให้ เดล ปิเอโร่ ลงเล่นแทน แต่ในเกมนั้น อิตาลี ไปโชคร้ายเมื่อ มาเตรัซซี่ ไปโดนไล่ออกแบบน่ากังขาตั้งแต่ครึ่งแรก การเล่นเพียง 10 คน ทำให้ทีมตกอยู่ในสภาวะคับขันและเสี่ยงต่อการตกรอบสูงทีเดียว เพราะตลอดเกมหลังจากนั้นต้องเป็นฝ่ายตั้งรับแล้วรอสวนกลับ ซึ่งเกมโต้กลับก็ทำได้ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น

จนกระทั่ง ลิปปี้ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากลองให้โอกาส ต๊อตติ ลงสนามอีกครั้ง โดยลงมาแทน เดล ปิเอโร่ ในนาทีที่ 75 ซึ่งเขามีเวลาเพียงประมาณ 15 นาทีที่จะช่วยสร้างปาฏิหาริย์ให้ อิตาลี เข้ารอบภายใน 90 นาที ซึ่งหากต้องมีการต่อเวลาพิเศษออกไป จะยิ่งทำให้ อิตาลี ที่เริ่มจะหมดแรงต้องลำบากหนักแน่ๆ และแล้ว ต๊อตติ ก็ไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวัง เมื่อเขาใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนิด จุดประกายเกมรุกของทีมขึ้นมาอย่างชัดเจน อิตาลี ใช้จังหวะสวนกลับอย่างแม่นยำมากขึ้น จากการวางบอลยาวของ ต๊อตติ ทำให้รูปเกมกลับมาสูสีกันอีกครั้ง และในที่สุดช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก็เกิดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อขึ้นเมื่อ อิตาลี มาได้ลูกจุดโทษจากการที่ผู้ตัดสินมองว่า ลูคัส นีลล์ ไปทำฟาวล์ ฟาบิโอ กรอสโซ่ ในกรอบเขตโทษ ท่ามกลางการประท้วงจากผู้เล่นออสซี่ แต่ก็ไม่เป็นผล

ต๊อตติ รับอาสายิงจุดโทษที่แสนกดดันที่สุดในชีวิตของเขา และเขาก็ไม่พลาด เมื่อบรรจงซัดด้วยขวา ส่งบอลเข้าไปเสียบมุมตาข่ายได้อย่างรุนแรง และเด็ดขาด ให้ อิตาลี ขึ้นนำ และเอาชนะไปได้ในที่สุด 1-0 ต๊อตติ กลายเป็นฮีโร่ของ อิตาลี หลังจบเกมนัดนั้น และนัดต่อมาในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ ยูเครน ต๊อตติ ก็ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง และเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อตีลังกาจ่ายบอลให้ จานลูก้า ซามบร็อตต้า หลุดเข้าไปยิงประตูให้ อิตาลี ขึ้นนำ 1-0 ก่อนจะมาช่วยเปิดบอลให้ ลูก้า โทนี่ พุ่งโหม่งประตู 2-0 ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในเกมนัดนั้น อิตาลี ถล่ม ยูเครน ไปอย่างราบคาบ 3-0 โดยที่ ต๊อตติ ได้รับคำชมมากทีเดียว



ฝันที่เป็นจริง ต๊อตติ เป็น “แชมป์โลก”!!! ..............

อิตาลี เดินหน้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ โดยต้องเข้าไปพบกับเจ้าภาพ เยอรมัน ซึ่งต้องลงเล่นในสนาม เวสต์ฟาเล่นสตาดิโอน ที่ทีมอินทรีเหล็ก ยังไม่เคยแพ้ใครด้วย แต่สุดท้ายทีมอัซซูรี่ ก็เอาชนะมาได้ 2-0 โดยที่ ต๊อตติ มีส่วนในประตูที่สอง ซึ่งเป็นการปิดโอกาสของ เยอรมัน เสียสนิทไปเลย จากจังหวะโต้กลับที่เขามองเห็นเกมเบื้องหน้าได้อย่างแม่นยำ โดยตัดสินใจไปขอบอลในจังหวะที่ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เตรียมจะเตะทิ้ง ก่อนที่ ต๊อตติ จะจ่ายบอลยาวขึ้นหน้าไปให้ อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ แตะบอลย้อนหลังให้ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ชิพบอลข้ามตัว เยนส์ เลห์มันน์ นายทวารอินทรีเหล็ก เข้าไปตุงตาข่ายอย่างสุดคลาสสิค ถือว่า ต๊อตติ มีส่วนไปเต็มๆในลูกนี้ด้วย อิตาลี เอาชนะ เยอรมัน ไป 2-0 พร้อมกับเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ฝรั่งเศส ที่ล้ม โปรตุเกส มาได้

“เราจะต้องจารึกชื่อลงในหน้าประวัติศาสตร์ และเหลือเพียงหน้าสุดท้ายที่ยังว่างเปล่าอยู่ ผมรู้สึกดีใจกับฟอร์มโดยรวมของทีม เราพิสูจน์ให้เห็นว่าเราเป็นทีมระดับโลกอย่างแท้จริงในคืนนี้ เยอรมัน เป็นทีมที่มีระบบดี และเราแสดงให้เห็นว่าอยากจะเข้าไปชิงชนะเลิศมากแค่ไหน”

“ผมไม่คิดว่าเป็นการต่อสู้ที่สูสีกัน เราได้ครองบอลมากกว่า คอนโทรลจังหวะของเกม และมีโอกาสที่ดีกว่า ผมคิดถึงการยิงจุดโทษอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อผมเห็นลูกยิงของ กรอสโซ่ เข้าไปตุงตาข่าย จิตใจของผมก็กระเจิงไปเลย ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ดาวเตะหมายเลข 10 ของ อิตาลี กล่าวหลังทีมได้เข้าสู่รอบชิงฯ

นัดชิงชนะเลิศที่ โอลิมเปียสตาดิโอน ในเบอร์ลิน ต๊อตติ เดินลงสู่สนามในฐานะ 11 คนแรกของอิตาลี และทีมอัซซูร์รี่ ได้รับการคาดหมายจากสื่อมวลชนว่ามีดีกรีเหนือกว่า ฝรั่งเศส คู่ชิงฯด้วย แต่กลับกลายเป็นว่า ฝรั่งเศส มาทำประตูขึ้นนำไปก่อนอย่างรวดเร็วตั้งแต่ 7 นาทีแรก จากการได้จุดโทษในจังหวะพุ่งล้มของ ฟลอร็องต์ มาลูด้า และก็เป็น ซีเนอดีน ซีดาน ที่ยิงจุดโทษโดยชิพเข้าไปแบบนิ่มๆ อย่างไรก็ตาม อิตาลี มาตามตีเสมอได้จากลูกโขกของ มาเตรัซซี่ ในอีก 12 นาทีต่อมา สำหรับ ต๊อตติ ในเกมนี้ เขาเล่นไม่ออกเท่าไหร่ เพราะถูกตามประกบจาก ปาทริค วิเอร่า และ โคล้ด มาเกเลเล่ อยู่ตลอด ทำให้โดนบอลค่อนข้างน้อย กระทั่งในครึ่งหลัง นาทีที่ 61 ลิปปี้ ตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเล่น โดยถอดเขาออกแล้วส่ง เด รอสซี่ ว่าที่ทายาทในอนาคตของเขาลงมาแทน

ซึ่งหลังจากนั้นก็คือ อิตาลี ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับรอสวนกลับเป็นส่วนใหญ่ แต่สุดท้ายเกมรับที่เหนียวแน่นก็ทำให้เอาตัวรอดมาได้ถึงช่วงดวลจุดโทษ และ อิตาลี ก็แม่นยำกว่า ยิงเข้าได้ทั้ง 5 คน ทั้ง ปิร์โล่, มาเตรัซซี่, เด รอสซี่, เดล ปิเอโร่ และ กรอสโซ่ ขณะที่ฝั่ง ฝรั่งเศส เทรเซเก้ต์ ไปยิงพลาด ทำให้ อิตาลี เอาชนะในการดวลจุดโทษ 5-3 พร้อมกับคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครองอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งสำหรับ ต๊อตติ เอง ก็ดีใจจนสุดชีวิต ฉลองแชมป์โลกแบบลืมตัว ซึ่งแม้ว่าในนัดชิงชนะเลิศ ต๊อตติ จะเล่นไม่ออกนัก แต่สิ่งที่เขาทำมาโดยรวมตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ ทำให้เขาได้รับการคัดเลือกให้ติดทีม All-Star 23 คนของฟุตบอลโลกครั้งนี้อีกด้วย

“นี่คือวันที่ผมมีความสุขมากจริงๆ มันเป็นเหมือนชัยชนะ 2 ต่อของผม เพราะมีหลายคนไม่คิดว่าผมจะฟิตได้ทันเวลา ด้วยความมุ่งมั่นทั้งหมดที่ผมทุ่มเทลงไป และแม้แต่การชูถ้วยแชมป์โลก เป้าหมายแรกของผมคือขอให้ได้มาอยู่ที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไป และเราดีขึ้นเรื่อยๆ ความคิดผมมันลอยล่วงหน้าฝันถึงการคว้าแชมป์แล้ว ตอนนี้ผมได้แต่นึกฝันว่า ที่บ้านเราเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมเคยมีประสบการณ์แล้วสมัยคว้าสคูเด็ตโต้ แต่คราวนี้มันคงสุดขั้วกว่าแน่”

“นัดชิงชนะเลิศเหรอ ลิปปี้ ขอให้ผมเล่นอยู่ข้างหลัง โคล้ด มาเกเลเล่ กับ ปาทริค วิเอร่า แต่มันไม่มีที่ให้เล่น มันก็เลยเป็นงานที่ยากมาก พวกเขาไม่ปล่อยให้ผมได้ใกล้บอล ทำเอาผมหงุดหงิดเหมือนกัน แต่ผมไม่โมโหเลยตอนตัวเองถูกเปลี่ยนตัว หรือในนัดที่ต้องเป็นตัวสำรอง เพราะโค้ชเชื่อมั่นผม และผมต้องขอบคุณเขาอย่างเดียวเท่านั้น” ต๊อตติ ร่ายยาวหลังชูถ้วยแชมป์โลกอย่างยิ่งใหญ่บนแผ่นดินเยอรมัน



“ลิปปี้” อำลา “โดนาโดนี่” คุม “ต๊อตติ” ขอเว้นวรรคทีมชาติ รักษาสภาพร่างกาย ..............

หลังจาก อิตาลี คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เพียง 3 วัน ลิปปี้ ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับทีมชาติอิตาลีออกไป ทำให้สหพันธ์ฟุตบอลฯต้องหาเทรนเนอร์คนใหม่ และสุดท้ายก็เลือก โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ กุนซือวัยหนุ่มที่กำลังว่างงานหลังลาออกจาก ลิวอร์โน่ เมื่อกลางฤดูกาล 2005/06 ที่ผ่านมา และสิ่งแรกที่ โดนาโดนี่ เริ่มต้นทำงานในตำแหน่งเทรนเนอร์ทีมชาติ นั่นคือการพยายามติดต่อพูดคุยกับ ต๊อตติ ถึงความเป็นไปได้ที่จะลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีต่อไป เพราะด้วยวัยของเขาแค่ย่าง 30 ปีนั้น ยังไม่ถือว่ามาก และไม่เป็นอุปสรรคต่อการเล่นให้ทีมชาติแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ต๊อตติ เองก็เคยประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเลิกเล่นให้ทีมชาติ หลังจากจบฟุตบอลโลก 2006 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เนื่องจากต้องการมีเวลาดูแลครอบครัวที่เพิ่งจะได้ลูกชายหมาดๆให้มากขึ้น งานนี้ทำเอาแฟนบอลอิตาลีต้องลุ้นหนักร่วมไปด้วย จนสุดท้ายหลังจากกลับมาจากการพักผ่อนฉลองแชมป์โลก ต๊อตติ ก็ออกมาประกาศตัดสินใจลงเล่นให้ทีมชาติต่อไป อย่างน้อยคือถึงรอบสุดท้ายฟุตบอลยูโร 2008 ที่ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ เขาหวังไว้เช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ต๊อตติ จะตัดสินใจตอบรับการร้องขอจาก โดนาโดนี่ ที่จะกลับมาเล่นให้ทีมชาติอีกครั้ง แต่เจ้าตัวขอพักก่อนชั่วคราวจากการลงเล่นให้ทีมชาติไปจนจบฤดูกาล 2006/07 เพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บข้อเท้าหักเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ให้หายสมบูรณ์เต็มร้อย อย่างน้อยคือให้ทำการผ่าตัดเอาน็อตที่ฝังยึดข้อเท้าออกเสียก่อน เพราะจะเห็นได้ว่าหลังจาก ต๊อตติ หายจากอาการบาดเจ็บมา การที่ต้องเล่นโดยต้องพะวงกับข้อเท้าที่ยังไม่หายสนิทเป็นปลิดทิ้ง เลยทำให้ไม่สามารถเล่นได้เต็มที่เท่าที่ควรจะเป็นทั้งในเวทีฟุตบอลโลก และกับ โรม่า ทั้งนัดชิงชนะเลิศโคปปา อิตาเลีย ในช่วงท้ายฤดูกาล 2005/06 และ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ช่วงต้นฤดูกาล 2006/07 นั่นเอง

ซึ่งผมเองก็มองว่าเขายังไม่ใช่ ต๊อตติ ที่ท็อปฟอร์มเมื่อช่วงกลางฤดูกาล 2005/06 ก่อนที่จะบาดเจ็บข้อเท้าหักไป การเว้นวรรคของ ต๊อตติ ที่ยืนยันจะกลับมาในช่วงกลางปี 2007 นี้เอง ทำให้ อิตาลี ต้องควานหานักเตะที่จะเป็นตัวปั้นเกมให้ทีมกันจ้าละหวั่น และคนที่ดูเหมือนจะมาทดแทน ต๊อตติ ได้ดี ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อันโตนิโอ คาสซาโน่ นั่นเองครับ อดีตน้องชายสุดที่รักของ ต๊อตติ กลับมาฟิตเปรี๊ยะ ลดหุ่น และโชว์ฟอร์มได้ดีภายใต้การคุมทีมของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่ เรอัล มาดริด ทำให้เจ้าแสบถูกเรียกตัวเข้ามาติดทีมชาติอิตาลี ในเกมรอบคัดเลือกยูโร 2008 นัดแรกกับ ลิธัวเนีย

ซึ่งเกมดังกล่าว คาสซาโน่ ก็โชว์ฟอร์มได้ดี แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมแชมป์โลก เอาชนะ ลิธัวเนีย ได้ ทำได้แค่เสมอกันไปแบบน่าผิดหวัง 1-1 ขณะที่เกมนัดถัดมากับ ฝรั่งเศส คาสซาโน่ เล่นไม่ออก และทีมชาติอิตาลีต้องพ่าย ฝรั่งเศส ไปถึง 1-3 หมดลายแชมป์โลก ทำให้มีความเห็นจากหลายคนพูดถึงการกลับมาของ ต๊อตติ ที่น่าจะช่วยประสานงานเพิ่มความหลากหลายให้ดีขึ้น แต่ ต๊อตติ กับ คาสซาโน่ จะกลับมาเล่นร่วมกันได้อีกหรือ หลังจากความขัดแย้งที่สร้างรอยร้าวให้กับทั้งคู่ก่อน คาสซาโน่ จะย้ายจาก โรม่า ไป เรอัล มาดริด

“ฟรานเชสโก้ เป็นคนที่ชาญฉลาด และมีเหตุผล ซึ่งก็เหมือนกันกับ คาสซาโน่ ผมเชื่อว่าทั้งสองคนต้องการแค่เวลาเพียงสัก 5 นาที ในการเปิดใจพูดจา เคลียร์ความในใจต่อกันในทุกสิ่งที่เข้าใจผิดซึ่งกันและกันที่ผ่านมา”

“พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน เหมือนเป็นพี่น้อง และผมไม่เชื่อว่ามิตรภาพเหล่านั้นจะถูกทำลายลงไป ผมคิดว่าทั้ง ต๊อตติ และ คาสซาโน่ คืออนาคตของทีมชาติร่วมกัน” คาร์โล มัซโซเน่ อดีตเทรนเนอร์ โรม่า และบุคคลผู้ปลุกปั้น ต๊อตติ มากับมือกล่าวกับผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับพี่น้องที่ดูจะตัดเยื่อใยกันไปแล้ว



ฤดูกาล 2006/07 หมาป่าออกตัวสวย ทั้ง เซเรีย อา และ แชมเปี้ยนส์ ลีก !!! ...............

จากเรื่องเหลือเชื่อที่ทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์โลกแล้ว ดูเหมือนในส่วนของ โรม่า จะมีสิ่งดีๆตามเข้ามาเรื่อยๆ พวกเขาได้สิทธิ์ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติอย่างไม่น่าเชื่อ จากคดี Calciopoli ที่ทำให้เลก้า กัลโช่ มีการปรับตารางคะแนนฤดูกาล 2005/06 ใหม่ ซึ่งจากเดิมที่ โรม่า ได้อันดับที่ 5 กลับขึ้นมาเป็นที่ 2 เลย เพราะ ยูเวนตุส, มิลาน และ ฟิออเรนติน่า ทีมที่อยู่เหนือกว่าทีมหมาป่าในตาราง โดนตัดแต้มเสียยับเยิน เรียกได้ว่าส้มหล่นก็ว่าได้ สำหรับผม เรียกได้ว่าเมื่อตอนทีมหมาป่าเล่นเมื่อปีก่อนทำเอาลุ้นเหนื่อยกันแทบตาย แต่สุดท้ายก็ได้โควตามาดื้อๆซะงั้น

พอเริ่มเปิดฤดูกาลมา โรม่า ก็โชว์ฟอร์มร้อนแรงทันที เอาชนะ ลิวอร์โน่ กับ เซียน่า อย่างขาดลอยใน 2 นัดแรก พร้อมกับขยับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง แม้ว่าเกมต่อมาจะไปพลาดท่าแพ้ อินเตอร์ คารัง 0-1 แต่ก็กลับมาคืนฟอร์มได้ทันที ด้วยการบุกไปต้อน ปาร์ม่า ถึง 4-0 ส่วนในเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ในนัดแรก ก็โชว์ฟอร์มได้ดีเช่นกัน เมื่อเปิดบ้านถล่ม ชัคห์ตาร์ โดเนตส์ค จากยูเครนไปถึง 4-0 เช่นกัน ซึ่งการเล่นทั้งหมดนี้ ต๊อตติ เองก็มีส่วนร่วม แม้ว่าดูจากภาพรวมแล้ว ต๊อตติ ในปัจจุบันที่เห็น จะยังไม่ใช่ ต๊อตติ คนเดิมที่ท็อปฟอร์มเหมือนเมื่อกลางฤดูกาลก่อนก็ตาม ช่วงเวลานี้ก็ได้แต่หวังว่าการได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ ต๊อตติ เรียกฟอร์มเก่งกลับมาโดยเร็วที่สุด และในที่สุดถึงเกมนัดที่ 7 กับ คิเอโว่ ต๊อตติ ก็เริ่มยิงประตูแรกในลีกได้ และก็ยิงได้ต่อเนื่องเรื่อยมานับจากนั้น ใครจะไปคิดล่ะครับว่ามันจะมากถึงขนาดได้ลุ้นดาวซัลโวกัลโช่ และรองเท้าทองคำยุโรป

ในบรรดาผลงานที่น่าประทับใจของ ต๊อตติ เริ่มจากการเหมาทำคนเดียว 2 ประตู ให้ โรม่า บุกไปเชือด มิลาน ถึง ซาน ซิโร่ 2-1 ก่อนจะยิงลูกปิดท้ายสุดสวยในเกมถล่ม คาตาเนีย ถึง 7-0 ตามมาด้วยการโชว์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซในเกมถัดมากับ ซามพ์โดเรีย โดยประตูที่สองของเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประตูที่ดีที่สุด และยิงได้ยากที่สุดที่เคยทำได้ลูกหนึ่งในชีวิตทีเดียว แม้กระทั่งแฟนบอล ลา ซามพ์ ยังต้องลุกขึ้นยืนปรบมือให้ในความมหัศจรรย์

“นี่เป็นลูกยิงระดับโลก จากฝีเท้าของนักเตะระดับโลก” - เอกราช เก่งทุกทาง ผู้บรรยายเกม ยูบีซี กล่าวถึงประตูที่ 2 ของ ต๊อตติ กับ ซามพ์โดเรีย

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทีมหมาป่ายังคงเกาะกลุ่มลุ้นแชมป์อย่างเหนียวแน่น เป็นอันดับ 2 รองจาก อินเตอร์ เท่านั้น ต้องยอมรับว่าทีมงูใหญ่ฟอร์มร้อนแรงเกินห้ามใจมาก ทำไปได้ยังไง ชนะคู่แข่งถึง 17 นัดติดต่อกัน น่าเจ็บปวดสำหรับ ต๊อตติ และเพื่อนร่วมทีม ที่สถิติที่พวกเขาช่วยกันสร้างมาโดนทำลายในเวลาแค่ปีเดียว อย่างไรก็ตามมีหลายคนวิจารณ์ว่าอันที่จริง อินเตอร์ อาจไม่ชนะได้ถึง 17 เกมรวดก็เป็นได้ หากการเจอกับ โรม่า ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2008 ไม่ถูกเลื่อนจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ คาตาเนีย (ตอนนั้น อินเตอร์ ชนะมาแล้ว 14 นัดรวด) เอาเถอะ แม้ใน เซเรีย อา จะตาม อินเตอร์ ลำบาก แต่ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก โรม่า มาแรงแฮะ หลังจากผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ ทีมหมาป่าถูกจับสลากเจอกับ ลียง โดยต้องเล่นในบ้านก่อนไปเยือนนัดที่สอง ผลนัดแรกออกมาเสมอ 0-0 ถึงตรงนี้ใครๆก็ตราหน้าว่า โรม่า ร่วงแน่ๆ แต่สุดท้าย ต๊อตติ กับ มานซินี่ ช่วยกันซัดเขี่ย ลียง ตกรอบ ด้วยสกอร์รวม 2-0 ถึง สตาด เดอ แชร์กลอง แบบหักปากกาเซียน



แชมป์โคปปา อิตาเลีย ถ้วยใบแรกยุค สปัลเล็ตติ ............

เป็นเรื่องน่าเสียดาย และน่าเศร้าครับ โรม่า ของ ต๊อตติ ไปไม่ถึงดวงดาวใน แชมเปี้ยนส์ ลีก จนได้ เมื่อทีมถูกจับสลากไปชนกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมฟอร์มแรงจากอังกฤษ โดยที่ทีมหมาป่าต้องออกไปเยือนในนัดที่ 2 แบบเดียวกับที่เจอกับ ลียง เปี๊ยบ ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวยแล้วในนัดแรก เมื่อบรรยากาศใน โอลิมปิโก้ เป็นใจให้ ต๊อตติ และเพื่อนเหลือเกินที่จะเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด สุดท้ายก็ชนะได้จริงๆครับ แต่เพียงแค่ 2-1 เท่านั้น ทั้งที่จริงๆแล้ว แมนฯยูไนเต็ด เหลือ 10 คนตั้งแต่ครึ่งแรก และ โรม่า ก็มีโอกาสได้ประตูเพิ่มมากมาย แต่ก็ทำไม่สำเร็จ พอไปเยือนในนัดที่สอง ฟอร์มหลุดระนาว นักเตะเล่นแบบไร้สติ เลยโดนถล่มกลับมาไส้แตกถึง 1-7 แม้มันจะเป็นแค่เกมเดียวจากทั้งฤดูกาลล่ะครับ ที่ผมมองว่าทีมเล่นห่วยบรม แต่ก็เลี่ยงไม่ได้เลยที่มันจะกลายเป็นตราบาปของทีม กลายเป็นความขมขื่น ทั้งๆที่ โรม่า เข้ารอบมาได้ลึกกว่าทีมดังๆอย่าง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, อินเตอร์, ลียง หรือ อาร์เซน่อล แท้ๆ

“นี่เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพค้าแข้งของผม” ต๊อตติ กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ Rai

“ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทีมจะเสียถึง 7 ประตู ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมอยากจะมีโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้งในอนาคต ผลการแข่งขันจะต้องไม่เหมือนเดิมแน่ ผมต้องการตอบแทนสิ่งที่แฟนบอลมีให้กลับคืนไปบ้าง” ราชาหมาป่าทิ้งท้าย

และหลังจากวันนั้น โรม่า ของ ต๊อตติ พยายามตั้งสติงัดฟอร์มที่แท้จริงของตัวเองกลับมา 3 วันหลังจากคืนฝันร้ายที่ แมนเชสเตอร์ ขุนพลหมาป่าต้อนชนะ ซามพ์โดเรีย ถึง 4-0 โดยที่ ต๊อตติ ซัลโวประตูสุดสวยให้ทีมได้ด้วย เท่านั้นยังไม่พอ 1 สัปดาห์หลังจากนั้น ต๊อตติ ยังยิงฟรีคิกพลิกสถานการณ์ให้ทีมขึ้นนำ อินเตอร์ ที่ ซาน ซิโร่ ก่อนที่สุดท้าย โรม่า จะบุกไปชนะขาดลอยถึง 3-1 ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้ทีมงูใหญ่ ว่าที่แชมป์อิตาลี เป็นนัดแรกและนัดเดียวของฤดูกาล 2006/07 ดูเหมือนตอนนี้ทั้ง ต๊อตติ และ โรม่า กำลังท็อปฟอร์มทั้งคู่ และบทพิสูจน์ก็มาถึงอีกครั้งในเกม โคปปา อิตาเลีย รอบชิงชนะเลิศนัดแรก ที่ทีมหมาป่าถล่ม อินเตอร์ แหลกถึง 6-2 แม้ในนัดที่ 2 ใน มิลาน จะเป็นฝ่าย อินเตอร์ ที่เอาชนะคืนได้ 2-1 ก็ไม่เป็นปัญหากับสกอร์รวม โรม่า ชนะไป 7-4 คว้าโทรฟี่ใบแรกในรอบ 6 ปี ใบแรกในยุคของ สปัลเล็ตติ ที่ ต๊อตติ มองว่ามันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น



ปีทองของราชาหมาป่า ซัดแหลก 26 ประตู คว้าดาวซัลโวยุโรป ..............

จริงๆแล้วตำแหน่งที่ ต๊อตติ เล่นได้ดีที่สุดคือ เพลย์เมคเกอร์ การยืนทำเกมอยู่ข้างหน้าศูนย์หน้า ใช้เทคนิคความสามารถเฉพาะตัว ไหวพริบ เซนส์บอล นั่นคือสิ่งที่สร้างชื่อให้เขามาโดยตลอด จนกระทั่งมันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กลางฤดูกาล 2005/06 ที่บังเอิญศูนย์หน้าในทีม โรม่า พากันบาดเจ็บทั้งหมด และเป็นช่วงที่ คาสซาโน่ เพิ่งย้ายทีมนั่นแหล่ะ เป็นจุดพลิกผันให้ ต๊อตติ ถูกดันขึ้นมาเป็นศูนย์หน้า และต้องยืนคนเดียวเสียด้วย ถึงเวลานั้นผู้คนเริ่มจะจดจำ ต๊อตติ ในแง่ของกองหน้ามากขึ้น กระทั่งวันที่เขาข้อเท้าหักพักยาว กลับมาเล่นในฟุตบอลโลก ก็มาในแนวกองหน้าตัวต่ำ กระทั่งปีนี้ถึงได้มาเห็นเต็มๆตาอีกครั้งว่า ต๊อตติ สามารถเล่นศูนย์หน้าได้สบาย ยิงประตูได้มาก และโดดเด่นกว่าเดิมอีก

ต๊อตติ ซัดไปถึง 26 ประตูใน เซเรีย อา โดยเป็นการยิง 5 ประตูใน 4 นัดสุดท้าย แซงหน้า อฟอนโซ่ อัลเวส ของ ฮีเรนวีน โดยที่ รุด ฟาน นิสเตลรอย ดาวยิงจาก เรอัล มาดริด มีโอกาสยิงแซงเขาด้วยเหมือนกัน แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้ ต๊อตติ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำ ในฐานะเป็นคนที่ยิงประตูได้มากที่สุดของลีกในทวีปยุโรปนั่นเอง (ต้องอธิบายนิดหนึ่งด้วยว่าจริงๆแล้ว อัลเวส ยิงได้มากกว่า แต่ค่าสัมประสิทธิ์การยิงประตูในลีก อิตาลี สูงกว่าลีกดัตช์นะครับ) แน่นอนว่า ต๊อตติ ทั้งดีใจและสะใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนเคยปรามาสเขาไว้ว่าไม่มีทางกลับมาคืนฟอร์มสุดยอดได้อีกแล้ว หลังเห็นข้อเท้าหัก แถมยังอายุมากขึ้นทุกวัน

“1 ปีที่แล้ว ทุกๆคนกาชื่อผมทิ้ง พูดว่าผมหมดน้ำยาแล้ว แต่คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา กลับเป็นเหมือนให้โชคกับผม เพราะตอนนี้ผมเป็นทั้งแชมป์โลก ดาวซัลโว เซเรีย อา แชมป์โคปปา อิตาเลีย และคว้ารองเท้าทองคำมาครองได้สำเร็จ ยังมีอะไรอีกล่ะ ผมคว้ารางวัลรองเท้าทองคำเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งถือว่าครบ 6 ปีพอดีจากวันที่ โรม่า คว้าแชมป์ เซเรีย อา มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจสุดๆจริงๆ” ต๊อตติ กล่าวอย่างสะใจ



ครอบครัวที่แสนอบอุ่นของ ต๊อตติ ...........

หลังจบฤดูกาล 2006/07 ต๊อตติ กลับมาพักร้อนกับครอบครัวของเขา คริสเตียน บุตรชายคนแรกของ ต๊อตติ ถือกำเนิดในวันที่ 6 กันยายน 2005 ตั้งแต่มีลูก ต๊อตติ ดูเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน เขาเคยอารมณ์ร้อน ตบะแตกง่ายๆ ชอบเป็นหัวโจกโต้เถียงกับคู่แข่ง และผู้ตัดสิน มาวันนี้ภาพเหล่านั้นแทบไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เขากลายเป็นคนใหม่ ดูสุขุม อย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของความรักกับ อิลารี่ ก็เป็นไปด้วยความราบรื่น เขาแสดงออกในความผูกพันต่อกันที่มั่นคงเสมอ การทำท่าดูดนิ้วโป้งหลังทำประตูได้ของ ต๊อตติ เป็นการสื่อถึงภรรยาคู่ชีวิต ที่ชอบดูดนิ้วโป้งตัวเองอยู่บ่อยๆนั่นเอง ปัจจุบันทั้งคู่ทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านเสื้อผ้าด้วยกัน ต๊อตติ สร้างโรงเรียนสอนฟุตบอล “นัมเบอร์เทน” และตั้งทีมแข่งมอเตอร์ไซค์ “ต๊อตติ ท็อป สปอร์ต” ชีวิตเขากำลังเดินไปได้สวยจริงๆ

“ชีวิตของผมเปลี่ยนไปเลย หลังจากมีลูก คุณจะเติบโตขึ้นไปอีกขั้น ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่เท่านั้นถึงจะเข้าใจ ผมอยากให้เขามีชีวิตที่ดี และสงบสุข ในอนาคตก็อยากให้เขาเลือกทางเดินชีวิตที่ถูกที่ควร บรรลุเป้าหมายที่เขาได้วางไว้” ต๊อตติ กล่าว

มาถึงตอนนี้ ต๊อตติ ได้ลูกคนที่สองแล้ว เป็นบุตรสาวมีชื่อว่า ชาแนล ซึ่งคลอดในวันที่ 13 พฤษภาคม 2007 เขาตั้งใจจะติดชื่อลูกทั้งสองไว้ที่ปลอกแขนกัปตันทีมด้วย ก่อนหน้านี้ ต๊อตติ เคยบอกเอาไว้ว่าอยากจะมีลูกเยอะๆ ไว้ตั้งทีมฟุตบอล ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง อีกคนในครอบครัวที่มีบทบาทกับชีวิตของ ต๊อตติ ก็คือ ริคคาร์โด้ พี่ชายแท้ๆของเขานั่นเอง ปัจจุบันเขาผันตัวเองมาเป็นเอเย่นต์ให้น้องชายสุดที่รัก ต๊อตติ ยกย่องพี่ชายของเขามาก เขาเคยบอกอยู่เสมอๆว่าตอนเด็กๆในวัยไล่เลี่ยกัน ริคคาร์โด้ เก่งกว่า ฟรานเชสโก้ เสียอีก เพียงแต่โชคไม่ดีเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถไปได้สวยกับอาชีพนักฟุตบอล นี่แหล่ะครับ บุคคลที่น่าจะเป็นคนแรกในชีวิตที่ประลองแข้งกับ ราชาหมาป่า



ช็อกแฟนๆด้วยการประกาศอำลาทีมชาติถาวร .............

อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่า ต๊อตติ นั้นไม่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติมาเป็นเวลา 1 ปีเต็มแล้ว นับจากวันที่พลพรรคอัซซูร์รี่คว้าแชมป์โลกที่ เบอร์ลิน โดยราชาหมาป่าที่เคยคิดตัดสินใจจะเลิกเล่นไปตั้งแต่วันนั้นเกิดเปลี่ยนใจ อยากจะรับใช้ชาติต่อ เพียงแต่เขามองว่าสภาพร่างกายตัวเองในขณะนั้น ยังไม่ไหวแน่ที่จะเล่นให้ โรม่า และทีมชาติอิตาลี ไปพร้อมๆกัน ดูง่ายๆก็จากสภาพความฟิตไม่เต็มร้อย จากฟุตบอลโลก ยังกินระยะต่อเนื่องมาจนถึงช่วงกลางฤดูกาล 2006/07 ทีเดียว และผลที่ตามมาจากการไม่มี ต๊อตติ ในทีมชาติก็เริ่มส่งผลกระทบมาเรื่อยๆ เพราะลูกทีมของ โดนาโดนี่ ออกสตาร์ท ยูโร 2008 รอบคัดเลือกได้ไม่สวยงาม จังหวะและสไตล์การเล่นยังไม่สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอล มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่าในเวลานี้ ยังไม่มีใครที่จะมาทดแทน ต๊อตติ ได้

ยิ่งตอน ต๊อตติ กลับมาคืนฟอร์มเก่ง กระแสกดดันเพื่อเรียกร้องให้ ต๊อตติ กลับมาสู่ทีมชาติก่อนกำหนดก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่าง มิเชล พลาตินี่ ก็ขอร่วมแจม โดยบอกว่า ต๊อตติ น่าจะถูกแบน ถ้าปฏิเสธการเล่นให้ทีมชาติ แต่ในความเป็นจริง ต๊อตติ คุยกับ โดนาโดนี่ อย่างเปิดอก มีเหตุผลตรงไปตรงมา จะมีใครบ้างไม่อยากสวมเสื้อทีมชาติ แต่เพราะเขาคิดว่าสภาพร่างกายของเขายังไม่พร้อมที่จะเสี่ยง ประกอบกับคำแนะนำจากคุณหมอ มาริอานี่ ที่เคยกล่าวว่าหากเขาได้รับบาดเจ็บหนักอีกครั้ง ข้อเท้าของเขาอาจหมดหนทางที่จะกลับมาในสภาพเดิม และนั่นจะส่งผลร้ายไปถึง โรม่า ที่เขาตั้งใจจะเล่นอีกนานหลายปีด้วย เขาต้องการทดสอบให้แน่ใจมากกว่านี้ว่ามันไม่มีอะไรตกค้างแล้วจริงๆ อิลชีที ก็เข้าใจ ยอมรับการตัดสินใจ เลยไม่ได้เรียกตัว ต๊อตติ ติดทีมชาติ โดนาโดนี่ ไม่เคยพูดถึง ต๊อตติ ในแง่ลบเลยสักครั้ง สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน พลาตินี่ ในฐานะประธาน ยูฟ่า ก็ต้องร่อนจดหมายมาขอโทษที่พูดล้ำเส้นกับ ต๊อตติ

แต่ที่กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาคือการที่สื่อไปตีพิมพ์ว่า ต๊อตติ ขอลงรับใช้ชาติเฉพาะในเกมนัดสำคัญเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเพราะคนที่เชื่อไม่เพียงแต่แค่แฟนบอล ยังรวมถึงเพื่อนร่วมทีมชาติของเขาบางคนอีกด้วย นั่นทำให้ ต๊อตติ รู้สึกผิดหวังมากทีเดียว

“ผมคงคิดไปคนละอย่างกับเพื่อนร่วมทีมบางคน ถ้าผมต้องการพูดเรื่องบางเรื่องกับใคร ผมจะหยิบโทรศัพท์แล้วโทรหาเขาทันที ผมจะไม่ไว้ใจคุยกับหนังสือพิมพ์ มันคงเป็นความแตกต่างกันมั้งครับ ที่ผ่านมาผมไม่ได้เรียกร้องขอสิ่งใดเลย แม้กระทั่งการเป็นสมาชิกทีมชาติแบบพาร์ตไทม์ ผมอ่านเรื่องราวต่างๆบนหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็ได้แต่ยิ้ม ผมเองเหนื่อยหน่ายกับนักเตะทีมชาติบางคนที่ตอบคำถามเหล่านี้ ทั้งที่มันไม่ได้เป็นความจริงสักนิด” ต๊อตติ กล่าว

หลังจากเรื่องคลุมเครืออยู่นาน ในที่สุดช่วงบ่ายของวันที่ 20 กรกฎาคม 2007 ที่ศูนย์ฝึก ตริกอเรีย ของทีมหมาป่า ต๊อตติ ก็ประกาศอำลาทีมชาติอิตาลีอย่างถาวรจนได้ โดยให้เหตุผลถึงสภาพร่างกาย และเขาเองไม่ต้องการผิดใจ หรือสร้างปัญหาให้ใครในทีม

“คำพูดที่ว่า เลิกเล่นให้ทีมชาติดูเหมือนเป็นคำที่ไม่น่าฟัง แต่ผมได้ตัดสินใจแล้วที่จะยุติเรื่องราวกับทีมชาติด้วยเหตุผลทางสภาพร่างกาย ไม่ใช่เหตุผลทางด้านเทคนิคแต่อย่างใด ผมชั่งน้ำหนักเรื่องนี้มาเป็นเวลา 1 ปี หลังจบฟุตบอลโลก 2006 ผมตัดสินใจเลิกเล่นให้ทีมชาติเพื่อที่จะไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้กับสตาฟฟ์โค้ชอัซซูรี่ และเพื่อนร่วมทีม ผมเสียใจที่มีวันนี้”



วงการลูกหนังอิตาลียก ต๊อตติ นักเตะที่ยิ่งใหญ่ .............

หลังจากที่ ต๊อตติ ประกาศอำลาทีมชาติ ก็มีกระแสจากบุคคลหลายฝ่ายในวงการฟุตบอลอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแทบทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขา ต่างออกมายกย่องถึงคุณงามความดีที่ ต๊อตติ ได้เคยทำให้ทีมชาติมาตลอดตั้งแต่ปี 1998 ที่เขามีชื่อติดทีมครั้งแรก ด้วยความเสียดายนักเตะที่เก่งที่สุดแต่ไม่ได้เล่นให้ทีมชาติ นี่น่าเห็นใจสุดๆคงเป็น โดนาโดนี่ รายนี้ยังไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกับราชาหมาป่าด้วยซ้ำ แต่เขายอมรับกับทุกอย่างที่ ต๊อตติ ตัดสินใจ

“ฟรานเชสโก้ พูดความจริง เขาเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ และมีเกียรติสูง มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่พยายามกระจายเรื่องไม่ดีที่ไม่เป็นความจริงออกไป เราพูดคุยอย่างละเอียดในเรื่องนี้ และผมก็พร้อมยอมรับการตัดสินใจของเขา”

“บางคนบอกว่าผมพยายามไม่มากพอจะรักษาเขาไว้ แต่ทั้งหมดเป็นการพูดคุยของผู้คนตามร้านเหล้าเท่านั้น ผมรู้สึกเสียใจที่ไม่มีเขาอยู่ในทีมของผม ทั้งที่เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในอิตาลี แต่ผมเคารพการตัดสินใจของเขา ทั้งในฐานะมืออาชีพ และคนๆหนึ่ง เขาทุ่มเทอย่างหนักมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานแล้ว” โดนาโดนี่ กล่าวเมื่อวันเสาร์ 1 วันหลังจาก ต๊อตติ ประกาศการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ

ขณะที่ทางด้าน มาร์เชลโล่ ลิปปี้ ยอดเทรนเนอร์ที่เคยคว้าแชมป์โลกกับ ต๊อตติ ออกมากล่าวยอมรับการตัดสินใจของราชาหมาป่าด้วยเช่นกัน

“ผมรู้สึกเสียใจเพราะเขาคือแชมเปี้ยนผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาปิดฉากการผจญภัยกับ อัซซูร์รี่ ด้วยชัยชนะในศึก ฟุตบอลโลก มันเป็นการตัดสินใจที่ผมพร้อมจะยอมรับ ผมคุ้นเคยกับการตอบรับการตัดสินใจแบบนี้จากนักเตะคนอื่นๆมาแล้ว”

ส่วน คาร์โล มัซโซเน่ กุนซือขรัวเฒ่าผู้เปรียบเสมือนคนปลุกปั้น ต๊อตติ กล่าวถึงความรู้สึกของตัวเอง ถึงการที่จะไม่ได้เห็น ต๊อตติ ในทีมชาติอีกต่อไป

“ผมรู้สึกผิดหวัง และไม่พอใจในเวลาเดียวกัน เมื่อไรก็ตามที่นักเตะผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีความรักในเกมฟุตบอลมาสู่จุดที่เขาต้องตัดสินใจอำลาจากทีมชาติ มันย่อมทำให้เกิดความเห็นต่างๆนาๆจากผู้คน เมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนผมมีโอกาสเจอเขา และได้รับรู้ว่าเขาต้องเผชิญความยากลำบากแค่ไหนกับกระแสกดดันจากสื่อ ผมไม่รู้ว่าการเป็นผู้เล่น โรม่า จะปกปิดอะไรได้”

มาถึงคิวของ จานคาร์โล อาเบเต้ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (F.I.G.C.) กล่าวด้วยความเสียดายตามมา

“เมื่อผู้เล่นคนใดตัดสินใจเลิกสวมชุดอัซซูร์รี่ มันไม่เคยเป็นข่าวที่ดี และหากมองจากคุณค่าความเป็นแชมเปี้ยนอย่าง ต๊อตติ ยิ่งทำให้เป็นความน่าผิดหวัง และเสียดายมาก สำหรับสหพันธ์ฯ, แฟนบอลอิตาเลียน และแฟนบอลทั่วโลก”

ปิดท้ายที่ ลุยจิ ริว่า ซึ่งเป็นคนที่เปิดอกคุยกับ ต๊อตติ ก่อนที่จะตัดสินใจอำลาทีม โดยยอมรับการตัดสินใจ และยังยกย่อง ต๊อตติ ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอิตาลีอีกด้วย

“ผมรู้เรื่องการตัดสินใจของเขาแล้ว จากการที่ผมได้คุยกับเขานานเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว พูดคุยในทุกๆเรื่อง เราควรจะเคารพการตัดสินใจอย่างลูกผู้ชายของเขา ทั้งหมดที่เราทำได้คือการขอบคุณเขาในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อ อัซซูร์รี่”

“อิตาลี อาจจะเสียนักเตะ เวิลด์คลาส ที่แท้จริงไป บางทีอาจเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขามักจะสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมให้ อัซซูร์รี่ และเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอิตาเลี่ยน เขาทำสิ่งต่างๆมากมายให้กับกีฬาชนิดนี้ ผมรู้สึกประทับใจความเสียสละของเขา และการต่อสู้อย่างหนักใน เวิลด์ คัพ มันเหมือนว่าเขาไม่รู้สึกหวั่นเกรงใดๆ เขาให้ความสำคัญกับทีมเป็นอันดับแรก และเดินออกจากทีมชาติด้วยความภาคภูมิใจ” ริว่า กล่าวถึง ต๊อตติ ด้วยรอยยิ้มส่งท้าย



ชีวิตนี้ขออุทิศเพื่อ โรม่า .............

จะมีนักฟุตบอลอิตาเลียนสักกี่คน ที่ยอมตัดใจจากการรับใช้ทีมชาติอย่างถาวร เพื่อรักษาสภาพของร่างกายให้พร้อมเพื่อสโมสรเพียงอย่างเดียว ต๊อตติ ขอเลือก โรม่า ทีมที่เขารักสุดหัวใจ เขาเดินทางมาที่นี่ในปี 1989 เล่นทีมชุดใหญ่ในปี 1993 และทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก ทั้งจุดสูงสุดและต่ำที่สุด เขาเปรยถึงชีวิตค้าแข้งของตัวเองว่าตั้งใจจะเล่นให้ทีมหมาป่านานที่สุดเท่าที่ยังเล่นไหว แฟนบอลหลายคนไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ

“สัญญาของผมจะหมดลงในปี 2011 แต่ก่อนหน้านั้นผมอยากจะต่อมันเพิ่มไปอีก 2-3 ปี จากวันดังกล่าว ผมจะยังคงลงเล่นต่อ ตราบใดที่สภาพร่างกายของผมยังฟิตพอ แม้ว่าผมจะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อหลังจากนั้น ผมคงจะไม่มาเป็นโค้ช เพราะนั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ DNA ของผม ผมอยากจะก้าวเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ภายในสโมสรแทน”

“ผมมีความสุขที่ผมตัดสินใจอยู่ที่นี่ ความรักเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของผม และผมคงไม่มีทางหาสถานที่ไหนที่ผมรักได้มากกว่าเมืองๆนี้อีกแล้ว ผมคงไม่มีวันได้เป็น ต๊อตติ จากที่อื่นๆได้ ที่นี่ ผมรู้สึกอย่างแท้จริงว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ทายาทของผมน่ะเหรอ ผมเชื่อว่าคงจะมีสักคนที่จะเดินตามรอยเท้าผม แฟนบอลไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะ โรม่า นั้นเต็มไปด้วยผู้เล่นพรสวรรค์อยู่แล้ว”



พิสูจน์ฟอร์มสุดยอด ยิงไม่ยั้ง พา โรม่า ผงาด รับปี 2007/08 ..............

และแล้วฤดูกาล 2007/08 ก็มาถึง โรม่า เปิดตัวนักเตะใหม่หลายคนที่ฮือฮากว่าใครเห็นจะเป็น ลูโดวิช ชูลี่ ที่ย้ายมาจาก บาร์เซโลน่า ที่หลายคนมองว่าเป็นการซื้อที่ดีที่สุดในซัมเมอร์นี้ นอกนั้นที่เด่นๆก็มี ฮวน และ ซิซินโญ่ ทั้ง 3 คนให้สัมภาษณ์เหมือนกันตรงที่ ต๊อตติ เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งในการตัดสินใจมากรุงโรม ส่วนที่จากทีมไปคือ คริสเตียน คิวู ที่เผ่นไปร่วมหอลงโรงกับทีมคู่แข่งอย่าง อินเตอร์ แบบหน้าด้านๆ แต่เป็นการย้ายที่แนบเนียนกว่าตอน เอเมอร์สัน ไป ยูเวนตุส รายนั้นแฟนบอลถึงกับอาฆาต แช่งชักหักกระดูก ขณะที่ คิวู นี่แค่สาปส่ง สำหรับ ต๊อตติ เอง เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่สนใจถึงแนวทางการเล่นของทีม และคนที่มีใจให้ โรม่า มากกว่า

ทีแรกผมก็เป็นห่วงเหลือเกินว่าปีนี้ทีมจะยืนระยะไหวหรือเปล่า จากการเสีย คิวู ที่เป็นหัวใจในแนวรับมาตลอด 4 ปีหลัง อีกอย่างเพราะผลงานช่วงพรีซีซั่นเล่นกันแย่พอสมควรด้วย แต่แล้วเอาเข้าจริงๆในเกมอย่างเป็นทางการ โรม่า กลับระเบิดฟอร์มแรงด้วยการชนะถึง 5 นัดติดต่อกันทุกรายการ ตั้งแต่บุกไปชนะ อินเตอร์ แชมป์สคูเด็ตโต้ ถึง ซาน ซิโร่ คว้าถ้วยซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ก่อนจะชนะใน เซเรีย อา 3 นัดรวดกับ ปาแลร์โม่, เซียน่า และ เรจจิน่า ปิดท้ายที่การคว้าชัยเหนือ ดินาโม เคียฟ ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่ง 5 นัดดังกล่าว ทีมหมาป่ายิงไปถึง 10 ลูกและไม่เสียประตูเลย ถือเป็นการเริ่มต้นที่สุดยอดมาก แม้ว่า 2 นัดล่าสุดจะถูก ยูเวนตุส กับ ฟิออเรนติน่า ไล่ตีเสมอแบ่งแต้ม แต่โดยรวมแล้ว โรม่า ยังดูดีมีอนาคต รูปแบบการเล่นของ สปัลเล็ตติ มีแต่เสียงชื่นชม ไม่มีใครกล้าด่า

แน่นอนครับว่า ต๊อตติ มีส่วนอย่างมากทีเดียวในการพา โรม่า โดดเด่นแบบนี้ เขามีบทบาทในเกมรุกอันสวยงามของทีม คอยจ่ายบอลสวยๆ ยิงประตูคมๆให้ทีม ล่าสุดก็ซัดไปถึง 5 ประตูจาก 6 นัดที่ลงสนามในทุกรายการ (เซเรีย อา ลง 4 นัด ยิง 4 ประตู) ลองคิดดูว่าปีที่แล้วเขายิงไปทั้งหมด 26 ประตู โดยเริ่มยิงลูกแรกในนัดที่ 7 แต่นี่ผ่านไป 4 นัด มาแล้ว 4 ลูก ถ้าเขาไม่เจ็บ และเล่นคงเส้นคงวาแบบนี้ไปตลอด จบฤดูกาลจะยิงได้กี่ประตู อาจจะทะลุหลัก 30 ประตูเลยก็เป็นได้ ของแบบนี้ไม่แน่ไม่นอน หรือนี่คือสิ่งที่สวรรค์ประทานให้แฟนบอลหมาป่า มีสิ่งที่ดลใจให้ ต๊อตติ เลิกเล่นทีมชาติ เพื่อมาระเบิดฟอร์มได้เต็มที่ให้ โรม่า อย่างนั้นหรือ



นักเตะยอดเยี่ยม 5 สมัย กับอาการบาดเจ็บที่ตามรังควาน ..............

ผลงานของ ต๊อตติ กับ โรม่า กำลังติดลมบน ฟอร์มขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะคว้ารางวัลนักฟุตบอลอิตาเลียนยอดเยี่ยมสมัยที่ 5 มาครอง มันเป็นสถิติที่ยากที่ใครจะตามทัน แม้ช่วงเวลาดังกล่าวจะคาบเกี่ยวกับความสูญเสียเมื่อ นีลส์ ลีดโฮลม์ ตำนานทีมหมาป่าถึงแก่กรรม แต่ ต๊อตติ กับเพื่อนๆก็เข้มแข็ง กัดฟันสู้ ให้ผ่านมันมาได้ เขาลืมความเศร้าด้วยการใช้เวลาว่างพักผ่อนกับ อิลารี ภรรยา และลูกๆทั้ง 2 คนในบ้าน ทุกคนกำลังมองว่าราชาหมาป่าจะลงเล่นให้ โรม่า ไปอีกนานขนาดไหนถึงจะเลิก เราเคยเห็นนักเตะอย่าง บาจโจ้, ซินญอรี่, โซล่า, มันชินี่ หรือแม้แต่ จานนินี่ เอง เลือกที่จะค้าแข้งกับทีมเล็กๆไปจนถึงวัยเกือบ 40 ถึงเลิก แต่ ต๊อตติ ที่ต้องการสร้างตำนานการลงเล่นให้ โรม่า ที่เดียวจนแขวนสตั๊ด จะยืนหยัดอยู่ในลีกระดับสูง กับทีมระดับท็อปอย่าง โรม่า ได้ถึงตอนไหนกัน

“เขามักจะให้เวลาครอบครัวอยู่ตลอด วันธรรมดาเขาจะออกไปซ้อมช่วงเช้า และกลับมาอยู่กับครอบครัวในตอนบ่าย แต่อย่าลืมว่าอาชีพนักฟุตบอล เราไม่อาจออกไปเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์แบบคนอื่นๆได้ เมื่อถึงเวลาอันสมควร มันมีสิทธิ์เป็นไปได้ที่เขาจะเลิกเล่น ไม่แน่นะ อาจจะอายุประมาณ 35 ปี” อิลารี ภรรยา ต๊อตติ กล่าว

“หลังเขาเลิกเล่น เขาบอกว่าอยากจะทำงานอยู่ที่สโมสรนี่แหล่ะ แต่จะไม่เป็นโค้ช อาจจะเป็นฝ่ายเทคนิค หรือไม่ก็ฝ่ายบริหารมากกว่า มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง กับความผูกพันที่ ฟรานเชสโก้ มีต่อ โรม่า” อิลารี พูดปิดท้าย

ทุกอย่างมันทำท่าจะไปได้สวยแบบปีที่แล้วจริงๆครับ แต่มันเยี่ยมกว่าตรงที่ปีก่อน ต๊อตติ เครื่องร้อนช้า ขณะที่ปีนี้ฟอร์มแจ่มตั้งแต่ต้น ที่สำคัญคือเกมในบ้าน โรม่า แทบจะไม่พลาดเลย คว้า 3 แต้มตลอด แต่แล้วเรื่องที่แฟนหมาป่าไม่อยากให้เกิด ก็เกิดอีกจนได้ เมื่ออาการบาดเจ็บตามมารังควาน ต๊อตติ อีกครั้ง ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 3 กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในเดือนตุลาคม หลังจากที่เขาปะทะกับ เลียดสัน ที่พุ่งออกมาบล็อกจังหวะเดียวกับที่เขายิงฟรีคิก มันเป็นภาพที่ผมอึ้งเลย เพราะตั้งแต่ ต๊อตติ หายเจ็บกลับมาจากข้อเท้าซ้ายหัก ผมก็แทบไม่เห็น ต๊อตติ แสดงอาการเจ็บปวดขนาดนี้ ยังดีที่มันเป็นเท้าขวา คนละข้างกับที่เคยหัก สุดท้ายก็ฝืนสังขารเล่นไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวออกมา และนับตั้งแต่นั้น อาการดังกล่าวก็ยังไม่หายขาด ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาเกือบจะทั้งฤดูกาลเลยก็ว่าได้ เขาพลาดเกม เซเรีย อา ถึง 7 เกมจาก 12 นัดต่อมา

หนึ่งในจำนวนเกมที่ ต๊อตติ ไม่อาจลงเล่นได้คือ 2 นัดสำคัญที่ต้องเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แชมป์พรีเมียร์ลีกจากอังกฤษ ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งใครๆก็รู้ว่าทั้ง ต๊อตติ และ โรม่า เจ็บปวดมาจากการแพ้ 1-7 เมื่อฤดูกาลก่อน และต้องการแก้ตัวพิสูจน์ฝีเท้าใหม่ ซึ่งจากฟอร์มในรอบ 16 ทีมที่ชนะ เรอัล มาดริด ได้ทั้งเหย้าและเยือน ก็บ่งบอกว่า โรม่า ไม่ใช่ทีมๆเดียวกับปีที่แล้วแน่ๆ แต่แล้ว ต๊อตติ ที่ฟอร์มกำลังสดอยู่ดีๆ ดันมาเจ็บกะทันหันแบบช็อคแฟนบอลไปตามๆกัน สุดท้ายทีมหมาป่าก็ต้องตกรอบไป และ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ก้าวเข้าไปคว้าแชมป์ยุโรปได้ในที่สุด ต้องยอมรับว่า แมนฯ ยูไนเต็ด แกร่งจริง แต่ก็น่าเสียดายมากเช่นกันที่ ต๊อตติ ไม่มีโอกาสอยู่ในสนาม ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอแจ็คพอตจริงๆ



โรม่า ลุ้นสคูเด็ตโต้ - คว้าแชมป์โคปปา แต่ ต๊อตติ กลับปิดฉาก ผ่าตัดพักยาว 4 เดือน ............

แม้ในเวทียุโรปจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่สื่อมวลชนในอิตาลีไม่มีใครตำหนิ โรม่า เลย หนำซ้ำจะชื่นชมเอาด้วย เพราะทีมหมาป่าเป็นทีมเดียวของประเทศที่หลุดเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ มิลาน, อินเตอร์ และ ลาซิโอ พากันร่วงตกรอบไปเร็วกันหมด เมื่อไม่มีฟุตบอลยุโรปให้ต้องคึดถึง โรม่า ก็ต้องมุ่งมั่นกับ สคูเด็ตโต้ อย่างเดียว แม้ดูจากความน่าจะเป็นแล้วต้องอาศัยปาฏิหาริย์ และโรคระบาดเท่านั้น ถึงจะช่วยหยุด อินเตอร์ ไม่ให้ทำแต้มทิ้งห่างได้ คือมองยังไง ทีมงูใหญ่ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็แข็งแกร่งที่สุด มีนักเตะชั้นยอดให้เลือกมากมาย ขนาดจัด 2 ทีมแข่ง เซเรีย อา ยังไหว ต๊อตติ เอง หลังจากพลาดเกมยุโรป เขาหายกลับมาในเกมกับ อูดิเนเซ่ และสร้างความฮือฮาอีกครั้งในรายการ โคปปา อิตาเลีย รอบรองฯ ด้วยการยิงประตูสุดสวยให้ทีมเอาชนะ คาตาเนีย 1-0 ได้ในเกมแรก

แต่แล้วชะตาของ ต๊อตติ กับฤดูกาล 2007/08 ก็ต้องมีอันพังพาบอย่างรวดเร็ว เพราะในเกม เซเรีย อา นัดต่อมากับ ลิวอร์โน่ กลายเป็นวันส่งท้ายของราชาหมาป่าของซีซั่นไปซะงั้น เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง ถึงขั้นเอ็นหัวเข่าฉีก ผมเองยังมองว่ามันเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่าข้อเท้าหักเมื่อ 2 ปีก่อนพอสมควร ผลสรุปออกมาว่า ต๊อตติ ต้องเข้ารับการผ่าตัด และต้องพักอย่างต่ำ 4 เดือน เท่ากับว่าเขาปิดฉากฤดูกาลนี้แบบไม่มีอะไรต้องลุ้น ต๊อตติ ทำได้แค่ลุ้นเพื่อนร่วมทีมลุ้น สคูเด็ตโต้ จากข้างสนามใน 4 นัดสุดท้าย ซึ่งเพื่อนร่วมทีมก็ทำได้ดีเอามากๆ จากที่เคยตาม อินเตอร์ ห่างถึง 12 คะแนน ยังฮึดมามีลุ้นจนเกมสุดท้าย เหลือตามแค่แต้มเดียวเท่านั้น

โรม่า ต้องบุกไปเยือน คาตาเนีย ด้วยเป้าหมายคว้า 3 แต้มสถานเดียว โดยต้องลุ้นให้ อินเตอร์ ไม่ชนะ ปาร์ม่า ด้วย มันคือปาฏิหาริย์ และมันก็ไม่เกิดขึ้นจริง แม้ในบั้นปลาย ทีมงูใหญ่จะคว้าสคูเด็ตโต้ไป แต่ โรม่า ก็ล้างแค้นได้ในสัปดาห์ต่อมา กับเกม โคปปา อิตาเลีย นัดชิงฯที่กรุงโรม ที่ทีมหมาป่าเฉือนชัยไป 2-1 โดยที่ ต๊อตติ เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนๆเมื่อสวมยูนิฟอร์ม โรม่า ลงมาข้างสนาม และหลังจบเกม ก็ได้รับเกียรติให้ชูถ้วยแชมป์ในฐานะกัปตันทีมทั้งๆที่ไม่ได้ลงเล่น แน่นอนครับว่า ต๊อตติ สมควรได้รับมัน เพราะเขาทำเพื่อทีมมาตลอดทุกรอบ หลังเกม โรเซลล่า เซนซี่ ออกมาปฏิเสธข่าวการขายทีมให้ต่างชาติ โดยย้ำว่าทีมกำลังเดินหน้ามาถูกทาง และไม่มีอะไรจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง



กรุงโรมน้ำตาท่วม เมื่อ ฟรังโก้ เซนซี่ ถึงแก่กรรม .............

โรม่า ยังอยู่ในมือของครอบครัว เซนซี่ เช่นเดิม ไม่มีการขายให้ จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐี ฮังกาเรียน - อเมริกัน ฉายาพ่อมดการเงิน อย่างที่สื่อฟันธงแต่อย่างใด แม้ว่า อิตัลเปโตรลี บริษัทของครอบครัวที่ถือหุ้นใหญ่จะประสบภาวะหนี้สินมหาศาลก็ตาม เพราะพวกเขามองที่นี่เป็นบ้าน เป็นครอบครัว เป็นพ่อ แม่ ลูก จะขายให้คนอื่น คนนอก ไม่ได้ ถ้าไม่สิ้นเนื้อประดาตัวจริงๆก็ไม่ยอมให้ตกเป็นของต่างชาติ การยืนยันดังกล่าวสร้างความพอใจให้ ต๊อตติ เป็นอย่างมาก เพราะเขาเกรงว่าโครงสร้างทีมที่เน้นนักเตะโรมันท้องถิ่น อาจกลายสภาพเป็นทีมที่นักเตะต่างชาติเข้ามายึดพื้นที่แทน

ช่วงปิดฤดูกาล ตลาดนักเตะเปิดขึ้น เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทีมหมาป่าอีกครั้ง ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ทีมต้องเสียนักเตะดีๆไปหลายคน โดยเฉพาะในรายของ มานซินี่ ที่ไม่ยอมต่อสัญญากับทีม หลังจากอยู่ด้วยกันมา 5 ปีเต็ม ทำให้ โรม่า ต้องยอมขายให้ทีมคู่แข่งอย่าง อินเตอร์ อย่างจำใจ เพราะหมดสัญญาก็ไปอยู่ดี แถมไปแบบฟรีๆด้วย ส่วน ชูลี่ อยู่ได้ปีเดียว ทนนั่งสำรองไม่ไหว ก็อำลาทีมกลับฝรั่งเศส ทำให้ สปัลเล็ตติ ต้องเสริมนักเตะใหม่ด้วยการคว้าตัว ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ กับ ชูลิโอ บาปติสต้า เข้ามาเสริมทีม ในขณะที่ทีมกำลังวุ่นวายกับการหานักเตะใหม่อยู่นี่เอง ก็เกิดเหตุการณ์ที่เหมือนฟ้าผ่าลงใจกลางกรุงโรม

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2008 ฟรังโก้ เซนซี่ ประธานสโมสรที่ยิ่งใหญ่ของ โรม่า จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

เซนซี่ ผู้พ่อ ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ในวัย 82 ปี เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความโศกเศร้าเสียใจให้กับทุกชีวิตในรั้วหมาป่าเป็นอย่างมาก มีแต่คราบน้ำตา และเสียงร่ำไห้ ความสูญเสียเกิดขึ้นติดๆกันหลังจาก นีลส์ ลีดโฮล์ม จากไปไม่ครบปีแท้ๆ สำหรับ ต๊อตติ แล้ว เซนซี่ คือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ และมีบุญคุณกับ โรม่า อย่างหาที่เปรียบมิได้ ต๊อตติ เป็นหนึ่งในนักเตะทีมหมาป่าที่แบกโลงศพของ ฟรังโก้ เซนซี่ ออกจากโบสถ์เพื่อไปทำพิธีด้วยตัวเอง ราชาหมาป่ากล่าวถ้อยคำสดุดีประธานสโมสรที่เขารักมากที่สุด

“การจากไปของท่านประธาน เซนซี่ นำมาซึ่งความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เราได้สูญเสียส่วนสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์ทีม โรม่า และวงการกีฬา เหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นการสูญเสียสุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่องอย่างแท้จริง”

“เขาจากเราไปพร้อมกับ 15 ปีแห่งความทรงจำที่ลบเลือนไม่ได้ มันฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจของเรา ทุกๆวันที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับเขา มันเป็นอะไรที่ลืมไม่ลง แต่ที่ติดอยู่ในใจผมมากที่สุดคือวันที่เราฉลองกันที่ ชีร์โก้ มัสซิโม่ ในคืนที่เราคว้าสคูเด็ตโต้ ผมได้เห็นว่าเขามีความสุขมากขนาดไหน”

“เขารัก โรม่า และทำเพื่อทีมๆนี้มามากจนประเมินไม่ได้ นอกจากนั้นเขายังให้ความใส่ใจกับนักเตะในเรื่องส่วนตัวอีกด้วย เขาเป็นตำนานของของที่นี่ และจะเป็นตลอดไป ไม่มีวันลืม”



เริ่มฤดูกาล 2008/09 แบบกร่อยๆ จากหมาป่าเป็นหมาป่วย .............

การออกสตาร์ทฤดูกาล 2008/09 สร้างความผิดหวังให้ใครหลายๆคนในทีม รวมถึง ต๊อตติ เองด้วย หลังจากการจากไปของ ฟรังโก้ เซนซี่ 1 สัปดาห์ โรม่า ต้องลงสนามเจอกับ อินเตอร์ ในรายการ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ที่ ซาน ซิโร่ ด้วยสภาพจิตใจที่กำลังตกต่ำ อย่างไรก็ตาม นักเตะหมาป่ามองแง่บวก โดยตั้งใจไว้ว่าจะทุ่มเทมากที่สุดเพื่อคว้าถ้วยใบนี้เพื่ออุทิศให้ท่านประธาน ในเวลานั้น ต๊อตติ หายเจ็บ กลับมาฝึกซ้อมได้แล้ว เขามีชื่ออยู่ในทีม แม้จะเป็นเพียงแค่ตัวสำรองก็ตาม เกมนัดนี้สู้กันสนุกมาก แลกกันแบบหมัดต่อหมัด อินเตอร์ ขึ้นนำได้ 2 ครั้ง โรม่า ก็ตามตีเสมอได้ตลอด โดยที่ ต๊อตติ ถูกส่งลงมาช่วงท้ายเกม และมีส่วนช่วยให้ทีมตีเสมอได้ จนครบ 90 นาที เสมอกัน 2-2 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไป กระทั่งดวลจุดโทษชี้ขาด

น่าเสียดายจริงๆครับ อินเตอร์ แม่นกว่าดวลจุดชนะไป 6-5 ที่สำคัญคือ โรม่า มีโอกาสที่จะคว้าแชมป์ตรงหน้าแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ เมื่อคนยิงลูกตัดสิน ลูกที่ 5 ยิงพลาด .... ครับ คนๆนั้นคือ ต๊อตติ นั่นเอง เขาซัดบอลไปชนคานเต็มๆ ทำให้การดวลต้องยืดเยื้อไปถึงช่วงซัดเดนเดธ และ ฮวน ก็มายิงพลาดอีกคน ก่อนที่ ซาเน็ตติ จะมายิงประตูสุดท้ายให้ทีมงูใหญ่คว้าแชมป์จนได้ ต๊อตติ เองยังแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพลาดจุดโทษสำคัญได้แบบนี้ เขาให้สัมภาษณ์ด้วยความผิดหวังหลังจบเกม

“มันน่าเจ็บใจที่ผมต้องพลาดลูกจุดโทษแบบนั้น เพราะเหตุการณ์มันเกือบจะคล้ายนัดที่ผมเจอ ออสเตรเลีย ในฟุตบอลโลก 2006 อยู่แล้วเชียว เกมนั้นผมลงสนามมาเป็นตัวสำรอง และได้ยิงจุดโทษที่เป็นจุดตัดสินเกม ทั้งหมดมันเหมือนถูกเขียนบทมาให้ผมอย่างกับหนังชีวิต” ต๊อตติ เอ่ย

“ลูกจุดโทษที่ผมพลาดครั้งนี้ ก่อนยิงผมคิดอะไรเป็นพันอย่างอยู่ในหัว ผมนึกแม้กระทั่งการเลือกวางเท้าในการยิงว่าจะเปลี่ยนเป้าหรือไม่ และกำลังถามตัวเองว่าควรจะยิงมันด้วยข้างเท้าด้านใน และไม่อัดแบบเต็มแรงมากเกิน แต่มันกลับกลายเป็นว่าลูกออกมาโด่งมากเกินไปเสียอย่างนั้น ผมรู้สึกแย่ และผิดหวังมาก เพราะผมเตรียมมอบชัยชนะนัดนี้ให้ใครต่อใครหลายคน นึกไปถึงการฉลองมากมายสารพัด” ต๊อตติ ร่ายยาว

หลังจากนั้นอาการบาดเจ็บยังคงส่งผลกระทบการลงสนามของ ต๊อตติ มาเรื่อยๆ เหมือนยังไม่หายขาด หลังเกมกับ อินเตอร์ เขาลงเล่นได้แต่ในช่วงท้ายเกมเท่านั้น ยังไม่มีโอกาสได้เล่นเป็นตัวจริงเลย ล่าสุดก็ยังเจ็บอยู่ จนถึงขั้นมีข่าวลือว่า ต๊อตติ อาจต้องแขวนสตั๊ดก่อนกำหนด เพราะทนกับปัญหาบาดเจ็บไม่ไหว ซึ่ง โรม่า ก็ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว โดยคุณหมอ มาริอานี่ ยังยืนยันว่าราชาหมาป่ายังอยู่ในช่วงฟื้นฟูสภาพร่างกาย อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นต้องอำลาสนามแน่ๆ แม้เขาจะได้รับรางวัล แฟร์เพลย์ ของ กัลโช่ ปลอบใจแต่เจ็บบ่อยอย่างนี้ ก็ยินดีได้แบบไม่เต็มปากเท่าไหร่

ต๊อตติ ว่าแย่จากเรื่องเจ็บออดๆแอดๆแล้ว ก็ยังดูสู้ความแย่ของ โรม่า ในการออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ไม่ได้ เพราะทีมหมาป่าเล่นไม่ดีเอาเสียเลย เริ่มต้น 6 เกมแรกในทุกถ้วย นักเตะใหม่ยังปรับตัวช่วยเหลือทีมไม่ได้ แถมนักเตะยังพร้อมใจกันเจ็บแบบดื้อๆ นอกจาก ต๊อตติ แล้ว ทั้ง ตาดเด, แปร์ร็อตต้า, อากวิลานี่, เม็กแซส, ฮวน, บาปติสต้า, ปิซาร์โร่ และ คาสเซ็ตติ ยาวเหยียดจริงๆ ถึงขั้นที่ต้องยื่นซองขาวไล่ มาริโอ บรอซซี่ หัวหน้าทีมแพทย์ออก หลายคนสงสัยว่า โรม่า จะกลับมาฟื้นคืนชีพตอนไหน และอย่างไร ถ้าถามผม ผมมองว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ “ต๊อตติ” ฟิตสมบูรณ์เต็มร้อย เมื่อนั่นแหล่ะ โรม่า จะกลับมาเป็นทีมๆเดิมอีกครั้ง เขาจะต้องกลับมาได้แน่นอน แต่มันจะเมื่อไหร่ละ เวลานี้มันแทบไม่ใกล้เคียงเลย



ที่สุดแห่งความหายนะ เมื่อ โรม่า ออกสตาร์ตห่วยที่สุดในรอบ 24 ปี ............

ครับ ..... มันไม่ได้ใกล้เคียงเลยกับการที่ โรม่า จะกลับมาเป็นทีมๆเดิม เพราะทีมหมาป่ายังเล่นได้อย่างย่ำแย่ต่อเนื่องอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่สมกับมีดีกรีรองแชมป์อิตาลี และเป็นทีมระดับชั้นของยุโรปที่เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปีก่อน ที่ว่าไม่น่าเชื่อก็เพราะในเกมซูเปอร์โคปปา กับ อินเตอร์ ทีมหมาป่าไม่ได้เล่นขี้เหร่ และถ้ามีดวงสักหน่อย ก็คงได้ชูถ้วยไปแล้วล่ะ แต่หลังจากเกมนั้นทีมหมาป่าเหมือนติดเชื้อไวรัสที่รักษาไม่หาย เล่นใน เซเรีย อา 9 นัดแรก แพ้ไปถึง 6 นัด เก็บได้แค่ 5 คะแนนเท่านั้น จากแต้มเต็มๆ 27 คะแนน นับเป็นการออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่ที่ห่วยแตกที่สุดในรอบ 24 ปีของทีม หนำซ้ำยังกล้าๆแพ้ต่อ คลูช ทีมโนเนมจาก โรมาเนีย 1-2 คาบ้านในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก ถึงขั้นที่มีเสียงจากหลายฝ่าย มองไปในทางเดียวกันว่าแท็คติก 4-2-3-1 ที่ สปัลเล็ตติ ภาคภูมิใจมาตลอด 3 ปี เจอทางตันเป็นครั้งแรกเข้าเสียแล้ว

และหนึ่งในนักเตะที่ต้องแบกรับความกดดันอย่างหนักก็คือ ต๊อตติ เพราะหลังจากที่เขาหายเจ็บกลับมาจากการพักไป 4 เดือน ต้องประสบปัญหาฟื้นฟูสภาพร่างกายอย่างหนัก ลงสนามไปแต่ละเกม ไม่ค่อยมีส่วนร่วมมากเท่าที่ควร การที่ได้เล่น 1 เกม แล้วต้องพัก 1 เกม สลับไปมาตลอด ยังผลให้ฟอร์มการเล่นของเขาดูตกลงไปจากมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ยังดีที่เพื่อนๆคอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง รวมทั้ง สปัลเล็ตติ เองที่ยังเกือบเอาตัวไม่รอดเพราะมีข่าวลือว่าอาจจะถูกปลด ก็ยังให้โอกาส ต๊อตติ ลงเล่นทันทีที่ผ่านเส้นตายความฟิต เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะปรับสภาพร่างกายของ ต๊อตติ ให้กลับมายังจุดเดิมให้ได้

ว่ากันว่าชะตาของ สปัลเล็ตติ ใกล้จะขาดเต็มทีหลังจาก โรม่า บุกไปพ่ายต่อ อูดิเนเซ่ และ ยูเวนตุส จนอันดับของทีมร่วงลงมาอยู่ที่ 15 ของตาราง และถูกคาดเชือกไว้ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ต้องเปิดบ้านรับมือ เชลซี ของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ที่กำลังฟอร์มแรงสุดๆ นำเป็นจ่าฝูงของพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ และจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในเกมนี้จริงๆ เพราะ สปัลเล็ตติ ตัดสินใจเปลี่ยนแผนจาก 4-2-3-1 มาเป็น 4-4-2 ในระบบไดมอนด์ มีการดัน วูชินิช ขึ้นมายืนเป็นกองหน้าคู่ นั่นทำให้ ต๊อตติ ไม่ต้องแบกความหวังทีมในการยิงประตูเพียงคนเดียวอีกต่อไป

หลังจากไม่ได้ลงเล่นในเกมกับ ยูเว่ เกมนัดนี้ ต๊อตติ ผ่านความฟิตทันเวลา และผลที่ออกมาคือทีมหมาป่าดวลกับ เชลซี ได้อย่างสุดยอด จัดการไล่ถลุงทีมสิงโตน้ำเงินคราม กลับ ลอนดอน แบบหมดสภาพ 3-1 ทำเอาสื่อมวลชนผู้ดีที่มองว่าบอลอิตาลีจะแพ้ทาง หน้าแหกกันไปเป็นแถบๆ และเหลือเชื่อสุดๆครับ 9 นัดต่อมา โรม่า ในระบบ 4-4-2 ไม่แพ้ใครเลยในทุกรายการทั้ง เซเรีย อา, โคปปา อิตาเลีย และเวทียุโรป โดยชนะไปถึง 8 นัดติดต่อกัน ในจำนวนนี้เป็นการเชือดทั้ง ลาซิโอ และ ฟิออเรนติน่า ขณะที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 นัดที่เหลือก็ชนะรวดทั้งบุกไปล้างแค้น คลูช 3-1 และชนะ บอร์กโดซ์ รองแชมป์ลีก เอิง (ก่อนคว้าแชมป์ได้ในเวลาต่อมา) แบบนิ่มๆ 2-0 คว้าแชมป์กลุ่มมาครองแบบหักปากกาเซียน เขี่ย เชลซี ตกไปเป็นรองแชมป์กลุ่มแทน



พิสูจน์สายเลือดนักสู้โรมัน กัดฟันสู้อาการบาดเจ็บในยามวิกฤตเพื่อทีม ..............

แต่หนทางที่ โรม่า จะกลับมาอยู่หัวตารางมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ต้องมีอุปสรรคขัดขวางจนได้ ในขณะที่ทีมเข้าที่เข้าทางชนะมาติดๆกัน ก็ต้องมีอันมาสะดุดในเกมนัดที่ 17 ที่บุกไปเยือน คาตาเนีย และก็เป็นนัดที่ราชาหมาป่า ต๊อตติ เป็นคนสังเวยให้กับอาการบาดเจ็บที่ตามมารังควานอีกครั้ง เขาได้เล่นไปเพียงแค่ราวๆครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเจ็บกล้ามเนื้อขาขวาจนฝืนเล่นต่อไม่ไหว ต้องขอเปลี่ยนตัวออก จบเกมนัดนั้น โรม่า พ่าย คาตาเนีย 2-3 ถูกหยุดสถิติชนะ 5 นัดรวดในลีก และที่ทำเอาแฟนบอลแทบสลบคือ ต๊อตติ ต้องพักยาวเกือบ 2 เดือน ทั้งที่เขากำลังทำความฟิตเกือบจะเข้าที่เข้าทางแล้วแท้ๆ

อย่างไรก็ดี ด้วยระบบที่ค่อนข้างลงตัว ทำให้นักเตะที่เหลือยังรักษามาตรฐานแกร่งใน เซเรีย อา ไว้ได้ และที่ยังถือว่ามีโชคช่วยก็คือหลังจบเกมกับ คาตาเนีย เป็นช่วงที่ กัลโช่ พักเบรกหนีหนาวพอดี ทำให้ ต๊อตติ หายไปแค่ 5 นัด เสียดายตรงที่ช่วงนั้น โรม่า มีโปรแกรมหนัก ถูกประกบชน อินเตอร์ ที่ ซาน ซิโร่ ในโคปปา อิตาเลีย แบบที่แพ้ตกรอบทันที และสุดท้ายแชมป์ 2 สมัยซ้อนก็พ่ายทีมงูใหญ่ไป 1-2 ก่อนที่ ต๊อตติ จะหายกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมกับ ปาแลร์โม่ ซึ่งเขาก็แผลงฤทธิ์ยิงประตูช่วยให้ทีมชนะ 2-1 ทันที ตามมาด้วยการโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นในเกมที่เปิดบ้านต้อน เจนัว ยับเยิน 3-0 จะเห็นได้ว่าอย่างน้อยในยามที่ ต๊อตติ ฟิตพอที่จะลงสนาม เขาไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เขาเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาได้ เพื่อต่อสู้กับอาการเจ็บออดๆแอดๆที่ยังไม่หายเป็นปลิดทิ้ง

หนึ่งในเกมที่ ต๊อตติ ได้รับการยอมรับอย่างสูงคือเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีม ที่ โรม่า ถูกจับสลากมาเจอ อาร์เซน่อล ของอังกฤษ โดยในนัดแรกทีมหมาป่าบุกไปพ่ายมาก่อน 0-1 ทำให้ต้องการชัยชนะเท่านั้นถึงจะได้ลุ้นเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนเกมนัดที่ 2 ไม่กี่วัน ต๊อตติ มีอาการปวดเข่าอย่างหนัก ทีมแพทย์ต้องระดมช่วยเหลือกระทั่งเข็นลงสนามได้ แต่ก็ต้องใส่อุปกรณ์กันกระแทกไว้ เขาเหมือนคนพิการไปแล้วครึ่งตัว แต่กลับต่อสู้ยืนหยัดได้ถึง 120 นาที และยังช่วยยิงช่วงดวลจุดโทษให้ทีมด้วย แต่แล้วโชคชะตาก็อยู่ข้างทีมปืนใหญ่ ที่ดวลเป้าได้แม่นกว่า เป็นฝ่ายผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปล่อย โรม่า ตกรอบไว้แค่นี้ หมดโอกาสเข้าไปลุ้นชิงชนะเลิศในบ้านตัวเอง ไม่น่าเชื่อครับ จากที่เคยโดนแฟนบอลอังกฤษดูแคลนที่เคยแพ้ แมนฯยูฯ ทัศนคติจากหลายฝ่ายที่มีต่อ ต๊อตติ และ โรม่า กลับมาอยู่ในทางบวก เพราะความเป็นสายเลือดนักสู้โดยกำเนิดที่มีในตัวเขานั่นเอง

หลังจากตกรอบบอลยุโรป โรม่า เริ่มเผชิญกับความยากลำบาก เมื่อไม่อาจต้านทานความกดดันที่ตามมาได้ ต๊อตติ เองก็ยังคงไม่ฟิตเต็มร้อย แม้เขาจะทำประตูได้ต่อเนื่องยามลงสนาม (ยิงไป 6 ประตูใน 9 นัดสุดท้าย) แต่ก็ไม่เพียงพอจะทำให้ทีมไต่จากอันดับ 6 แซงหน้า ฟิออเรนติน่า กับ เจนัว ได้เสียที หนำซ้ำทีมหมาป่ายังแสดงให้เห็นปัญหาเกมรับอันร้ายแรงจากการเสีย 4 ประตู ในเกมที่แพ้ต่อทีมคู่ปรับอย่าง ยูเวนตุส, ลาซิโอ และ ฟิออฯ แม้จะกลับมาเล่นดี ชนะรวดใน 3 นัดสุดท้าย ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว กลายเป็น ฟิออฯ กับ เจนัว ที่ไปแย่งอันดับที่ 4 กัน (ฟิออฯ ที่ได้ที่ 4 และ เจนัว ได้ที่ 5) ปล่อย โรม่า น้ำตาตกได้แค่เพียงอันดับที่ 6 ของตาราง หลุดโควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี สรุปฤดูกาลนี้ ต๊อตติ ทำไป 13 ประตู จากการลงเล่นแค่ 24 นัด ถือเป็นซีซั่นที่เจ็บทั้งใจ เจ็บทั้งกายจริงๆ



พิษการเงินอันเลวร้าย ถึงคราว โรม่า ต้องขายนักเตะกิน ...............

ในเมื่อความสำเร็จไม่มี กระแสกดดันจากแฟนบอลที่กดดันให้ โรเซลล่า เซนซี่ ขายทีมทิ้งก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงอนาคตของเทรนเนอร์อย่าง สปัลเล็ตติ ด้วย เปรียบเทียบกับ มิลาน ที่คว้าอันดับที่ 3 ยังมีแนวโน้มสูงที่จะแยกทางกับ คาร์โล อันเชล็อตติ ทำให้เป็นเรื่องปกติที่จะมีข่าวของ สปัลเล็ตติ ที่ได้แค่ที่ 6 เก้าอี้ร้อนตามมา อย่างไรก็ตาม สปัลเล็ตติ ออกมายืนยันด้วยตัวเองว่าจะอยู่คุมทีมต่อไปอย่างน้อยก็ครบสัญญาอีก 3 ปี เช่นเดียวกับ เซนซี่ ที่ต้องคอยตอบปฏิเสธเรื่องการขายทีมไม่เว้นแต่ละวัน ทำเอาแฟนบอลที่ต้องการเห็นทีมก้าวหน้า หัวเสียไปตามๆกัน

เป็นที่รู้กันดีว่าสถานะทางการเงินของ โรม่า อยู่ในขั้นเลวร้ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่มีคำอธิบายใดๆจากผู้บริหารถึงนโยบายการระดมทุนสร้างทีม มีแต่ความคิดที่จะยืมตัว กับเซ็นสัญญานักเตะแบบฟรีๆเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต๊อตติ แสดงออกถึงจุดยืนของตัวเองในการอยู่ข้างตระกูลเซนซี่เสมอ โดยมีเหตุผลที่พร้อมจะขาย แต่ต้องมั่นใจว่าผู้บริหารรายใหม่จะกอบกู้ โรม่า ได้จริงๆ ต้องมีความเชื่อมั่นทั้งด้านการเงิน และแนวคิดในการรักษาเอกลักษณ์ของทีมแห่งโรมไว้ด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ข้อเสนอของ วินิโช่ ฟิออราเนลลี่ เศรษฐีชาวสวิส ถูกปัดออกไปอย่างไม่ใยดี หลังทนายความส่วนตัว นิโกล่า อีร์ติ ดันปากเสียวิจารณ์ ต๊อตติ ไปในทางลบ ทำนองว่ามีอิทธิพลมากเกินไป เขาไม่เคยมองว่า ต๊อตติ ทำอะไรเพื่อทีมๆนี้มาบ้าง จบกันครับ จะยื่นข้อเสนอใหม่ แฟนบอลก็ไม่ยอมรับเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม การที่แฟนบอลไม่ต้อนรับ ฟิออราเนลลี่ ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานะของ โรเซลล่า เซนซี่ ดีขึ้น เธอยังถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง และมาถึงจุดแตกหักเมื่อทีมตัดสินใจขาย อัลแบร์โต้ อากวิลานี่ หนึ่งในนักเตะท้องถิ่นที่ถูกมองว่าเป็นอนาคตของทีม ไปให้กับ ลิเวอร์พูล เพื่อพยุงฐานะการเงินของทีม ทำเอาแฟนบอลกลุ่มฮาร์ดคอร์ ทนไม่ไหวต้องไปประท้วงที่ ตริกอเรีย ขณะที่ สปัลเล็ตติ และนักเตะทุกคนก็พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆไม่ได้ ได้แต่ใจหายที่นักเตะสายเลือดโรมันแท้ๆ ซึ่งเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ต้องอำลาทีมไป ต๊อตติ เองก็ซึมไปไม่น้อย ถึงแม้ อากวิลานี่ จะเจ็บบ่อย อยู่บนเตียงพยาบาลมากกว่าอยู่ในสนามฟุตบอลก็เถอะ

“ผมเสียใจที่ อัลแบร์โต้ ต้องอำลาทีม เขาเป็นทั้งเพื่อนและเหมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง เป็นยอดนักเตะ และเป็นชาวโรมัน ทุกๆคนจะคิดถึงเขา” ต๊อตติ กล่าวถึงดาวเตะรุ่นน้องที่คงจะไม่มีโอกาสได้ลงเล่นเคียงข้างกันอีกแล้ว



สิ้นสุดยุค สปัลเล็ตติ ก่อน รานิเอรี่ สานงานช้างต่อ ..............

ฤดูกาล 2009/10 ของ โรม่า เปิดฉากขึ้นในเกม ยูโรปา ลีก ที่เปลี่ยนชื่อใหม่สดๆร้อนๆมาจาก ยูฟ่า คัพ นั่นเอง ทีมหมาป่าต้องลงเล่นในรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ก่อน จากโควตาอันดับที่ 6 ในลีก ขณะที่ ลาซิโอ กับ เจนัว ได้เข้าไปเล่นในรอบเพลย์ออฟเลย จากโควตาแชมป์ โคปปา อิตาเลีย และอันดับที่ 5 ในลีกตามลำดับ โดยจะต้องชนะคู่แข่งในรอบเพลย์ออฟให้ได้ด้วย ถึงจะได้เข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งในรอบคัดเลือกและรอบเพลย์ออฟนี้เอง ต๊อตติ ระเบิดฟอร์มสุดยอดด้วยการทำถึง 10 ประตูจากการลงเล่นเพียง 4 นัด ช่วยให้ โรม่า ต้อนตือ เกนท์ จากเบลเยียม และ โคซิเซ่ จากสโลวาเกีย ด้วยสกอร์รวม 10-2 และ 10-4 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามผลงานในคัมปิโอนาโต้ มันกลับสวนทางจากเวทียุโรปอย่างสิ้นเชิง เมื่อลูกทีมของ สปัลเล็ตติ พ่ายแพ้ติดต่อกันใน 2 นัดแรก ต่อ เจนัว 2-3 และ ยูเวนตุส 1-3 จนหล่นไปอยู่อันดับบ๊วยของตาราง หลังจบเกมนัดนั้นมีข่าวลือตามมาว่าสโมสรเตรียมที่จะปลด สปัลเล็ตติ ออกจากตำแหน่ง แถมยังมีรายงานว่ามีแฟนบอลเห็น โรเซลล่า เซนซี่ พูดคุยกับ เคลาดิโอ รานิเอรี่ อีกต่างหาก เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง สปัลเล็ตติ ออกมาประกาศตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเทรนเนอร์ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเขาชิงลาออกเอง ก่อนที่จะถูกปลด เพื่อความสบายใจกับทุกฝ่าย หลังช่วงเวลา 4 ปีเต็มที่เคยพาทีมได้รองแชมป์อิตาลีถึง 3 ครั้งซ้อน รวมถึงแชมป์โคปปา อิตาเลีย อีก 2 สมัย และคนที่ได้รับการแต่งตั้งมาทดแทนก็คือ รานิเอรี่ จริงๆ สำหรับ ต๊อตติ เขาใจหายไม่น้อยที่ สปัลเล็ตติ ตัดสินใจเช่นนั้น แต่ก็พร้อมตั้งต้นกับเทรนเนอร์ใหม่ ดันทีมไปสู่เป้าหมายให้ได้

“ผมมีช่วงเวลาสี่ปีกับ สปัลเล็ตติ ที่ไม่อาจลืมมันไปได้ เขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และน่านับถือ ผมยอมรับในการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตครั้งนี้ของเขา มันเกิดขึ้นเร็วมาก เพราะคัมปิโอนาโต้ เพิ่งผ่านไปแค่ 2 นัด ผมไม่รู้ว่ามันมีปัญหาอะไรอยู่เบื้องหลัง แต่บรรยากาศในห้องแต่งตัวยอดเยี่ยมมาตลอด เขาได้รับความเคารพจากนักเตะทุกคน และเขาเองก็พูดอยู่เสมอว่าไม่เคยคุมทีมไหนที่เยี่ยมยอดเท่าพวกเรามาก่อน ผมเสียใจที่เราต้องแยกจากกัน”

“สำหรับ รานิเอรี่ ผมประทับใจเขาในแง่ของความสามารถ ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ รวมไปถึงประสบการณ์ในการคุมทีมต่างๆมาอย่างโชกโชน ที่น่าสนใจคือเราเป็นชาวโรมัน ที่รัก โรม่า ด้วยกันมากทั้งคู่ ผมเชื่อว่าทีมเรายังมีอนาคตที่ดีข้างหน้า ผมหวังว่าเขาจะไปได้สวยกับทีมเรา” ต๊อตติ ร่ายยาว

ภารกิจของ รานิเอรี่ ถือเป็นงานช้างที่พิสูจน์ฝีมือเขาเต็มๆเลยก็ว่าได้ เพราะต้องคุมทีมที่ไม่มีเงินซื้อนักเตะ ต้องทำทุกอย่างดำเนินไปด้วยความคุ้มค่าที่สุดแบบเดียวกับที่ สปัลเล็ตติ เคยทำ กุนซือชาวโรมันยังยืนยันถึงบทบาทสำคัญในทีมที่ต้องมี ต๊อตติ เป็นแกนหลัก แต่ต้องไม่ลืมว่าสิ่งแรกคือจะทำอย่างไรให้แฟนบอลยอมรับ และเชื่อในฝีมือ ในส่วนของนักเตะ ผมเชื่อว่าแข้งหมาป่าชุดนี้ มีความเป็นมืออาชีพพออยู่แล้วล่ะ



ต๊อตติ ต่อสัญญาใหม่อีก 5 ปี สิ้นสุดปี 2014 ..............

ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับการเปลี่ยนเทรนเนอร์นี้เอง มีข่าวว่า โรม่า เตรียมจะต่อสัญญาฉบับใหม่ให้กับ ต๊อตติ โดยสัญญาเดิมนั้นจะหมดลงในช่วงเดือน มิ.ย. ปี 2010 ซึ่งก็คือเหลือเพียงปีเดียวเท่านั้น จากเดิมที่เขาเคยได้รับเงินค่าเหนื่อย รวมค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์มาตั้งแต่ปี 2005 เป็นมูลค่ามหาศาลถึง 10.4 ล้านยูโรต่อปี แต่ด้วยสถานะทางการเงินของทีมไม่สู้ดี ราชาหมาป่าเลยแสดงสปิริตยอมที่จะลดค่าเหนื่อยตัวเองลงมา เหลือเพียงราวๆ 5 ล้านยูโรต่อปีเท่านั้น โดยมีรายงานว่าเป็นสัญญาระยะยาวถึง 5 ปี ซึ่งจะไปสิ้นสุดในปี 2014 โดยที่ ต๊อตติ จะมีอายุมากถึง 38 ปีเลยทีเดียว นั่นหมายความว่ามันอาจจะเป็นสัญญาฉบับสุดท้ายของเขาก่อนจะแขวนสตั๊ดก็เป็นได้

“โรม่า คือชีวิตของผม ผมเลือกทีมๆนี้ด้วยหัวใจ มีหลายคนบอกว่าผมน่าจะมีโอกาสคว้าลูกบอลทองคำถ้าเล่นให้ทีมอื่น แต่ผมมอง โรม่า มีค่ามากกว่าสิ่งนั้น การต่อสัญญาฉบับใหม่นี้ถือว่าสำคัญกับผมมาก เพราะมันคงจะเป็นสัญญาฉบับสุดท้ายในอาชีพนักเตะของผม เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นที่ต้องคิดมาก ผมเองเคยปฏิเสธ เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ตอนอายุ 26 ทั้งๆที่ได้รับค่าเหนื่อยมากกว่าตอนนี้ถึงสองเท่า นั่นเพราะผมต้องการลงเล่นในสีเสื้อของ โรม่า อยู่ตลอดเวลา” ต๊อตติ กล่าวถึงสัญญาฉบับใหม่

ในที่สุดการเซ็นสัญญาก็มีขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2009 และได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก โรม่า ในวันที่ 16 ธันวาคม โดยมีการระบุในสัญญาว่าหลังจาก ต๊อตติ แขวนสตั๊ดแล้ว เขาก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งในฝ่ายบริหารของทีมต่อไป ต๊อตติ ไม่คิดอยากเป็นเทรนเนอร์เพราะรู้ดีว่าอาชีพนี้อายุความผูกพันสั้น และไม่มีอะไรแน่นอน การเป็นฝ่ายบริหารจะทำให้เขาอยู่ใกล้ชิด โรม่า ที่เขารักไปตลอดกาล เป็นเหมือนเพื่อนที่จะไม่แยกจากกัน แบบเดียวกับที่ บรูโน่ คอนติ กำลังเป็นอยู่

ผมกำลังคิดอยู่ว่าถ้าเจ้าของ โรม่า มีเงินเท่าเจ้าของทีม แมนฯ ซิตี้ นักเตะระดับ ต๊อตติ สมควรจะได้รับค่าเหนื่อยเท่าไหร่ จะมีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์สักกี่คนที่ยอมลดค่าเหนื่อยตัวเองลงมาแบบที่ ต๊อตติ ทำ นี่อาจเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ โรเซลล่า เซนซี่ จะมอบให้แฟนบอลหมาป่า ท่ามกลางข่าวลือการเทคโอเวอร์สโมสรอย่างหนักก็เป็นได้



รานิเอรี่ ปลุกหมาป่าคืนชีพลุ้น สคูเด็ตโต้ ..... ต๊อตติ ได้ลงเป็นยิง !!! .............

หลังจาก ต๊อตติ ต่อสัญญาตลอดชีพกับทีมไปแล้ว โรม่า ภายใต้การคุมทีมของกุนซือเลือดโรมัน รานิเอรี่ ก็เร่งทำผลงานดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ แม้ทีแรกจะมีแฟนบอลหมาป่าบางกลุ่ม ยังไม่เชื่อในฝีมือของเขานัก จากภาพความเป็นคนคิดมาก และไม่เคยประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งกับ เชลซี หรือ ยูเวนตุส แต่เพราะผลงานมันออกมาดีเกินคาด ใช้คำว่าเหลือเชื่อก็ได้ จากทีมที่มีปัญหามาต่อเนื่อง และลงไปอยู่บ๊วยของตารางใน 2 นัดแรก กลับกลายเป็นทีมที่เหนียวแน่น แพ้ยาก ถึงจะไม่เพลินตาเหมือนยุค สปัลเล็ตติ แต่เป็นฟุตบอลที่มีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง แฟนที่ไม่มั่นใจตอนนี้เริ่มหนุนหลังเต็มตัวกันหมดแล้ว ในส่วนของ ต๊อตติ เอง ยังเป็นตัวความหวังในการจบสกอร์ของทีมได้ดี แม้จะมีอาการบาดเจ็บรังควาน แต่ถ้าได้สวมสตั๊ดลงสนามเมื่อไหร่ ยิงประตูได้ตลอด ผลงานการซัด 3 ประตูสยบ บารี่ ยังคงติดตาแฟนๆไม่หาย โรม่า ก็ร้อนแรงมาก ทำสถิติไม่แพ้ใครถึง 24 นัดติดต่อกันในลีก โดยชนะไปถึง 18 นัด ถึงขนาดพลิกมาแซงนำ อินเตอร์ เป็นจ่าฝูงได้ ก่อนจบซีซั่นเพียง 4 นัด

แต่วาสนาของ รานิเอรี่ มาได้เท่านี้ครับ โรม่า ที่ชนะมา 6 นัดรวด ดันแพ้พลิกล็อกต่อ ซามพ์โดเรีย คากรุงโรม 1-2 ในนัดที่ 35 ทั้งๆที่ ต๊อตติ ยิงให้ทีมขึ้นนำก่อนด้วย แต่ความกดดันทำให้พลาดเสีย 2 ประตู โดยแทบไม่เหลือเวลาแก้ตัว เลยต้องเสียตำแหน่งจ่าฝูงกลับคืนไปให้ทีมงูใหญ่ น่าเสียดายที่แม้ทีมหมาป่า จะกลับมาชนะใน 3 นัดที่เหลือ ก็ไม่เพียงพอจะหยุดการทำสถิติแชมป์ 5 สมัยซ้อนของ อินเตอร์ ที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียนได้ หนำซ้ำยังพลาดแชมป์โคปปา อิตาเลีย ไปอีกใบ ทั้งที่ได้เล่นนัดชิงฯในสนามเหย้าของตัวเอง โดยที่ ต๊อตติ ไปฟิวส์ขาด ไล่เตะ มาริโอ บาโลเตลลี่ จนถูกไล่ออกอีก น้ำกำลังเชี่ยวไปขวางลำบากครับ อินเตอร์ บุกมาทุบได้ 1-0 ก่อนจะเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ ปล่อย โรม่า ฝันสลายอีกครั้ง ได้แค่รองแชมป์ 2 รายการ ขณะที่ในเวทียุโรปอย่าง ยูโรปา ลีก นี่ถือว่าสวนทางกับในคัมปิโอนาโต้สิ้นเชิง เพราะพวกเขาไปได้แค่ถึงรอบ 32 ทีมสุดท้ายเท่านั้น เพราะไปแพ้ พานาธิไนกอส จากกรีซ ทั้งเหย้า และเยือน ด้วยสกอร์ 2-3 ทั้ง 2 นัด อย่างไรก็ตาม ผลงานโดยรวมทั้งฤดูกาลของ ต๊อตติ ถือว่าไม่เลวเลย เพราะยิงไปถึง 25 ประตู จาก 31 นัดในทุกรายการ

ด้วยผลงานที่ถือว่ายอดเยี่ยมดังกล่าว ไม่น่าแปลกใจที่ชื่อของ ต๊อตติ จะนำไปถูกโยงกับการคัมแบ็กกลับมาเล่นให้ทีมชาติอิตาลีอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ หลังจากลงเล่นนัดสุดท้ายในเกมคว้าแชมป์โลกที่ เบอร์ลิน ในปี 2006 ก่อนจะประกาศเลิกเล่นไปเมื่อ 3 ปีก่อน แฟนบอลรวมทั้งสื่อมวลชนหลายกลุ่มยังเชื่อว่าหากวัดกันที่ฝีเท้า ต๊อตติ ยังคงเป็นนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศ และไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวนเสียด้วย ที่สำคัญคือ ต๊อตติ เคยเปรยๆมาก่อนหน้านี้ว่าหากถูกเรียกตัว ก็คงไม่ปฏิเสธ ทำให้เกิดกระแสกดดันไปยัง มาร์เชลโล่ ลิปปี้ ที่หวนกลับมาคุมทีมอีกครั้งให้พยายามดึง ต๊อตติ กลับมาเล่นให้ได้ แต่แล้วเมื่อถึงเวลาตัดตัวนักเตะ 30 คนแรก ก็ไม่ปรากฎชื่อของ ต๊อตติ แต่อย่างใด รวมถึงไม่มีรายงานการพูดคุยระหว่าง ลิปปี้ และตัว ต๊อตติ เองถึงโอกาสคัมแบ็กดังกล่าว

สุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ก็ไม่มี ต๊อตติ ไปร่วมด้วย และ อิตาลี ที่เป็นแชมป์เก่าก็ทำผลงานได้ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม เมื่อเป็นบ๊วยในรอบแบ่งกลุ่ม ตกรอบแรกอย่างน่าอับอาย หลังกลับมาถึง อิตาลี อดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ จานลุยจิ บุฟฟ่อน รวมทั้ง ดิเอโก้ มาราโดน่า ต่างพูดเป็นทำนองเดียวกันว่าหนึ่งในสาเหตุความล้มเหลวของ อิตาลี ก็มาจากการขาดนักเตะพรสวรรค์ที่หลากหลายแบบ ต๊อตติ นั่นเอง ผมก็เข้าใจ แต่ส่วนตัวมองว่าถึง ต๊อตติ จะไป ก็คงช่วย อิตาลี ชุดนี้ลำบาก เพราะปัญหามากมายสารพัดจริงๆครับ



หมาป่าถึงวันเปลี่ยนเจ้าของ เซนซี่ จำใจปล่อยทีม เพื่อความอยู่รอด .............

ถึงแม้ โรม่า จะไปไม่ถึงแชมป์ แต่ดูเหมือนแฟนบอลจะพอใจกับแนวทางของทีมที่ รานิเอรี่ วางไว้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะทำใจไว้ก่อนแล้วว่าทีมไม่ได้มีงบมากมายเหมือนทีมใหญ่ๆทีมอื่น ดังนั้นการมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด และแล้วก็มีข่าวใหญ่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลใหม่เกิดขึ้น เมื่อมีรายงานว่า บริษัท อิตัลเปโตรลี ที่เป็นบริษัทแม่ของ โรม่า ภายใต้การบริหารงานของ ตระกูลเซนซี่ กำลังอยู่ในสภาวะใกล้ล้มละลาย เพราะมีปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก ไม่อาจชำระหนี้มหาศาลกว่า 325 ล้านยูโร (ประมาณ 14,000 ล้านบาท) ที่กู้ธนาคาร Unicredit ได้ทันตามกำหนด ถึงกับมีการเสนอให้นำ โรม่า ที่เป็นบริษัทลูกในเครือมาขาย เพื่อลดหนี้ดังกล่าว แน่นอนครับ โรเซลล่า เซนซี่ ไม่ต้องการขายสมบัติชิ้นนี้ที่พ่อของเธอเคยสร้างมากับมือไปให้คนอื่น ต้องพยายามที่สุดเพื่อรั้งไว้ให้ได้ การเจรจากันอย่างเคร่งเครียดของทั้งสองฝ่ายจึงมีมาต่อเนื่อง ว่ากันว่าหาก ตระกูลเซนซี่ ยังยื้อที่จะบริหาร โรม่า ต่อไป อาจถึงขั้นหมดตัว ไม่เหลือทรัพย์สินใดๆติดมือเลยทีเดียว

ต๊อตติ เองในฐานะกัปตันทีมก็มีความรู้สึกเครียดตามไม่น้อยเช่นกัน เขาเองแสดงตัวสนับสนุน ตระกูลเซนซี่ มาตลอด เพราะความผูกพันที่ร่วมงานกันมา ถึงขั้นเคยควักเงินซื้อหุ้นของทีมมาแล้ว สุดท้ายดูเหมือนท่านประธาน เซนซี่ จะถอดใจ ยอมให้ โรม่า ถูกขายทอดตลาดจนได้ โดยปล่อยให้ Unicredit มอบหมายต่อไปยัง Rothschild ควานหาเจ้าของใหม่ให้ทีมหมาป่า มีข่าวพัวพันเยอะทั้งนักธุรกิจในประเทศ และต่างประเทศ รวมไปถึงราชวงศ์ซาอุดี อาระเบีย แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเจ้าของ โรม่า ต่อจากตระกูลเซนซี่ จะเป็นใคร อย่างไรก็ตามตำแหน่งประธานก็จะยังคงเป็น โรเซลล่า เซนซี่ ต่อไปก่อน จนกว่าจะเจอเจ้าของใหม่นั่นเอง ส่วนตัวผมรู้สึกใจหายพอสมควรที่ต้องมีวันนี้ ถึงแม้จะทนเห็นความอดอยากปากแห้งของทีมมาตลอดในหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน เชื่อว่า ต๊อตติ เองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากนี้ครับ ได้แต่รอความคืบหน้า และทำใจยอมรับมันให้ได้เท่านั้น



รับรางวัล Golden Foot บทพิสูจน์ ต๊อตติ ในฐานะขวัญใจแฟนบอลจากทั่วโลก ..............

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของทิศทางสโมสร ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ ต๊อตติ ผ่อนคลายไปได้ จากการคว้ารางวัล Golden Foot ซึ่งเป็นรางวัลที่ถูกโหวตมาจากแฟนบอลทั่วโลก ผ่านทางเว็บไซต์ของทางผู้มอบรางวัลเอง โดยจะมอบให้กับนักเตะที่อายุ 29 ปีขึ้นไป ที่ยังลงเล่นอยู่ และจะได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการได้ซ้ำ โดยชื่อของ ต๊อตติ ถูกโหวตมาเป็นอันดับ 1 ได้ไป 25,738 เสียง เอาชนะอันดับ 2 ราอูล กอนซาเลซ ที่มี 23,693 เสียง และ อันดับ 3 เดวิด เบ็คแฮม ที่มี 15,049 เสียง บอกตรงๆว่า ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่า ต๊อตติ จะได้รางวัลนี้ เพราะยอมรับว่า ต๊อตติ ไม่ใช่นักเตะไนซ์กายในสายตาแฟนบอลทีมอื่นๆมากนัก มองยังไง ภาพลักษณ์ก็ไม่น่าจะสู้ทั้ง ราอูล และ เบ็คแฮม ได้ นี่ยังไม่รวมอันดับถัดลงไปที่มีชื่อของ ไรอัน กิ๊กส์, สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด, จานลุยจิ บุฟฟ่อน ฯลฯ เข้าชิงด้วย นั่นจึงสร้างความปลาบปลื้มอย่างมากให้กับ ต๊อตติ ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รางวัลดังกล่าว

“รางวัลนี้ทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้มเอามากๆ เพราะมันมาจากการเลือกโดยแฟนบอลทั่วโลก ถ้าดูจากรายชื่อคนที่เคยคว้ารางวัลนี้มาก่อน ก็มีแต่นักเตะระดับสุดยอดทั้งสิ้น และยังมีนักเตะระดับแชมเปี้ยนเข้าชิงกันเยอะ ผมอยากจะกล่าวขอบคุณทุกเสียงที่โหวตให้จากใจจริง” กัปตันหมาป่า กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ต๊อตติ เดินทางจาก โรม ไปยัง โมนาโก เพื่อรับรางวัลดังกล่าวจาก เจ้าชายอัลแบร์ ที่สอง และได้ประทับรอยเท้าของตัวเองบนถนน The Champions Promenade ร่วมกับบรรดาดาวเตะชื่อก้องโลกคนอื่นๆอีกด้วย แม้มันจะไม่ใช่รางวัลที่ใหญ่โตอะไร แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ได้รับการยอมรับในฐานะตำนานนักฟุตบอลคนหนึ่ง เหมือนกับที่ Hollywood Walk of Fame จารึกชื่อซูเปอร์สตาร์ในวงการบันเทิงเอาไว้ ที่ อ่าวโมนาโก ก็จะมีชื่อ และรอยเท้าของ ต๊อตติ ฝังไว้ไปตลอดกาลเช่นกัน



เมื่อ ราชาหมาป่า ต้องเผชิญหน้ากับการหลุดตัวจริง เป็นครั้งแรก ..............

ไม่รู้เป็นจะเพราะเรื่องข่าวการเปลี่ยนเจ้าของหรือเปล่า ที่ทำให้ โรม่า ทีมเดิม โค้ชเดิม นักเตะหน้าเดิมๆ โชว์ฟอร์มผิดไปจากมาตรฐานปีที่แล้วอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงพรีซีซั่นที่มีปัญหาทั้งเกมรุกและรับ โดยเฉพาะอย่างหลัง บทจะหลุดก็เละไปหมด ทีมหมาป่าออกสตาร์ทฤดูกาล 2010/11 อย่างย่ำแย่แบบที่หลายคนงงเป็นไก่ตาแตก เริ่มจากการแพ้ อินเตอร์ 1-3 ในซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ถัดจากนั้นใน เซเรีย อา 4 นัดแรก ไม่ชนะใครเลย แถมยังสร้างความอับอายด้วยการบุกไปโดน กายารี่ ไล่ต้อนถึง 5-1 ซึ่งทุกฝ่ายเริ่มจับประเด็นไปที่การพยายามเปลี่ยนแผนการเล่นใหม่ของ รานิเอรี่ ที่พยายามจะใช้แผน 4-4-2 ที่ตนเองชื่นชอบ เข้ามาแทนแผน 4-2-3-1 ของปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าแปลกมากกับการเปลี่ยนระบบที่ดีอยู่แล้ว มีการทดลองและเปลี่ยนนักเตะไม่ซ้ำกันในทุกๆนัด จนทีมขาดความต่อเนื่องไปเรื่อยๆ กระทั่ง โรม่า ในฐานะรองแชมป์ ต้องหมดลุ้นแชมป์ไปด้วยเวลาอันรวดเร็ว

ในส่วนของ ต๊อตติ เอง ต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัวเข้าเต็มๆ จากเดิมถ้าเขาฟิตร่างกายพร้อมเมื่อไหร่ ยังไงก็ต้องลงเป็นตัวจริง เพราะเป็นคนที่ฝากความหวังได้มากที่สุด แถมยังมีสถานะเป็นกัปตันทีม และเป็นสัญลักษณ์สโมสร แต่กลับกลายเป็นเริ่มถูก รานิเอรี่ จับนั่งเป็นตัวสำรอง และมีหลายเกมที่ถูกเปลี่ยนตัวออกเร็วมากกว่าปกติ ซึ่งตลอดอาชีพค้าแข้งของ ต๊อตติ ไม่เจอเคยเรื่องแบบนี้ การลงเล่นที่ไม่สม่ำเสมอจากการตัดสินใจของ รานิเอรี่ ส่งผลถึงฟอร์มการเล่นของ ต๊อตติ อย่างชัดเจน เขายิงประตูได้น้อยมาก เพียง 3 ลูก จาก 21 นัดแรกในลีก สอดคล้องกับผลงานที่ยังไม่แน่นอนของทีม อย่างไรก็ตาม รานิเอรี่ คือโค้ชที่มีหน้าที่ตัดสินใจ หากวันใดที่ไม่มี ต๊อตติ ลงเล่นแล้วทีมชนะ ราชาหมาป่าต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะผลประโยชน์ของทีมสำคัญที่สุด

นับวันกระแสของ ต๊อตติ เป็นที่พูดกันกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากถูกดร็อปในเกมบิ๊กแมตช์กับ มิลาน ตามมาด้วยการลงเล่นกับ ซามพ์โดเรีย แค่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้มีสื่อหลายสำนักตีข่าวว่า ต๊อตติ ไม่มีความสุขกับบทบาทที่ไม่มั่นคง และอาจถึงขั้นอำลาทีม ทำเอาสาวกหมาป่ารู้สึกตกใจไปตามๆกัน ก่อนที่เจ้าตัวจะออกมาชี้แจง โดยยืนยันว่าแม้จะไม่ได้ลงเล่น ก็ไม่คิดจะสร้างปัญหาด้วยการอำลาทีมไปแน่นอน

“ผมพร้อมเป็นตัวเลือกให้ รานิเอรี่ ทุกเวลาที่เขาต้องการ ผมมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม และจงรักภักดีกับโค้ชของผมทุกคน ผมเป็นกัปตันทีม และผมต้องออกมาทำความชัดเจนให้เกิดขึ้น ผมไม่ต้องการและไม่มีวันสร้างปัญหาที่สโมสรแห่งนี้ ผมเชื่อว่าด้วยความร่วมมือร่วมใจกัน เราจะฝ่าฝันช่วงเวลาวิกฤตไปให้ได้”

“ผมยอมรับทุกเสียงวิจารณ์ในการเล่นของผม แต่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้ ผมไม่เคยมีความคิดจะไปจาก โรม่า แม้แต่น้อย จากการได้คุยกับ รานิเอรี่ เราก็เข้าใจตรงกัน ถ้าผมเล่นดี เขาก็จะเห็นว่าผมทำอะไรให้ทีมได้ แต่ถ้าเขาเลือกให้ผมนั่งสำรอง หรือบนอัฒจันทร์ มันก็ไม่มีปัญหา โรม่า ที่แท้จริงกำลังจะกลับมาอีกครั้ง รวมทั้ง ต๊อตติ ตัวจริงเสียงจริงด้วย” ต๊อตติ เปิดใจ



การเดิมพันที่ล้มเหลวของ รานิเอรี่ ก่อนหมาป่าพลิกมาอยู่ในมือเพื่อนซี้ มอนเตลล่า ..............

แม้เรื่องตำแหน่งในสนามของ ต๊อตติ จะได้รับคำตอบแล้ว แต่ โรม่า ก็ยังไม่พ้นช่วงเวลาวิกฤตเสียที ไม่น่าเชื่อว่า โรม่า ที่เคยติดลมบนไม่แพ้ยาวๆ เมื่อซีซั่นก่อน กลับไม่มีทีท่าจะฟื้น หลังจากทำได้แค่เสมอ เบรสชา 1-1 ในบ้าน ทีมหมาป่าบุกไปแพ้ อินเตอร์ ยับเยิน 3-5 ก่อนจะกลับมาเล่นในบ้านตัวเอง ยังแพ้ต่อ นาโปลี 0-2 แบบหมดทางสู้ ในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็แพ้ ชัคห์ตาร์ โดเน็ตส์ค คาบ้านอีก ว่ากันว่าเวลาของ รานิเอรี่ เหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว แฟนบอลแทบจะทั้งหมด ไม่เชื่อว่า รานิเอรี่ จะพา โรม่า กลับมาผงาดได้อีกต่อไป กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายมาถึงในเกมบุกไปเยือน เจนัว นัดนั้น โรม่า ออกสตาร์ทเกมได้ดี ขึ้นนำเจ้าถิ่นไปก่อนถึง 3-0 โดยที่ ต๊อตติ ยิงลูกที่ 3 ได้ในช่วงต้นครึ่งหลังด้วย

แต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องไม่น่าเชื่อ เมื่อทีมหมาป่าค่อยๆถูก เจนัว ยิงไล่ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ จากตีไข่แตก กลายเป็นตีเสมอ และพลิกแซงกลับมาชนะ 4-3 ในที่สุด โดยเกมดังกล่าว รานิเอรี่ ถูกสื่อโจมตีอย่างหนัก ว่าไม่สามารถแก้เกมเพื่อปกป้องทีมได้ ที่สำคัญคือนักเตะขาดแรงจูงใจอย่างหนัก เขาไม่สามารถกระตุ้น หรือจูงใจให้นักเตะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว หลังจบเกมนั้น รานิเอรี่ ก็ตัดสินใจขอลาออก โดยไม่ต้องรอให้ถูกไล่ เพื่อให้ได้เงินชดเชย เขาเลือกที่จะจากไปโดยไม่ต้องการกระทบความสัมพันธ์กับแฟนๆ เพราะตัวเองก็เป็น โรมานิสต้า ในสายเลือดเช่นกัน

หลังจากการอำลาของ รานิเอรี่ ทำให้ โรม่า ต้องค้นหา เทรนเนอร์ คนใหม่อีกครั้ง แต่เนื่องจากมีเวลาไม่มาก และเลยช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมไปแล้วด้วย มันไม่ง่ายที่จะหาโค้ชฝีมือดีมาคุมทีมที่กำลังมีปัญหา ภาพของคนในสโมสรจึงลอยมาก่อนคนนอก สุดท้ายทีมก็มองไปที่ วินเชนโซ่ มอนเตลล่า อดีตเพื่อนร่วมทีมของ ต๊อตติ ที่เคยคว้า สคูเด็ตโต้ ด้วยกันมานี่เอง หลังจากแขวนสตั๊ดไปเมื่อ 2 ปีก่อน เขาได้งานทำที่สโมสร โดยเป็นโค้ชดูแลทีมเยาวชน อายุต่ำกว่า 15 ปี อาจดูน่าแปลกที่ โรม่า เลือกคนหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์มารับงานใหญ่ แต่ด้วยบุคลิกที่เป็นคนสุขุม และยืดหยุ่น บวกกับความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเตะที่เหมือนเป็นเพื่อนเคยเล่นด้วยกันมา โดยเฉพาะกับ ต๊อตติ ทำให้ทีมตัดสินใจแต่งตั้งเขามาเป็นโค้ชด้วยสัญญาชั่วคราวจนจบฤดูกาล



ต๊อตติ คืนฟอร์มซัดถึง 207 ลูก ขึ้นทำเนียบอันดับ 5 ดาวซัลโวตลอดกาล กัลโช่ ...........

การได้ มอนเตลล่า เข้ามา เหมือนทำให้ทุกชีวิตในรั้วหมาป่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นว่าระบบ 4-4-2 ของ รานิเอรี่ ใช้ไม่ได้ผลอีก จึงปรับเปลี่ยนกลับมาใช้ระบบ 4-2-3-1 ที่ สปัลเล็ตติ เคยใช้ โดยมอบหมายให้ ต๊อตติ กลับมายืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าคนเดียว แม้ว่าจะไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ แต่ผลงานในลีก มีการกระเตื้องขึ้น ค่อยๆไต่จากอันดับที่ 8 ขึ้นมาจนมีลุ้นพื้นที่ยุโรปเต็มตัวอีกครั้ง และไฮไลต์สำคัญอยู่ในเกม โรมดาร์บี้ กับ ลาซิโอ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2011 ตัวผมเองมีโอกาสได้ไปชมเกมนี้ที่สนามด้วย เกมนัดดังกล่าว ต๊อตติ โชว์ฟอร์มเป็นพระเอก เหมายิงคนเดียว พาทีมชนะไป 2-0 เสียงที่ได้ยินกึกก้องในสนาม บ่งบอกถึงความรักจากแฟนบอลที่มีต่อกัปตันของเขา อย่างที่จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้

“มันเป็นเกมดาร์บี้ในฝันของผมอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด ชัยชนะจาก 2 ประตูของผมมันช่างสวยงามเหลือเกิน บุคลิกของผมบอกได้อยู่แล้วว่าไม่มีทางยอมแพ้ ผมจะเดินหน้าต่อไป จริงๆการเอาชนะ ลาซิโอ มันก็เป็นความสุขมากอยู่แล้ว ยิ่งมาทำประตูได้ 2 ลูก ผมมีความสุขเพิ่มไปอีกเท่าตัวเลย”

“ตั้งแต่ วินเชนโซ่ ก้าวเข้ามา ความมุ่งมั่นของทีมก็เปลี่ยนไป คุณดูได้ชัดเจนว่าเรากระหายชัยชนะขนาดไหน ผมขออุทิศชัยชนะนัดนี้ให้ครอบครัว เซนซี่ พวกเขาสมควรได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจากการทุ่มเทมาให้ทีมตลอด เราต้องขอบคุณท่านประธานจริงๆ อีกคนที่ผมจะลืมไม่ได้คือภรรยาของผม เราใช้ชีวิตร่วมกันมานานถึง 9 ปีแล้ว” ต๊อตติ ให้สัมภาษณ์หลังจบเกม

ในเกมถัดมากับ ฟิออเรนติน่า ต๊อตติ ยังยิงประตูได้อีก 2 ลูก ทะลุเกิน 200 ประตูในลีก ถึงแม้ในบั้นปลายตอนจบฤดูกาล โรม่า ภายใต้การคุมของ มอนเตลล่า จะไม่อาจคว้าพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ไว้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังพอให้ยิ้มออก คือการกลับคืนฟอร์มสุดยอดของ ต๊อตติ นั่นเอง เขายิงได้ถึง 8 ประตู จาก 9 นัดสุดท้าย ทำให้ยอดประตูรวมตลอดกาลของ เซเรีย อา พุ่งขึ้นไปถึงอันดับที่ 5 โดยยิงไปทั้งหมด 207 ประตู แซงหน้าสถิติของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ที่ทำไว้ 205 ประตู เป็นรองเพียงแค่ 4 คน คือ ซิลวิโอ ปิโอล่า (274), กุนนาร์ นอร์ดาห์ล (225), จูเซ็ปเป้ เมียซซ่า และ โชเซ่ อัลตาฟินี่ (216) เท่านั้น คงไม่เป็นการเกินเลย หากจะบอกว่า ต๊อตติ มีโอกาสสูงที่จะทาบสถิติ 4 คนแรกขึ้นไปเรื่อยๆ หากยังรักษาฟอร์มการเล่นไว้ได้สม่ำเสมอแบบนี้ บทสรุปซีซั่น 2010/11 ต๊อตติ ทำไป 17 ประตู พลิกสถานการณ์ที่เคยตำแหน่งตัวจริงสั่นคลอน กลับมาเป็นฮีโร่ และตัวหลักที่ทีมขาดไม่ได้อีกครั้ง



การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อกลุ่มชาวอเมริกันเข้าเทคโอเวอร์ โรม่า ............

ในที่สุด โรม่า ก็ได้เจ้าของใหม่มาแทน ตระกูลเซนซี่ จนได้ โดยกลุ่มนักธุรกิจชาวอเมริกัน เชื้อสายอิตาเลียน นำโดย โธมัส ดิ เบเนเด็ตโต้ หนึ่งในผู้ถือหุ้นของ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นของทีมหมาป่า 67 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 70.3 ล้านยูโร (ประมาณ 3 พันล้านบาท) จากธนาคาร Unicredit ที่เข้ามาจัดการทีมแทน โรเซลล่า เซนซี่ ซึ่งยังค้างหนี้มากถึง 325 ล้านยูโร ทำให้ โรม่า กลายเป็นสโมสรแรกใน อิตาลี ที่ถูกเทคโอเวอร์โดยชาวต่างชาติไปโดยปริยาย ทางด้าน ดิ เบเนเด็ตโต้ เอง แม้จะยังใหม่กับเรื่องฟุตบอล แต่ด้วยการที่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับบริหารทีมกีฬาอย่าง บอสตัน เรดซ็อกซ์ ทีมเบสบอล ใน MLB สหรัฐฯ และยังมีเงินทุนอัดฉีดทีมต่างกับยุคของ เซนซี่ ที่ประสบปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้แฟนบอลหมาป่าฝันไปตามๆกันว่าทีมรักจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

วันที่ 30 มิถุนายน 2011 ถือเป็นจุดสิ้นสุดขั้วอำนาจของ ตระกูลเซนซี่ ในทีม โรม่า ครับ เมื่อ โรเซลล่า พร้อมด้วยทีมงานทั้งหมดของเธอ กล่าวคำอำลาจากตำแหน่งบอร์ดบริหารอย่างเป็นทางการ โดย ดิ เบเนเด็ตโต้ ในฐานะประธานสโมสรคนใหม่ และประธานกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีม ส่งผู้บริหารอย่าง เคลาดิโอ เฟนุชชี่ เข้ามาเป็น ซีอีโอ ขณะที่ Unicredit ซึ่งกลายเป็นผู้ถือหุ้นรอง ส่ง เปาโล ฟิออเรนติโน่ เข้ามานั่งเก้าอี้บริหารเช่นกัน โดยเข้ามาช่วยทีมตั้งแต่ช่วงที่ เซนซี่ ยังบริหารอยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ทีมมีการปรับเปลี่ยนภายในตามมา โดยแต่งตั้งให้ วอลเตอร์ ซาบาตินี่ เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ แทนที่ ดาเนียเล่ ปราเด้ เท่ากับว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงทีมใหม่หมดจริงๆ ดิ เบเนเด็ตโต้ ต้องการสร้างทีมใหม่ และใช้ระบบใหม่ และนั่นรวมไปถึงตำแหน่งเทรนเนอร์ของทีม ที่ผู้บริหารใหม่มองว่า มอนเตลล่า ไม่ใช่คำตอบของอนาคต จึงไม่ยื่นสัญญาถาวรให้เขาคุมทีมชุดใหญ่ต่อ

ส่วนตัวผมว่าน่าเสียดายตรงที่อดีตลูกหม้อของทีมอย่าง มอนเตลล่า ไม่ได้กลับไปคุมทีมเยาวชน ยู-15 เพื่อฝึกฝีมือเทรนเนอร์ต่อ กลับกลายเป็น คาตาเนีย ที่ได้เห็นผลงานช่วงสั้นๆกับ โรม่า เกิดสนใจฝีมือ เลยติดต่อเข้ามาเพื่อดึงไปคุมทีมในระดับ เซเรีย อา ด้วยกัน นั่นเป็นเรื่องที่ มอนเตลล่า เอง ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ เส้นทางของ โรม่า กับ มอนเตลล่า จึงต้องขาดจากกันในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ทั้งๆที่หากทีมไม่เลือกเขามาสานงานชั่วคราวต่อจาก รานิเอรี่ ในตอนนั้น ทุกวันนี้ เราอาจจะยังเห็น มอนเตลล่า เดินเข้า-ออกในรั้ว ตริกอเรีย อยู่ก็เป็นได้



ต๊อตติ กับ เอ็นริเก้ และ การกลับคืนสู่ตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์อีกครั้ง! ..............

โรม่า กับฤดูกาลใหม่ 2011/12 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลจริงๆ ทั้งเจ้าของใหม่ บอร์ดบริหารใหม่ ผู้อำนวยการกีฬาใหม่ ยังไม่รวมถึง ฟรังโก้ บัลดินี่ คู่หูของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่กำลังจะกลับเข้ามาร่วมงานด้วยอีกคนในอนาคต หลังจากหมดภารกิจกับทีมชาติอังกฤษ ในยูโร 2012 แน่นอนว่าตำแหน่งที่แฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุดอยู่ที่ เทรนเนอร์ นั่นเอง จากกระแสที่เคยมีข่าวพัวพันกับหลายๆคน ตั้งแต่รายชื่อบิ๊กเนมอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ, ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์, มาร์เชโล่ บิเอลซ่า จนมาถึงรายชื่อที่ดูจะธรรมดาอย่าง ซิลวิโอ ปิโอลี่ สุดท้ายกลายมาเป็น หลุยส์ เอ็นริเก้ เทรนเนอร์ของ บาร์เซโลน่า ชุดบี โดยทางผู้บริหารมองว่า เอ็นริเก้ น่าจะนำเอาปรัชญาฟุตบอลแบบ บาร์เซโลน่า ที่กำลังยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน มาพัฒนา โรม่า ให้เป็นไปในทางเดียวกัน

ในส่วนของนักเตะ ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ทีมก็ว่าได้ หลังจากต้องเสีย ฟิลิปป์ เม็กแซส ไปให้ มิลาน แบบฟรีๆ ทีมมีการปล่อยตัว มีร์โก วูชินิช, เฌเรมี่ เมเนซ, ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ และ อเล็กซานเดอร์ โดนี่ ที่ล้วนแต่เคยเป็นกำลังสำคัญของทีมมานาน แต่ก็ทดแทนด้วยนักเตะหน้าใหม่หลายคน ที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ มาร์เท่น สเตเคเลนเบิร์ก และ โบยาน เกร์กิช รวมถึงเพลย์เมคเกอร์ดาวรุ่ง เอริค ลาเมล่า ซึ่งต้องบอกว่าการเปลี่ยนแปลงนักเตะมาก ย่อมต้องใช้เวลาในการปรับตัว ยิ่ง เอ็นริเก้ เรียนงานโค้ชมากับระบบ 4-3-3 ของ บาร์ซ่า ด้วย การจะปรับทีมๆเดิมที่เคยใช้แผนเดิม นับเป็นงานที่ยากและหินสุดๆ สำหรับโค้ชต่างชาติ ที่ยังไม่มีประสบการณ์คุมทีมในต่างแดน

แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจริงๆครับ โรม่า ภายใต้การคุมของ เอ็นริเก้ ลองผิดลองถูกจนพังไม่เป็นท่ามาหลายนัด ตั้งแต่ผลงานพรีซีซั่นที่แพ้คู่แข่งเละเทะ เปิดฤดูกาลใหม่แล้ว ก็ยังไม่พร้อม ถึงขั้นร่วงตกรอบ ยูโรปา ลีก รอบเพลย์ออฟ ต่อทีม สโลวาน บราติสลาว่า ซึ่งถือว่าโนเนมมากในเวทียุโรป พร้อมกับการออกสตาร์ท เซเรีย อา ที่ย่ำแย่ ไม่ชนะเลยใน 3 นัดแรก ดูเผินๆเหมือนสไตล์เกมรุกของ เอ็นริเก้ จะประมาทฟุตบอลโต้กลับแบบ อิตาลี เกินไป แต่ถึงกระนั้น ดิ เบเนเด็ตโต้ ก็ยังคงยืนยันว่าจะให้เวลา เอ็นริเก้ ในการทำงานชิ้นนี้อย่างเต็มที่ โดยไม่หวั่นเสียงตำหนิจากแฟนบอล เพราะเขามีความเชื่อมั่นลึกๆว่า เอ็นริเก้ ยังมีดีพอที่จะพา โรม่า พลิกสถานการณ์กลับมา และทางด้านเทรนเนอร์หนุ่มชาวสเปนเอง ก็ยังเชื่อมั่นในแนวทางการเล่นของตนเช่นกัน

ในส่วนของ ต๊อตติ เอง ก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบดังกล่าวด้วย จากเดิมที่เขาเคยยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าคนเดียว และคอยทำประตูให้ทีมมาตลอด กลายเป็นถูกถอยลงต่ำมาคุมจังหวะบอล และจ่ายบอลตามช่องให้เพื่อนมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นส่งผลถึงโอกาสในการทำประตูที่ลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อต้องเปลี่ยนแปลง และต้องอาศัยเวลาเปลี่ยน ตัวผมเองยังคิดอยู่ในใจ ........ ทำไมนักเตะในวัยย่าง 35 ปี ซึ่งกำลังเล่นอยู่ในฟอร์มที่ดีมากๆ ทำประตูได้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ เป็นนักเตะที่เป็นที่พึ่งพาได้มากที่สุด ยังจะต้องเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นของตัวเอง เพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไร ต๊อตติ ก็เคารพในการตัดสินใจของ เอ็นริเก้ เสมอ และไม่นาน อดีตสุดยอดเพลย์เมคเกอร์อย่างเขา ก็กลับมาเล่นได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง ในตำแหน่งเดิมที่เขาเคยโด่งดัง การันตีตำแหน่งตัวจริงของตัวเองไว้อย่างมั่นคง แม้ผลงานของทีมโดยรวมจะไม่เป็นใจนักก็ตาม



HALL OF SHAME !!! เปิดบัญชีหนังหมาของ เอ็นริเก้ กับที่สุดแห่งความอัปยศ ..............

การทำงานชิ้นใหญ่บนความกดดันอันมหาศาล มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยจริงๆ และสิ่งที่เกิดกับ เอ็นริเก้ ก็ไม่แตกต่างกัน นับตั้งแต่ อิบัน เด ลา เปนย่า ผู้ช่วยของเขา ขออำลาทีมกลับไป สเปน ด้วยปัญหาส่วนตัว ดูเหมือน เอ็นริเก้ จะถูกปล่อยให้เผชิญกับปัญหา ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตอยู่เพียงลำพัง เขาพยายามแสดงความมั่นใจในทุกๆเรื่องที่ทำ และพูดเสมอว่าจะไม่เปลี่ยนความคิดของตัวเอง แม้ว่าผลงานของทีมจะย่ำแย่ ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังแม้แต่น้อย แม้กระทั่งการมาร่วมงานก่อนกำหนดของ ฟรังโก้ บัลดินี่ ก็ช่วยไม่ไหวครับ ทีมหมาป่าหมดลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัวไปในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะทำสถิติอันเลวร้ายมากมาย จนต้องถูกจารึกไว้ในฐานะหนึ่งในฤดูกาลอัปยศที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของทีม ผมขอเรียกสถิติเหล่านี้ว่า “บัญชีหนังหมา” ที่ไม่มีใครอยากจดจำ ......

- เอ็นริเก้ เป็นกุนซือที่มีเงินก้อนให้ใช้ ให้หมุนเวียน ขณะที่ โฟลเลอร์, เดลเนรี่, คอนติ, สปัลเล็ตติ, รานิเอรี่ และ มอนเตลล่า ไม่มี
- เอ็นริเก้ พาทีมตกรอบฟุตบอลยูโรปา ลีก ตั้งแต่รอบคัดเลือก ต่อทีมโนเนมจาก สโลวะเกีย ซึ่งไม่เคยมีใครเคยทำได้มาก่อน
- เอ็นริเก้ วางแท็คติกที่ไม่สอดคล้องกับสไตล์ฟุตบอลในอิตาลี ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อความล้มเหลว โดยไม่มีแผนสองที่ดีพอมารองรับ
- เอ็นริเก้ ปรับตำแหน่ง ต๊อตติ ให้อยู่ไกลประตูมากขึ้น ทั้งๆที่เขาน่าจะได้เล่นตำแหน่งที่กำลังท็อปฟอร์มที่สุดไปให้นานที่สุด
- เอ็นริเก้ คุมทีมแพ้ ลาซิโอ ทั้งเหย้า-เยือน เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี และเป็นคนหยุดสถิติชนะ ลาซิโอ 5 นัดซ้อนไว้ในยุคเขา
- เอ็นริเก้ คุมทีมแพ้ มิลาน ทั้งเหย้า-เยือน เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งซีซั่นสุดท้ายที่เกิดขึ้นคือ 2003-04
- เอ็นริเก้ คุมทีมแพ้ กายารี่ ทั้งเหย้า-เยือน เป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี นับเฉพาะเล่นที่ โรม แพ้เป็นครั้งแรกในรอบ 43 ปี
- เอ็นริเก้ คุมทีมแพ้ ฟิออเรนติน่า ทั้งเหย้า-เยือน เป็นครั้งแรกในรอบ 52 ปี นับเฉพาะที่ โรม แพ้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
- เอ็นริเก้ คุมทีมแพ้ ยูเวนตุส 0-4 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ขาดลอยมากที่สุดที่ ตูริน ในรอบ 22 ปี ซึ่งปีนั้น อิตาลี เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 90!
- เอ็นริเก้ คุม โรม่า ไม่ชนะ เซียน่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยก่อนหน้านี้ในทุกฤดูกาล เจอ 2 นัด ต้องชนะอย่างน้อย 1 นัด
- เอ็นริเก้ คุม โรม่า บุกไปแพ้ที่ เลชเช่ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากก่อนหน้านี้บุกไปเยือนมา 14 ครั้ง ไม่เคยแพ้
- เอ็นริเก้ คุม โรม่า ไม่ชนะ คาตาเนีย ในบ้าน ซึ่งเป็นการหยุดสถิติชนะ คาตาเนีย 9 นัดรวดที่ โรม ในทุกรายการไว้ในยุคของเขา
- เอ็นริเก้ คุม โรม่า พลาดไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในฤดูกาล 1996/97
- เอ็นริเก้ คุม โรม่า โดยมีนักเตะถูกไล่ออก 3 คนในนัดเดียว ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ 85 ปีของสโมสร
- เอ็นริเก้ ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นักเตะ โรม่า ชกต่อยกันเอง เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในยุคของเขา งามหน้าจริงๆ
- เอ็นริเก้ ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นักเตะ โรม่า ถ่มน้ำลายใส่คู่แข่ง นี่ก็เกิดขึ้นครั้งแรกในยุคของเขาเช่นกัน
- เอ็นริเก้ ไม่มีแววตาหรือบุคลิกของผู้ชนะ ไม่มีแรงกระตุ้น หรือจูงใจนักเตะมากพอ ไม่มีบารมีของคนที่จะประสบความสำเร็จ

เรียกว่าทั้งหมดที่เล่ามา มันเลวร้ายสุดๆครับ หนึ่งในสถิติที่แฟนๆหมาป่าภาคภูมิใจคือการชนะ ลาซิโอ 5 นัดซ้อน ถูกทำลายย่อยยับ ด้วยการแพ้แบบทั้งเหย้าและเยือน รวมถึงการโดนใบแดงที่เยอะอย่างเหลือเชื่อจากระบบการเล่นแบบหลังลอยด้วย โรม่า ของ เอ็นริเก้ ถูกสร้างขึ้นด้วยพื้นฐานคือเน้นเกมรุกเป็นหลัก แต่กลับเล่นอย่างสะเปะสะปะ เอาแน่เอานอนไม่ได้ เกมที่น่าประทับใจจริงๆมีน้อยมาก แทบจะนับได้ไม่ถึง 4-5 นัด จากตลอดเกือบ 40 นัดที่คุม เวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น ยิ่งมีการเปรียบเทียบผลงานของ คาตาเนีย ที่ได้ มอนเตลล่า เข้าไปคุมทีม ด้วยระดับศักยภาพนักเตะ และเงินทุนที่เป็นรอง โรม่า อยู่เยอะ เขาพา คาตาเนีย จากที่เป็นทีมหนีตกชั้น กลายสภาพมาเป็นทีมแกร่ง ลอยตัวสบายๆกลางตาราง มีแต่เสียงชื่นชม จึงเกิดคำถามตามมาว่า ถ้า มอนเตลล่า ได้โอกาสคุม โรม่า ต่อ และมีเงินทุนให้ใช้เท่ากับที่ เอ็นริเก้ ได้รับ ทุกวันนี้ทีมควรจะยืนอยู่ตรงจุดไหน

ท้ายที่สุดแล้ว การต่อสู้ของ เอ็นริเก้ ก็อยู่ได้แค่ฤดูกาลเดียว เมื่อเขาประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังจบเกมนัดที่ 37 ที่ โรม่า เสมอกับ คาตาเนีย ของ มอนเตลล่า 2-2 ในบ้านตัวเอง หมดโอกาสลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ยุคของ คาร์โล มัซโซเน่ โดยที่ เอ็นริเก้ เองได้บอกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าถอดใจยอมแพ้มาได้สัก 2-3 นัดก่อนแล้ว เจ้าตัวยังยืนยันจะขอเป็นสาวกเชียร์ โรม่า ให้ประสบความสำเร็จตลอดไป ซึ่งนั่นทำให้ลดกระแสความบาดหมางกับแฟนๆได้เป็นอย่างดีเลยครับ ในส่วนของ ต๊อตติ เอง ฤดูกาล 2011/12 ยิงประตูได้ 8 ลูก จากการลงเล่น 27 นัดในลีก แม้จะไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ทำให้ยอดรวมกลายเป็น 215 ประตู ตามหลังสถิติอันดับ 3 ตลอดกาลของ เมียซซ่า กับ อัลตาฟินี่ เพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้นครับ



13 ปี ที่รอคอย ......... ซีแมน คัมแบ็ก ร่วมงานกับ ต๊อตติ อีกครั้ง ..............

หลังจาก เอ็นริเก้ จากไป และฤดูกาล 2011/12 สิ้นสุดลง ทางฝ่ายผู้บริหาร โรม่า จำเป็นจะต้องหาเทรนเนอร์คนใหม่เข้ามาแทนที่ และนั่นทำให้เกิดเรื่องราวซับซ้อนตามมามากมาย ในช่วงเวลานั้นมีชื่อของโค้ชหลายคนโผล่ขึ้นมาเป็นตัวเลือก หนึ่งในนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น มอนเตลล่า ที่เคยคุมทีมหมาป่าชั่วคราวนั่นเอง กุนซือหนุ่มซึ่งยังคงเป็นที่รักของแฟนๆ ในฐานะอดีตศูนย์หน้าชื่อดังของทีม เขากลายเป็นโค้ชที่น่าจับตามองไปทั่ววงการ จากผลงานน่าประทับใจในการคุมทีม คาตาเนีย ไม่น่าเชื่อว่าพอมีข่าวว่าอาจจะได้กลับมาคุม โรม่า ทำเอา มอนเตลล่า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงขั้นเปิดปากกับ อันโตนิโอ ปุลวิเรนติ ประธานของ คาตาเนีย แบบตรงๆ ว่าอยากจะกลับมาคุมทีมหมาป่า ทำเอานายใหญ่ทีมตราช้างไม่พอใจ และพยายามขัดขวาง โดยชี้แจงถึงสัญญาที่ยังผูกมัดกันอยู่ ผมไม่ได้โกรธอะไร ปุลวิเรนติ เลยครับ ของๆใคร เขาก็รัก และไม่อยากให้จากทีมไป และ โรม่า เอง ก็ยังมีตัวเลือกอื่นๆให้พิจารณาเช่นกัน

นอกเหนือจาก มอนเตลล่า ที่ดูจะมีอุปสรรคไปแล้ว ยังมีชื่อของ มาร์เชโล่ บิเอลซ่า ที่กำลังคุม แอธเลติก บิลเบา ในสเปน และอีกชื่อที่เป็นที่ฮือฮาไม่น้อย เขาคนนั้นคือ ซเนเด็ก ซีแมน นั่นเอง อดีตกุนซือหลายฉายา ทั้งสิงห์อมควัน และจอมแฉ โดยเฉพาะกับทีม ยูเวนตุส แทบจะเป็นเส้นขนานกันมานาน เขาเพิ่งจะพา เปสคาร่า เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นน้องใหม่ เซเรีย อา สดๆร้อนๆ ที่สำคัญคือเจ้าตัวเคยคุม โรม่า และร่วมงานกับ ต๊อตติ มาแล้วเมื่อ 13 ปีก่อน นอกจาก คาร์โล มัซโซเน่ แล้ว เขาเองได้รับการยอมรับในฐานะผู้ปลุกปั้น ต๊อตติ คนหนึ่งเช่นกัน และหลังจากเป็นข่าวอยู่ไม่นาน ก็มีการติดต่อกันอย่างจริงจัง และแน่นอนว่า ซีแมน ปฏิเสธ โรม่า ไม่ลงครับ เขาแทบไม่ต้องใช้เวลาคิด ในการอำลา เปสคาร่า ก่อนเข้ารับตำแหน่งเทรนเนอร์คนใหม่ของทีมหมาป่า

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กลับมาคุม โรม่า หลังจากไปนานถึง 13 ปี และน่ายินดีไปกว่านั้นคือ ฟรานเชสโก้ ยังอยู่!! แน่นอนว่าคำพูดของผมยังเหมือนเดิม ต๊อตติ คือนักเตะที่ดีที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย” ซีแมน กล่าวถึง ต๊อตติ หลังจากการเปิดตัวคุมทีม โรม่า

ผู้บริหารทีมหมาป่าเองหวังว่า ซีแมน จะเข้ามาสานต่อระบบของ เอ็นริเก้ ให้แน่นขึ้น จากประสบการณ์ที่มีมากกว่า อีกทั้งความเจนจัดในวงการฟุตบอลอิตาลีของเทรนเนอร์ชาวเช็ค น่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในฤดูกาลก่อนได้ ในส่วนของ ต๊อตติ เอง เขายอมรับว่าค่อนข้างเซอร์ไพรซ์กับการคัมแบ็กครั้งนี้ แต่ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่แล้ว ที่ได้ร่วมงานกับบุคคลที่คอยยกเขาขึ้นหิ้งมาตลอด ส่วนทางฝั่ง มอนเตลล่า หลังจากที่ความสัมพันธ์กับ คาตาเนีย ไม่เหมือนเดิม สุดท้าย คาตาเนีย ก็จำใจยกเลิกสัญญาอยู่ดี แต่เป็นการยกเลิกสัญญาหลังจาก โรม่า แต่งตั้ง ซีแมน ไปเรียบร้อยแล้ว น่าเห็นใจ มอนเตลล่า เหมือนกัน สุดท้ายกลายเป็นทาง ฟิออเรนติน่า แต่งตั้งเขาให้เป็นเทรนเนอร์แทนครับ ส่วนตัวผมยังรู้สึกดีกับ มอนเตลล่า อยู่เช่นเดิม ยังขอเอาใจช่วยให้ไปได้สวยกับอาชีพเทรนเนอร์ต่อไป



หมาป่าเปลี่ยนหัวเรือใหม่ เปลี่ยนประธานจาก ดิ เบเนเด็ตโต้ เป็น ปัลล็อตต้า ...............

จากปีก่อนที่ โรม่า มีการเปลี่ยนแปลงแทบจะใหม่หมด ทั้งเจ้าของ ผู้บริหาร เทรนเนอร์ และนักเตะ ปีนี้ก็เช่นกันครับ เริ่มจากในตลาดนักเตะของทีมหมาป่า มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างเยอะ นักเตะที่อยู่มานานอย่าง ฮวน กับ ฟาบิโอ ซิมปลิซิโอ ถึงคราวต้องอำลาทีมไป แม้กระทั่ง กาเบรียล ไอน์เซ่ ที่เพิ่งเข้ามาในยุคของ เอ็นริเก้ ก็เช่นกัน ยังมีอีกคนที่ผมเสียดายที่สุดคือ ฟาบิโอ บอรินี่ ศูนย์หน้าอนาคตไกล กลับถูกขายให้กับ ลิเวอร์พูล อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคนที่เข้ามาแทน มีนักเตะคุณภาพอย่าง เฟเดริโก้ บัลซาเร็ตติ หรือ เลอันโดร คาสตัน รวมถึง มัตเตีย เดสโตร กองหน้าที่หลายทีมยักษ์ใหญ่อยากได้ตัว สุดท้ายก็ได้มา โรม่า เมื่อตลาดนักเตะนิ่งลง ก็ถึงเวลาแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แน่นอนว่า ต๊อตติ ในฐานะกัปตันและเป็นนักเตะอาวุโสสูงสุด ยังคอยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงได้เป็นอย่างดี ทั้งในและนอกสนาม

ผลงานของ ซีแมน กับนักเตะชุดใหม่ ไปได้สวยในเกมอุ่นเครื่อง เมื่อทำสถิติชนะรวดแบบ 100% รวมถึงเกมกับ ลิเวอร์พูล ที่แข่งในสหรัฐฯ ด้วย แต่ของจริงนั้นคือเวที เซเรีย อา ที่ยังต้องรอการพิสูจน์ ซึ่งมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ซีแมน และนักเตะ โรม่า ทุกคน ยังต้องทำงานหนักอีกเยอะ ที่น่าสนใจคือปีนี้พวกเขาไม่ต้องเหนื่อยกับการลงเล่นฟุตบอลยุโรปด้วย นอกจากการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมา ยังมีข่าวใหญ่ที่ต้องพูดถึง นั่นคือการตัดสินใจอำลาตำแหน่งประธานสโมสรของ ดิ เบเนเด็ตโต้ โดยปล่อยให้อีกหนึ่งในผู้ถือหุ้นคนสำคัญอย่าง เจมส์ ปัลล็อตต้า เข้ามารับบทบาทแทน เชื่อกันว่าการเปิดตัวของ ดิ เบเนเด็ตโต้ เมื่อปีก่อน เป็นเพียงแค่ทำหน้าที่เทคโอเวอร์ให้สำเร็จลุล่วงไปเท่านั้น กับ ปัลล็อตต้า ที่มีความชอบฟุตบอลมากกว่า ใช้ชีวิตใน อิตาลี มากกว่า น่าจะเป็นประโยชน์ในการดูแลทีมหมาป่าได้ดีกว่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็ยังอยากรู้จักตัวตนของ ดิ เบเนเด็ตโต้ มากกว่านี้ เหมือนคนเพิ่งทำความรู้จักกันไม่นาน ก็จะไม่เจอกันอีกแล้ว ต๊อตติ ก็คงรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน



สวยแต่รูปจูบไม่หอม ............... หมาป่ายุคบุกแหลก แต่หาความแน่นอนไม่ได้ .................

เมื่อฤดูกาล 2012/13 เปิดฉากขึ้น แน่นอนว่า ต๊อตติ ได้รับการการันตีในฐานะนักเตะตัวจริงเช่นเคย แต่ด้วยระบบ 4-3-3 ของ ซีแมน ที่เน้นการใช้ศูนย์หน้าตัวเป้า และริมเส้น 2 ฝั่ง ทำให้กุนซือชาวเช็ค พยายามทดลองให้ ต๊อตติ เล่นริมเส้นฝั่งซ้าย แบบเดียวกับเมื่อ 13 ปีก่อนนั่นเอง ซึ่งราชาหมาป่าก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ดูเหมือน ต๊อตติ จะปรับตัวได้เข้ากับทุกสไตล์ในเกมรุกไม่ว่าจะเป็นตัวเป้า เพลย์เมคเกอร์ หรือตัวริมเส้นฝั่งซ้ายก็ตาม ภาพที่ได้เห็นคุ้นชินตาคือการพาบอลหลอกล่อคู่ต่อสู้ ก่อนโยกตัดเข้ากลางแล้วจ่ายบอลสวยๆให้เพื่อน หรือจบสกอร์ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ผลงานโดยรวมของทีมไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ เพราะ โรม่า ฉบับ ซีแมน รีเทิร์น ทำประตูได้ต่อเนื่องก็จริง แต่เก็บชัยชนะเหนือคู่แข่งแทบไม่ได้เลย แม้กระทั่งเกมในบ้านตัวเอง ที่แข่งไป 5 นัด ได้มาเพียง 5 แต้ม แพ้กระทั่ง โบโลญญ่า หรือ อูดิเนเซ่ คารัง ทั้งที่นำไปก่อนถึง 2-0 ปัญหาสำคัญคือเกมรับที่รั่วเรื้อรัง วันไหนยิงได้มากกว่าก็ดีไป ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆเสียด้วย

ต๊อตติ เองพยายามช่วยทีมอย่างสุดกำลัง ในส่วนของตัวเองก็ยิงประตูทำสถิติส่วนตัวไปเรื่อย ลูกยิงใส่ ซามพ์โดเรีย ทำให้เขาขึ้นไปทาบสถิติของ จูเซ็ปเป้ เมียซซ่า กับ โชเซ่ อัลตาฟินี่ ก่อนจะแซงทั้ง 2 คนได้ เมื่อซัดอีกเม็ด ในเกมที่ทีมบุกไปชนะ เจนัว 4-2 กลางเดือนตุลาคม ยิงลูกนี้เข้าไปทำให้ ต๊อตติ ก้าวขึ้นมาเป็นดาวซัลโวอันดับ 2 ตลอดกาลของ เซเรีย อา ทันที ขณะเดียวกัน โรม่า ยังมีผลงานลุ่มๆดอนๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทีมหมาป่าแพ้ 3 จาก 4 นัด ในช่วงปลายตุลา ถึงกลางเดือนถัดมา แต่อยู่ๆก็กลับมาร้อนแรงเข้าฝัก 6 นัดต่อมา พวกเขาชนะถึง 5 นัด ซึ่ง 2 เกมในนั้นคือการเปิดบ้านยำ ฟิออเรนติน่า กับ มิลาน ด้วยสกอร์ 4-2 ถึงตรงนี้ดูเหมือน ซีแมน จะเริ่มยิ้มออก นักข่าวพากันชื่นชมในเกมรุกที่ยิงประตูได้เยอะ และที่ถูกใจแฟนๆคือเล่นสนุก เป็นบอลเอนเตอร์เทนคนดูจริงๆ ต๊อตติ เองแม้จะทำประตูช่วงนี้ไม่มาก แต่ก็ช่วยจ่ายบอลสวยๆได้เยอะ



สุดท้ายก็ไปไม่รอด ตะเพิดซีแมน ปิดตำนานรุกหลังรั่ว อันเดรอัซโซลี่ ส้มหล่นรับงานแทน ....................

ไม่น่าเชื่อครับว่า โรม่า ของ ซีแมน ที่กำลังไปได้สวย ชนะ 5 จาก 6 นัดในลีก อยู่ๆก็พังพาบไปเสียดื้อๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เริ่มจากการออกไปโดน นาโปลี ยำ 1-4 ตามด้วยการแพ้ คาตาเนีย และทำได้แค่เสมอกับ อินเตอร์ ที่ฟอร์มกำลังรูดสุดๆในบ้านตัวเอง ถึงตรงนี้สื่อมองว่าเก้าอี้ของ ซีแมน กลับมาไม่มั่นคงอีกครั้งแล้วครับ เพราะอันดับของ โรม่า ที่เคยขึ้นไปอยู่ที่ 5 ตกลงมาอยู่ที่ 7 จนมีข่าวลือว่าบอร์ดบริหารเตรียมขีดเส้นตายให้เก็บอย่างน้อย 7 แต้มกับ โบโลญญ่า, กายารี่ และ ซามพ์โดเรีย ให้ได้ เพราะแต่ละทีมล้วนมีอันดับค่อนไปทางท้ายตารางทั้งสิ้น จนทีมต้องออกมาปฏิเสธว่าจะให้โอกาสอย่างน้อยถึงจบฤดูกาลแล้วค่อยประเมินอีกครั้ง แบบเดียวกับ หลุยส์ เอ็นริเก้ ปีก่อน ซึ่งสื่อเองดูเหมือนจะไม่เชื่อคำกล่าวนี้นัก

และแล้วเกมบุกไปเยือน โบโลญญ่า ก็จบลงด้วยความผิดหวัง ทำได้เพียงเสมอ 3-3 ยังชนะไม่เป็นต่อเนื่อง หลังจบเกม ซีแมน ต้องตอบคำถามนักข่าวมากมายสารพัด เขายังยืนยันว่าจะไม่ลาออก และยังหวังว่าเกมรุกอันดุดันจะช่วยทีมกลับมาอยู่หัวตารางได้ แต่สุดท้ายชะตาของเขาต้องมาขาดจริงๆในนัดต่อมา เป็นการเจอ กายารี่ ทีมอันดับ 16 ในบ้านตัวเอง ซึ่งดูยังไงก็ต้องชนะสถานเดียว เพราะทีมชาวเกาะกำลังย่ำแย่สุดๆ 12 นัดหลัง เอาชนะทีมท้ายตารางอย่าง เจนัว ได้แค่ทีมเดียว ผลปรากฏว่า โรม่า กล้าๆแพ้ 2-4 คา โอลิมปิโก้ ถือเป็นสกอร์ที่น่าอับอายอย่างยิ่ง แม้ ต๊อตติ จะยิงประตูให้ทีมได้ แต่เกมรับนั้นยุ่ยจริงๆครับ สุดท้ายการแพ้ทีมที่ไม่ควรแพ้คารัง แถมสกอร์ยังเละเทะ ทำให้บอร์ดลืมคำพูดก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น ทีมหมาป่าไม่เคยปลดโค้ชมานานถึง 13 ปี ที่ผ่านมาไม่ต่อสัญญาก็ลาออก คนสุดท้ายที่โดนตะเพิดก็คือตัว ซีแมน เองครับ นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าต่อให้เป็นฟุตบอลเน้นเกมบุก ยิงประตูได้เยอะ แต่ถ้าทีมไม่ชนะ ไม่ได้สกอร์ที่ควรจะได้ ก็คือความล้มเหลวนั่นเอง

การปลด ซีแมน ถือว่าเกิดขึ้นอย่างกะทันหันพอสมควร บอร์ด โรม่า ไม่มีตัวเลือกอื่นภายนอก จึงจำเป็นต้องมองหาคนใน เหมือนที่เคยตั้ง มอนเตลล่า คุมทีมเมื่อ 2 ปีก่อน และหวยมาออกที่ ออเลริโอ อันเดรอัซโซลี่ หนึ่งในสตาฟฟ์โค้ชของทีม ที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องเทคนิคเป็นหลัก เขาเคยเป็นผู้ช่วยของ สปัลเล็ตติ อดีตเทรนเนอร์หมาป่าตั้งแต่สมัยยังคุม อูดิเนเซ่ พอ สปัลเล็ตติ มากรุงโรม ก็พา อันเดรอัซโซลี่ มาเป็นผู้ช่วยด้วย กระทั่ง สปัลเล็ตติ ลาออก เมื่อต้นฤดูกาล 2009/10 จึงว่างงานอยู่พักหนึ่ง แต่ โรม่า ก็เรียกเขากลับมาทำงานอีกครั้งในฐานะผู้ช่วยด้านเทคนิคของ มอนเตลล่า, เอ็นริเก้ และ ซีแมน นั่นเอง เกมแรกของ อันเดรอัซโซลี่ ยังไม่อาจกอบกู้ทีมหมาป่าได้ พวกเขาบุกไปแพ้ ซามพ์โดเรีย แบบหมดรูป 1-3 ที่เจนัว แสดงให้เห็นว่ายุคซีแมน นั้นไม่มีการล้มโค้ช แต่เพราะปัญหาเรื้อรังในเกมรับยังไม่ได้รับการแก้ไขจริงๆต่างหาก



ราชันซัลโวดับ ยูเว่ ตาข่ายแทบขาด ฉลองครบรอบ 20 ปีกับ โรม่า...............

แน่นอนว่าฟุตบอลลูกกลมๆ ยังไงมันก็ต้องมีจุดเปลี่ยนกลับมาชนะสักวัน แต่ไม่มีใครหรอกที่จะเชื่อว่ามันจะมาในเกมถัดไปกับ ยูเวนตุส ที่มีดีกรีแชมป์เก่า และจ่าฝูง มีประตูเดียวเกิดขึ้นในเกมนี้ และมันมาจากปลายเท้าของ ต๊อตติ ที่ซัดด้วยเท้าขวา บอลพุ่งด้วยความเร็วถึง 113 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผ่านมือ จานลุยจิ บุฟฟ่อน เข้าไปอย่างสวยงามหมดจด ที่สำคัญคือตลอดทั้งเกมกับ ยูเว่ นักเตะ โรม่า แทบทุกคนกลับมาเล่นได้ดี และเล่นอย่างมั่นใจอีกครั้ง โดยที่ อันเดรอัซโซลี่ ได้รับเครดิตไปเต็มๆ ทีมกลับมาชนะ 4 จาก 5 นัด จนทำอันดับแซง อินเตอร์ กับ ลาซิโอ ขึ้นมาอยู่ที่ 5 อีกครั้ง ในส่วนของ ต๊อตติ ก็ยังทำประตูได้ต่อเนื่อง โดยยิงไปในเกมกับ เจนัว, ปาร์ม่า และ ลาซิโอ จนเพิ่มสถิติตัวเองขึ้นมาถึง 227 ลูกใน เซเรีย อา

จากผลงานส่วนตัวอันยอดเยี่ยมของ ต๊อตติ ทำเอาชื่อของเขากลับมาเป็นที่สนใจของสื่ออีกครั้ง ถึงกับมีสื่อเรียกร้องให้ เชซาเร่ ปรันเดลลี่ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลี พิจารณาร้องขอให้ ต๊อตติ คัมแบ็กกลับมาเล่นทีมชาติเลยทีเดียว ซึ่งมีตำนานอย่าง บรูโน่ คอนติ, ดิโน่ ซอฟฟ์ รวมถึงนักเตะชุดปัจจุบันอย่าง ปีร์โล่ สนับสนุนแนวคิดนี้ เมื่อมาถึงวันครบรอบ 20 ปี ที่ ต๊อตติ ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ สโมสรยังเซอร์ไพรซ์เขา ด้วยการนัดหมายกับ เอ็นโซ่ คุณพ่อของ ต๊อตติ ก่อนจัดให้นักเตะ ผู้บริหาร สตาฟฟ์ และทีมงานทุกคน ต่อแถวเรียงกันยืนปรบมือให้กับ ต๊อตติ ขณะเตรียมลงซ้อมที่ ตริกอเรีย ทำเอาราชาหมาป่าปลื้มสุดๆ ตัวเลข 20 ปีนี่แหล่ะ ที่สื่อทั่วยุโรปต่างพร้อมใจกันลงข่าวชื่นชมในความจงรักภักดี

“ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมาก ได้อยู่กับทีมที่ตัวเองรักมาตลอดชีวิต มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากๆ ขอบคุณทุกคนจริงๆ” ต๊อตติ กล่าวอย่างมีความสุข

ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ทั่วกรุงโรมกำลังสนใจเกี่ยวกับข่าวการเลือกพระสันตะปาปา พระองค์ใหม่ บริษัทรับพนันยังสร้างความฮือฮาด้วยการเอาชื่อ ต๊อตติ ไปอยู่ในลิสต์การเป็นประมุขแห่งคริสตจักรอีกด้วย ทั้งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ และก็ไม่น่าเชื่อครับว่า พระสันตะปาปา พระองค์ใหม่ ยังเลือกพระนามว่า ฟรานเชสโก้ อีกต่างหาก เล่นข่าวกันต่อได้อีก คนเราช่วงดวงขึ้น ก็ขึ้นจริงๆครับ



อกหักชวดแชมป์โคปปา .............. ถึงคราวหมาป่าล้างบางทีมอีกครั้ง..............

ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย บอร์ดบริหาร โรม่า ต้องการอย่างน้อยคือการจบอันดับพื้นที่ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และที่สำคัญที่สุดคือการคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย ที่หลุดเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ลาซิโอ แต่สุดท้าย อันเดรอัซโซลี่ ก็ทำไม่สำเร็จทั้งสองอย่าง เริ่มจากผลงานในลีก ที่ไปสะดุดอย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆที่เล่นในบ้านตัวเอง ทั้งการเสมอ เปสคาร่า ทีมบ๊วย และแพ้ คิเอโว่ คารัง แม้จะยันเสมอ มิลาน และเอาชนะ นาโปลี ได้ในนัดสุดท้าย แต่อันดับที่ 6 ในตาราง ก็ไม่พอจะได้ไปเล่นยูโรปาลีก เหลือความหวังสุดท้ายคือต้องเอาชนะ ลาซิโอ ให้ได้ในศึกโรมดาร์บี้ นัดประวัติศาสตร์เท่านั้น ถ้าทำได้นอกจากจะได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปในรายการ ยูโรปาลีก แล้ว ยังจะเป็นการทำสถิติคว้าแชมป์ 10 สมัย เป็นทีมแรกด้วย ซึ่งทุกอย่างก็จบลงด้วยความน่าผิดหวัง ต้องแพ้ให้กับ ลาซิโอ ไปอย่างเจ็บปวด 0-1 ปล่อยทีมอินทรีคู่ปรับ ไปเล่นฟุตบอลยุโรปแทน ถือเป็นปีแห่งความล้มเหลวปีที่ 2 ติดต่อกัน

ควันหลงหลังเกมกับ ลาซิโอ มีแต่เรื่องที่ไม่น่าจดจำ ตั้งแต่การวิจารณ์โค้ชอย่างเผ็ดร้อนของ ออสวัลโด้ จนไม่มีใครเชื่อว่าหัวหอกจอมเพี้ยนคนนี้จะอยู่กับทีมต่อได้อีก ในส่วนของแฟนบอลอุลตร้าเองก็เดือดไม่แพ้กัน เพราะผิดหวังที่ทีมต้องแพ้ทั้งๆที่ศักยภาพดูเหนือกว่า ร้อนถึงบอร์ดบริหารต้องนั่งประชุมเครียด ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น เริ่มจากการลาออกของ ฟรังโก้ บัลดินี่ ผู้อำนวยการทั่วไป โดยเลื่อน เมาโร บัลดิสโซนี่ ที่เคยเป็นฝ่ายดูแลด้านกฎหมายของทีม เข้ามารับตำแหน่งแทน การเข้ามามีบทบาทมากขึ้นของประธาน ปัลล็อตต้า และ ซีอีโอ อย่าง อิตาโล่ ซานซี่ ที่ยังคงเชื่อมั่นในตัว วอลเตอร์ ซาบาตินี่ หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เสนอสัญญาเทรนเนอร์ถาวรให้ อันเดรอัซโซลี่ บอร์ดบริหารก็ให้โอกาส ซาบาตินี่ เต็มที่ในการเลือกเทรนเนอร์คนใหม่ โดยมีรายชื่อของเทรนเนอร์ดังหลายคนเข้ามาเป็นตัวเลือก ตั้งแต่ รูดี้ การ์เซีย, โรล็องต์ บล็องก์, มาร์เชโล่ บิเอลซ่า หรือแม้กระทั่ง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจเลือก การ์เซีย ที่เคยมีประสบการณ์พา ลีลล์ คว้าดับเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลฝรั่งเศส เมื่อ 2 ปีก่อน หวังแต่เพียงว่า นี่คงไม่ใช่การลองผิดลองถูกอีกแล้ว

การเปลี่ยนเทรนเนอร์ผ่านไปก็มาถึงตัวนักเตะ บอร์ดตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการปล่อยตัว เอริค ลาเมล่า, ออสวัลโด้, มาร์ควินยอส รวมถึงนายทวารมือ 1 อย่าง มาร์เท่น สเตเคเลนเบิร์ก พร้อมกับสิทธิ์ขาดคืนตัวของ โบยาน กลับไปให้ บาร์เซโลน่า ทำให้สโมสรได้เม็ดเงินเข้าคลังมากถึง 100 ล้านยูโร และเงินจำนวนนั้นก็ถูกนำไปซื้อนักเตะใหม่อย่าง เควิน สตรอทมัน, เมห์ดี้ เบนาเตีย, อเดม ลายิช, แชร์วินโญ่, มอร์แกน เด ซานช์ติส รวมถึงของฟรีชั้นดีอย่าง ไมค่อน นับเป็นการล้างบางทีมอีกครั้ง ความกดดันของกลุ่มมทุนอเมริกันยังคงมีต่อเนื่อง เพราะแฟนบอลหมาป่าไม่ได้ต้องการสนามใหม่เป็นเป้าหมายหลัก แต่กลับกันมันคือความสำเร็จของทีมที่ร้างไปนานเหลือเกินครับ ผมว่า ต๊อตติ ก็คงคิดแบบเดียวกัน



สัญญาฉบับใหม่ และฉบับสุดท้ายของ ต๊อตติ .....................

อย่างที่ทราบกันดีว่า ต๊อตติ มีสัญญานักเตะอยู่เพียงปีเดียว นั่นคือฤดูกาลใหม่ 2013/14 จะเป็นซีซั่นสุดท้ายของเขา หากไม่มีการต่อสัญญาใหม่ออกไป ก่อนหน้านี้ทางสื่อเองก็พยายามประโคมข่าว และหาโอกาสในการสอบถามทั้งจากตัว ต๊อตติ และฝ่ายบริหาร แต่ดูจะไม่คืบหน้าเท่าไหร่ อีกทั้งในวันเปิดตัวชุดแข่งใหม่ของทีม ต๊อตติ เองยังพูดเป็นนัยว่า เสื้อตัวนี้คงจะเป็นเสื้อตัวสุดท้ายของเขา ทำเอาแฟนบอลใจหายไปตามๆกัน กระทั่งประธาน ปัลล็อตต้า ออกมายืนยันว่าเขากำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่ และย้ำว่า ต๊อตติ คือบุคคลสำคัญที่จะอยู่กับ โรม่า ตลอดไป

ในที่สุดการต่อสัญญาก็มีขึ้นจริงๆ ต๊อตติ ในวัยใกล้ 37 เซ็นสัญญานักเตะขยายออกไปอีก 2 ปี ทำให้สัญญาจะไปสิ้นสุดหลังจบฤดูกาล 2015/16 ถึงเวลานั้นราชาหมาป่าจะมีอายุเฉียด 40 ปีเลยทีเดียว โดยจะได้รับค่าเหนื่อย 3.2 ล้านยูโร ลดจากสัญญาเดิมที่เคยได้รับ 4.5 ล้านยูโร พร้อมกับการรับตำแหน่งผู้อำนวยการในด้านการทูตของสโมสรต่อไปอีก 5 ปี เป็นอย่างน้อย อย่างที่เคยเซ็นกันไว้ตั้งแต่สมัย โรเซลล่า เซนซี่ เป็นประธาน ซึ่ง ปัลล็อตต้า ไม่ลืมที่จะเคารพตรงจุดนี้

“ผมอยากจะขอบคุณท่านประธานเป็นอย่างมากสำหรับการให้โอกาสผมในการสวมเสื้อตัวนี้ ที่ผมรัก และเป็นแฟนบอลมาตลอด ทุกๆคนอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ทั้งผมและสโมสร ตอนนี้ผมมีสัญญากับทีมเพิ่มไปอีก 2 ปี มันคืออีก 2 ปีของการรับผิดชอบ เรามีงานที่ยังต้องทำกันอีกมาก และผมหวังว่าเราจะไปได้สวยกับ อเมริกัน โรม่า ทีมนี้” ต๊อตติ กล่าว

ขณะที่ ปัลล็อตต้า ก็กล่าวอย่างปลาบปลื้ม เมื่อการต่อสัญญานักเตะอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์สโมสร สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ ฟรานเชสโก้ อยู่ที่นี่ และผมอยากดื่มฉลองให้กับความสัมพันธ์ของ โรม่า และ ฟรานเชสโก้ ที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต”



เกียรติประวัติ และสถิติตลอดกาลของ ต๊อตติ ............

ปัจจุบัน ต๊อตติ คือเจ้าของสถิติยิงประตูให้ โรม่า มากที่สุดตลอดกาล ทั้งในคัมปิโอนาโต้ และฟุตบอลสโมสรยุโรป โดยรวมแล้วนับถึงวันนี้เขายิงประตูใน เซเรีย อา 228 ประตู จากการลงเล่น 540 นัด ซึ่งถือเป็นสถิติสูงที่สุดในบรรดานักเตะกัลโช่ทุกคนที่ยังค้าแข้งอยู่ ในส่วนของผลงานรวมทุกรายการ เขาทำไปถึง 283 ประตู จากการลงเล่น 683 นัด ทุกวันนี้ ต๊อตติ ถือเป็นนักเตะคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จากชุดคว้าสคูเด็ตโต้ในฤดูกาล 2000/01 เรามาดูกันว่าตลอดระยะเวลาที่ค้าแข้งให้ โรม่า เขาสัมผัสกับเกียรติประวัติใดบ้าง

แชมป์ฟุตบอลโลก (อิตาลี) 2006
แชมป์สคูเด็ตโต้ (โรม่า) 2000/01
แชมป์โคปปา อิตาเลีย 2 ครั้ง (โรม่า) 2006/07, 2007/08
แชมป์ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า 2 ครั้ง (โรม่า) 2001, 2007
แชมป์ยูโร (อิตาลี ยู-21) 1996
แชมป์เมดิเตอร์เรเนียน เกมส์ (อิตาลี ยู-23) 1997
รางวัลนักฟุตบอล เซเรีย อา แห่งปี 2 ครั้ง (โรม่า) 2000, 2003
รางวัลนักฟุตบอลอิตาเลียนแห่งปี 5 ครั้ง (โรม่า) 2000, 2001, 2003, 2004, 2007
รางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งแห่งปี เซเรีย อา (โรม่า) 1999
รางวัลลูกบอลเงิน เซเรีย อา แฟร์เพลย์ (โรม่า) 2007/08
ดาวซัลโวสูงสุด เซเรีย อา (โรม่า) 2006/07
ดาวซัลโวสูงสุดยุโรป รองเท้าทองคำ (โรม่า) 2006/07
ติดทำเนียบ 1 ใน 125 นักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ จาก FIFA
ติดทีมออลสตาร์ ฟุตบอลโลก 2006 (อิตาลี)
ติดทีมออลสตาร์ ยูโร 2000 (อิตาลี)
ติดทีมยอดเยี่ยม 11 คนแรกของนิตยสาร European Sport Magazines 3 ครั้ง (โรม่า) 2000/01, 2003/04, 2006/07
นักเตะยอดเยี่ยมของนิตยสาร Guerin Sportivo (โรม่า) 1998, 2004
รางวัลโกลเด้น ฟุต (โรม่า) 2010



นานาทรรศนะที่มีต่อ ต๊อตติ .............

นับตั้งแต่ ต๊อตติ ลงสนามครั้งแรกในปี 1993 จวบจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่เขาทำสั่งสมมาครบ 2 ทศวรรษ ราชาหมาป่าได้รับการยอมรับในระดับสูงมาโดยตลอด และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทรรศนะจากบุคคลในวงการฟุตบอลที่มีต่อเขา

ที่มา : Wikiquote

https://en.wikiquote.org/wiki/Francesco_Totti


“ต๊อตติ คือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก ที่ผ่านมาเขาแค่โชคไม่เข้าข้างเท่านั้น” - เปเล่

“ต๊อตติ คือเบอร์ 1 ของโลก เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ และเขาจะรักษาฟอร์มการเล่นนี้ไปได้ตลอด เขาเป็นตัวแทนของฟุตบอลอิตาเลียน และแฟนบอลจะสนุกไปกับการเล่นของเขา” - ดิเอโก้ มาราโดน่า

“ต๊อตติ เป็นศิลปินแห่งวงการฟุตบอล เป็นแข้งเบอร์ 10 อย่างแท้จริง ถ้าผมลงเล่นอยู่ในยุคนี้ ผมคงเหมือนกับ ต๊อตติ ปัจจุบันเพลย์เมคเกอร์เบอร์ 10 แท้ๆแทบไม่เหลือแล้ว” - มิเชล พลาตินี่

“ต๊อตติ เป็นสัญลักษณ์ของวงการฟุตบอลอิตาลี มันชัดเจนว่าเขาเป็นนักเตะในจำนวนไม่กี่คนที่ไม่มีตัวตายตัวแทน เพราะไม่มีใครเล่นได้แบบเขา เขาไม่มีคู่แข่งในทีม และไม่มีใครเล่นในตำแหน่งเขาได้” - มาร์เชลโล่ ลิปปี้

“สำหรับผมแล้ว เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา” - อาร์ริโก้ ซ้าคคี่

“เขาทำให้ผมนึกถึง ยูเซบิโอ จากทักษะทางร่างกาย ถ้าผมยังเล่นฟุตบอลอยู่ในทุกวันนี้ คงต้องมีปัญหาในการประกบ ต๊อตติ แน่ๆ เหมือนกับที่ผมเคยเจอปัญหาตอนประกบ เปเล่ ในอดีต” - โจวานนี่ ตราปัตโตนี่

“ต๊อตติ สามารถใช้เท้าได้ดีทั้งสองข้าง ยิงประตูได้หลายรูปแบบ ดุจดั่งนักเตะระดับแชมเปี้ยนที่ยิงได้มากกว่า 10 ครั้งต่อเกม จะมี 8 ครั้งที่ลูกเข้ากรอบ และมีถึง 5 ครั้ง ที่เป็นลูกอันตราย พร้อมจะเป็นสกอร์ คุณภาพในการทำประตูของ ต๊อตติ เป็นเอกลักษณ์ที่จะติดตัวเขาไปตลอดอาชีพค้าแข้ง” - ฟาบิโอ คาเปลโล่

“มีนักฟุตบอลอิตาเลียนระดับสตาร์อยู่มากมาย แต่คนเดียวที่ผมอยากจะดึงมา บาเยิร์น ก็คือ ต๊อตติ ผมรู้จักเขาดี และระดับเขาสมควรที่จะได้ บัลลง ดอร์” - ฟร้านซ์ เบคเค่นบาวเออร์

“ต๊อตติ เป็นนักเตะที่มหัศจรรย์ เขาเป็นสัญลักษณ์ของ โรม่า และไม่มีวันย้ายทีมเหมือนกับ ไรอัน กิ๊กส์ และ พอล สโคลส์ ที่ ยูไนเต็ด” - เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

“ต๊อตติ คือนักเตะระดับท็อปคลาส สามารถปรับตัวเองจากกองกลางตัวรุก มาเป็นดาวซัลโวของลีก นั่นแสดงให้เห็นว่าเขามีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในตัวอย่างแท้จริง มีความมหัศจรรย์ทั้งการครองบอล พลิกบอล และจ่ายบอลในระยะอันตราย” - อาร์แซน เวนเกอร์

“ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า ต๊อตติ มีความหมายกับ โรม่า, เซเรีย อา และเพื่อนร่วมทีม มากขนาดไหน ผมอยากให้เขาลงเล่นเพราะเขาเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของกัลโช่ ทั้งความแพรวราวและคุณภาพ” - โชเซ่ มูรินโญ่

“ต๊อตติ เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก เป็นหน้าประวัติศาสตร์ของ โรม่า ผมคิดว่าเขาเป็นคนอัจฉริยะ และจะอยู่กับ โรม่า ไปตลอดอาชีพค้าแข้งแน่นอน” - ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ

“ต๊อตติ คือนักเตะอิตาเลียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นแชมเปี้ยนตัวจริง เขาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย และอาจจะได้ บัลลง ดอร์ ไปแล้ว ถ้าเล่นกับ บาร์เซโลน่า หรือ แมนฯยูไนเต็ด” - เคลาดิโอ รานิเอรี่

“ในความคิดของผม ต๊อตติ คือนักเตะที่สมบูรณ์แบบที่สุดใน อิตาลี ตามมาด้วย เด รอสซี่ และ ปีร์โล่” - อาเดรียโน่ กัลเลียนี่

“ผมทุ่มเงินไปมหาศาลมาทั้งชีวิต เพื่อสร้างทีมรวมดาราอย่าง เรอัล มาดริด แต่แรงปรารถนาในใจของผม ผมยังต้องการ ต๊อตติ อยู่เสมอ โชคไม่ดี มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าถึงตัวเขา เพราะ ต๊อตติ ต้องการที่จะอยู่กับทีมของเขา และเมืองของเขาไปตลอดชีวิต” - ฟลอเรนติโน่ เปเรซ

“ต๊อตติ คือตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่มากกับการเล่นให้ โรม่า ทีมเดียวตลอดอาชีพค้าแข้ง เขาเป็นผู้ชนะแล้วถ้ามองจากความรักที่แฟนบอลมอบให้มายาวนานขนาดนี้ นักเตะแบบเขาสมควรได้รับการยกย่อง นักเตะลักษณะนี้เหลือไม่กี่คนแล้วในปัจจุบัน” – คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้

“ต๊อตติ คือนักเตะอิตาเลียนที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา เขาทำได้ทุกอย่าง และทำได้ดีเสียด้วย ทั้งการแอสซิสต์ ทำประตู พละกำลัง และเทคนิค มันน่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง” - จานนี่ ริเวร่า

“ต๊อตติ น่าจะเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษนี้ ทั้งทักษะ ความสามารถ สภาพร่างกาย และความอัจฉริยะในสนาม ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของ โรม่า และวงการฟุตบอลอิตาลี” - เปาโล รอสซี่

“ต๊อตติ คือ โรม่า และนักเตะกลุ่มใหม่จะถูกสร้างขึ้นโดยมีเขาเป็นแกนหลัก เขาสมควรได้รับการต่อสัญญาเป็นรางวัลตอบแทน ไม่เพียงเพราะเขาเป็นสัญลักษณ์ของสโมสร แต่เพราะเขาเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยคุณภาพ” - จูเซ็ปเป้ จานนินี่

“ใครคือนักเตะอิตาเลียนที่เก่งที่สุด 5 อันดับแรก ..... ต๊อตติ, ต๊อตติ, ต๊อตติ, ต๊อตติ และ ต๊อตติ” - ซเดเน็ค ซีแมน

“ยามที่ ต๊อตติ ลงสนาม เขานำอะไรบางอย่างที่พิเศษมาให้ โรม่า เขาไม่ใช่แค่นักเตะที่ยิ่งใหญ่ แต่เปรียบเสมือน โคลอสเซียม ของพวกเขาเลยล่ะ” - โลร็องต์ บล็องก์

“ผมไม่เคยสงสัยในศักยภาพเขาเลย และคุณพูดได้เลยว่าเขาคือแชมเปี้ยนตัวจริง” - จูเซ็ปเป้ ซินญอรี่

“ในยามที่เข้าฟอร์ม ต๊อตติ คือนักเตะที่ดีที่สุดในโลกในตำแหน่งของเขา” - ลูก้า โทนี่

“ต๊อตติ เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งในนักเตะเบอร์ 10 ที่ยังหลงเหลือไม่กี่คนในวงการฟุตบอล แนวทางการเล่นในปัจจุบันผลักดันการเล่นของนักเตะเบอร์ 10 แท้ๆให้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ผมยกย่องและชื่นชมเขามาก ผมคิดว่าเขาเป็นนักเตะเบอร์ 10 ที่ดีที่สุด” - จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่

“ผมคงรู้สึกเป็นเกียรติมากหากได้ลงเล่นเคียงข้าง ต๊อตติ เพราะเขาคือหนึ่งนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุกสโมสรต้องยินดีแน่ถ้าได้เขามาอยู่ในทีม” - ราอูล กอนซาเลซ

“ต๊อตติ คือตำนาน เขาคือสัญลักษณ์ของจัลโล่รอสซี่ แม้แต่ในฮอลแลนด์ ถ้าคุณพูดถึง โรม่า ชื่อแรกที่จะเข้ามาก่อนเลยคือ ต๊อตติ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นแชมเปี้ยนระดับโลกจริงๆ” - เวสลีย์ สไนเดอร์



ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ราชาผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของแฟนบอลหมาป่า ...........

สำหรับแฟน โรม่า คนหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมีค่ามากไปกว่าการได้เห็นขวัญใจอย่าง ต๊อตติ ลงเล่นในยูนิฟอร์ม โรม่า เขาทำให้ผมต้องนั่งเชียร์ โรม่า ทุกเกมตั้งแต่ปี 1995 ทันทีที่ได้เห็นเขาลงสนาม และผ่านไปทุกๆปี ยิ่งเขาเล่นให้กับ โรม่า มากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งชื่นชอบเขามากขึ้นเท่านั้น การได้เห็นทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุด ความสุขและความเศร้า ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันหาได้น้อยแล้วครับในปัจจุบันนี้ สำหรับนักฟุตบอลที่เล่นฟุตบอลในระดับอาชีพ ให้ทีมบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ทีมเดียว โดยไม่เคยย้ายไปไหน มีความจงรักภักดีกับทีมถึงหลัก 20 ปี จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมนี่ นอกจาก ต๊อตติ (เกิดที่ โรม เล่นให้ โรม่า) ผมนึกถึง เปาโล มัลดินี่ (เกิดที่ มิลาน เล่นให้ มิลาน) และ พอล สโคลส์ (เกิดในเกรตเทอร์ แมนเชสเตอร์ เล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) น่ายินดีถ้าบรรดานักเตะ One-club man อย่าง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด, อีเกร์ กาซิยาส, ชาบี้ เอร์นานเดซ รวมทั้ง เด รอสซี่ เอง และอีกหลายๆคน จะเจริญรอยตาม พวกเขาไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ทีม แต่จะเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ของบ้านเกิดอีกด้วย

ปัจจุบันมีสื่อทั้งทางอินเตอร์เน็ต และสิ่งพิมพ์ต่างประเทศ จัดลำดับนักเตะจงรักภักดี และทุกลิสต์จะต้องมีชื่อของ ต๊อตติ อยู่ในนั้นด้วยแน่นอน แถมมีลุ้นจะเป็นอันดับ 1 ด้วย ถ้ามีการเรียงตัวเลข ผมคิดว่าเขาได้เครดิตกว่าคนอื่นๆตรงที่ฟอร์มขึ้นๆลงๆของ โรม่า ด้วย กับชีวิต 2 ทศวรรษ ต๊อตติ ผ่านมาทั้งยุครุ่งเรืองและถังแตก ไม่ได้นิ่งราบแบบ มัลดินี่ - ไรอัน กิ๊กส์ ที่ได้แชมป์อยู่ตลอด หรือ แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ที่ขออยู่แบบพอตัวกับทีมเล็กตลอด ชีวิตของ ต๊อตติ ผ่านทั้งแรงกดดัน และบททดสอบจิตใจอย่างหนักหน่วง ผ่านจุดหักเหของเส้นทางชีวิตมาหลายต่อหลายครั้ง จนกว่าจะมาถึงวันนี้ได้

ต๊อตติ ยังคงมีเป้าหมายเดิม คือสคูเด็ตโต้ และคว้าแชมป์ในระดับทวีป ซึ่งเป็นเวทีที่เขายังไม่เคยได้สัมผัส เขาไม่เคยละทิ้งความตั้งใจนี้จนกว่าจะเลิกเล่น เพราะเชื่อว่าฟุตบอลลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้ ตราบใดที่เรายังมีฝัน ก็ต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ และแน่นอนครับว่าต้องเป็นกับสีเสื้อ โรม่า เท่านั้น แม้ด้วยวัย 37 บวกกับสถานะปัจจุบันของทีมหมาป่า จะทำให้เขาหมดโอกาสสัมผัสถ้วยรางวัลใหญ่หรือเกียรติยศส่วนตัวอย่าง บัลลง ดอร์ ไปแล้วก็เถอะ ผมมั่นใจว่า ต๊อตติ จะเลิกเล่นที่นี่ แม้ในโลกของฟุตบอลไม่มีอะไรที่แน่นอน และ ต๊อตติ ยังเล่นฟุตบอลในบั้นปลายอาชีพได้อีกหลายปี เพราะผมเองขนาดไม่ใช่คนโรมัน ยังเข้าใจถึงสถานะของ ต๊อตติ ผมกล้าพูดแทนเขาได้เลยว่าไม่มีวันย้ายไปจาก โรม่า เพราะเชื่อว่าสายเลือดโรมันขนานแท้อย่าง ต๊อตติ คงไม่มีทางลบรอยสัก กลาดิเอเตอร์ นักรบโรมัน ออกจากแขนขวาตัวเองแน่ๆ

นักเตะอย่าง ต๊อตติ ในสายตาแฟนบอลหมาป่ามีค่ามากเกินกว่าที่ใครจะมาแลกได้ ต่อให้เป็น ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ตาม ผมจะเลือก ต๊อตติ แน่นอน เขาคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา เป็นเจ้าของสถิติลงเล่นมากที่สุด (683 นัด) และทำประตูมากที่สุด (283 ประตู) มีคำกล่าวหนึ่งที่อธิบายความยิ่งใหญ่ของ ต๊อตติ ได้ชัดเจน

“ถ้า จานนินี่ คือเจ้าชาย ....... ต๊อตติ ก็คือพระราชา”

อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้เพราะ ต๊อตติ ไม่ใช่แค่นักฟุตบอล แต่เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจ เป็นเหมือนลมหายใจของแฟนบอลไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าสาวก โรม่า ต้องรออีกกี่ปีถึงจะมีนักเตะแบบเขาเกิดขึ้นมาสักคน ไม่ว่าเขาจะเป็นเทพเจ้า หรือซาตาน แฟนบอลพร้อมยืนหยัดให้กำลังใจเขา เวลานี่ก็ผ่านไปเร็วมาก เดินทางมาถึงฤดูกาล 2013/14 ซึ่งเป็นปีที่ 22 ของ ต๊อตติ ในการเล่น เซเรีย อา แล้ว ผมยังเชื่อมั่นในตัว ต๊อตติ เสมอ และหวังว่าในวัย 37 ปีนี้ กัปตันคนเก่ง คนเดิม จะนำทัพฝูงหมาป่ากลับมาผงาดอีกครั้งให้ได้




ที่มาบทความ : http://pantip.com/topic/31035723



ปัลล็อตต้าให้สัมภาษณ์ว่า ''พร้อมรีไทร์เบอร์10 ให้เกียรติต๊อดติ

พร้อมงานฉลองไม่ใช้มีแค่1ชั่วโมง แต่เป็น 1เดือนกว่า

เพื่อเป็นเกียรติให้แก่คนที่จงรักภักดี
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออนไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: แก้มสั่นไหว หน้าอกก็สั่นไหว
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 12278
ที่อยู่: Olympus
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:08
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
ผมอ่านจบแล้วครับ

1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

"once a gooner, always a gooner"
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: Hungry For Glory
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 21431
ที่อยู่: ฺฺ [ stadio olimpico ]
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:29
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
noat พิมพ์ว่า:
ผมอ่านจบแล้วครับ

 


ซุย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: Hungry For Glory
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 21431
ที่อยู่: ฺฺ [ stadio olimpico ]
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:30
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Oct 2013
ตอบ: 1953
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:31
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
เพิ่งรู้ว่าแผล่บโควต้าหมด กดโหวตกระทู้ก็ไม่ได้
แก้ไขล่าสุดโดย TleRecycle เมื่อ Sat Mar 29, 2014 15:32, ทั้งหมด 1 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: แก้มสั่นไหว หน้าอกก็สั่นไหว
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 12278
ที่อยู่: Olympus
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:39
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
ratedrko01 พิมพ์ว่า:
noat พิมพ์ว่า:
ผมอ่านจบแล้วครับ

 


ซุย  


ใช่ครับ

0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

"once a gooner, always a gooner"
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 Jan 2014
ตอบ: 1647
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:40
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
ข้อมูลแน่นมาก
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
Manchester United Football Club.

FC Schalke 04 .

ACF Fiorentina.

Boca Juniors.

Bangkok Glass FC.
ออฟไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: " Say it! "
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Aug 2010
ตอบ: 25623
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:44
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
อ่านมาตั้งนานยังไม่ถึงครึ่ง ต้องพักก่อน ขอบคุณครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 845
ที่อยู่: ภายใต้หมอกเเละควัน~
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:48
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
เป็นอีกหนึ่งตำนานที่เเท้จริงเเบบไม่มีข้อกังขาครับ สำหรับผมคนที่เป็นตำนานไม่ได้

จะวัดเฉพาะฝีเท้าเเละความสามารถเท่านั้น เเต่มันรวมถึง''ใจ''เเละความ"ซื่อสัตย์''

ด้วย หลายๆปีที่ผ่านมาโรม่าผลงานก็ไม่ได้ว่าจะมีผลงานเด่นเหมือนทีมอื่นๆเเถม UCL

ก็ไม่ได้เตะ ทีมที่สนใจอยากซื้อตัวเเกก็มี เเต่ยังปักหลักอยู่ทีมเก่า...

คหสต. ผมว่าต๊อตติเนี่ยเเหละ เป็นนักบอลที่เเมร่งโคตรเท่ห์
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: Hungry For Glory
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 21431
ที่อยู่: ฺฺ [ stadio olimpico ]
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 15:53
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
noat พิมพ์ว่า:
ratedrko01 พิมพ์ว่า:
noat พิมพ์ว่า:
ผมอ่านจบแล้วครับ

 


ซุย  


ใช่ครับ

 


หยอกเล่นๆนะครับ
แก้ไขล่าสุดโดย ratedrko01 เมื่อ Sat Mar 29, 2014 17:46, ทั้งหมด 1 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
ผู้ช่วยแมวมอง
Status: 誰でも人生を享受する権利を持っている…
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 47102
ที่อยู่: Forbidden Siren
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 16:07
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
อ่านจนมึนเพราะแอบอ่านจอเล็ก กลับไปอ่านบ้านก็ได้ฟะ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
1yZGZS.png
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 684
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 17:06
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
อ่านแล้วนึกถึง บอลโลก เกาหลีใต้ตอนปี2002
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: ท๊อดวิ่งดิท๊อด
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 May 2009
ตอบ: 258
ที่อยู่: สแตมฟอร์ดบริดจ์
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 17:18
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
อ่านจนเมาตัวหนังสือเลยทีเดียว

สาระมากครับ จัดไป 1 แผล่บ !
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status: what a sick sick feeling
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1184
ที่อยู่: BKK
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 17:26
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
ซาฟารีค้างคับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 25 Sep 2009
ตอบ: 35
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 29, 2014 17:48
[RE: ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของโรม่า ''ฟรานเชสโก้ ต๊อดติ'']
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel