## คน กับ ผี ?? ##
ภาพที่คุ้นชินสำหรับผม ในวัย 8-9 ขวบ คือ ชายสูงวัย ร่างท้วม หน้าตาออกไปทางจีนๆ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว แต่เก่ามอซอ ตัวเก่ง กางเกงขาก๊วย เอวเคียนผ้าขาวม้า สวมงอบใบเก่าคร่ำ ขี่จักรยานรุ่นโบราณ ตระแกรงหลังมีตะกร้างใบเขื่องมัดติดไว้แน่นหนาในตะกร้ามีหม้ออลูมิเนียม ที่ใส่กุ้ยช่ายสารพัดไส้ไว้ด้านใน เรียงซ้อนๆ กันเป็นวงกลมจนเต็มหม้อ มีขวดซอสสารพัดชนิดถุงพลาสติก ไม้เสียบลูกชิ้น ถุงหนังสือพิมพ์ และ ฯลฯ
ผมไม่แน่ใจว่า แกชื่ออะไร สมมติว่า ชื่อ
แปะ แล้วกันครับ
ตาแปะ คนนี้ ตั้งแต่ผมจำความได้ ก็เห็นแกขี่จักรยานแบบนี้อยู่ในตลาด แกขี่ไปเรื่อย ช่วงเย็นๆ ก็จะมาจอดที่หน้าประตูโรงเรียนเพราะเด็กเยอะ กุ้ยช่าย ขายดี ในโรงเรียนมัธยมขายดี กว่าโรงเรียนประถม เพราะเด็กโต กินของว่างที่ กินอิ่มพวกนี้ มากกว่า ขนมหลอกเด็กตามรถเข็น
แต่ตั้งแต่เล็ก จนโตขึ้น ผมยังไม่เคยได้ยินแกพูดซักคำสีหน้าแกเรียบเฉย ไม่ยินดี ยินร้าย ไม่เคยมีรอยยิ้มจากแก รวมถึงสีหน้าเรียบๆ นั้น ออกจะดูบึ้งตึงเป็นนิจ ด้วยซ้ำ
การขายของแกจะง่ายๆ จอดรอให้ลูกค้าเข้ามาซื้อ ลูกค้าชี้นิ้ว เอาไส้นั้น ไส้นี้ กี่อันก็ว่าไป แกก็จิ้มใส่ถุงอย่างคล่องแคล่ว เหยาะซอสหวาน ซอสเปรี้ยวเผ็ด แกจะมีป้ายบอกว่า ชิ้นละ 3 บาท ลูกค้าต้องเตรียมเงินให้แก คำนวณเองว่า กี่บาท ถ้าไม่พอ แกจะมองหน้า ถ้าพอดีแกก็รับใส่กระเป๋าเสื้อ ถ้าทอนก็หยิบทอน ไม่มีขอบคุณ ไม่มีพูด ไม่มียิ้ม
ตั้งแต่เล็กจนโต ผมมีโอกาสกินกุ้ยช่ายไส้หมูสับ ก็จากแกคนเดียว พอโตมา จะหาซื้อไม่ว่าจะที่ไหน ปรากฎว่า ไม่เคยหากินได้อีกเลย
ช่วงนั้น ต่างจังหวัดมักมีข่าวลือ เรื่องผี เช่น มีผีดูดเลือดอยู่ในจังหวัดข้างเคียง แล้วก็เอามาลือกัน มีคนตายเท่านั้น เท่านี้ นั่งลุ้นกันว่า เมื่อไหร่จะมีคนตาย ในจังหวัดเรา
ข่าวพวกนี้ ก็คล้ายๆ กับ ผีปอบ พระอุ้มหมี ชีอุ้มควาย อะไรประมาณนั้น
สำหรับเด็กๆ อย่างเรา มันเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ช่วงเย็นๆ ไม่มีใครกล้าออกไปเล่นจนค่ำนัก ผมและพี่ชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ก็เช่นกัน
..............................................
โชคไม่ดี มีอยู่วันนึง ผมกับพี่ ต้องเรียนพิเศษ ครูที่สอน ก็เพื่อนแม่นั่นแหละ เรียนกันในห้องเรียน บนชั้น 2 ของตึกภาษาไทย-นาฎศิลป์ ซึ่งเป็นอาคารที่ค่อนข้างเก่า เป็นอาคารของหมวดวิชาภาษาไทย และ นาฎศิลป์
ที่นี่มีเรื่องเล่า น่ากลัว เกี่ยวกับดนตรีไทย
ผมกับพี่นั่งเรียนด้วยใจไม่เป็นสุข เอาแต่นั่งลุ้นว่า
ปีพาทย์ขึ้นเมื่อไหร่ กูเผ่นเมื่อนั้นแหละ ...
เรียน 4 โมงครึ่ง วันละ ชั่วโมงครึ่ง ก็เลิกตอน 6 โมงเป๊ะ
ช่วงหน้าหนาว มืดไว แค่ห้าโมงฟ้าก็สลัวแล้ว
อากาศก็เย็น ยะเยือกยังไงบอกไม่ถูก
เสียงเหล่านักเรียน เฮฮา ครึกครื้น ด้านนอก
เสียงตะโกนเรียกบอลจากเหล่านักเตะเยาวชน
เสียงลูกบาสกระทบแป้น เสียงหัวเราะของนักเรียน
ค่อยๆ จางลง จางลง เพราะทุกคนต่างก็กลับบ้าน
จนเลิกเรียน ก็แทบจะเรียกว่า พลบค่ำ พวกผมเดินลงมา และแยกกับครูสอนพิเศษ
โดยครูเดินไปสตาร์ทมอร์เตอไซค์ที่หน้าตึก และค่อยๆ ขี่ออกไป
ดูเอาเถอะ น้ำใจคนเรา ใจคอจะไม่ไปส่งหน่อยเร้อ .....
ผมกับพี่ยืนกันสองคนหน้าอาคาร 2 มีเพียงไฟทางสลัวๆ บนอาคารปิดไฟมืดตึ๊ดตื่อ ยิ่งมองยิ่งหลอน พวกเรารีบเดินออกมาที่ถนนข้างตึก ซึ่งมีไฟทางสว่าง
ซวยแล้วเรา... ผมคิดในใจ จะทำไงดีว้า ทางเดินกลับบ้านมี 3 ทาง ระยะทางไม่ไกล เพราะพวกผมอยู่หลังโรงเรียนนี้เอง
ทางแรก ใกล้ที่สุด โดยเดินตัดสวนวรรณคดี และตึกวิทย์ไป ระยะทางไม่ถึง 100 เมตร แต่ถ้าท่านไมเข้าใจความรู้สึกของผม กรุณากลับไปอ่าน เรื่องก่อนหน้านี้ จะรู้ว่า ไอ้ 100 เมตรนี้ คงไกลเป็นโยชน์เลย ในความรู้สึกของผม
ทางที่สอง ไกลหน่อย เดินอ้อมตึกวิทย์ไปทางขวา ระยะทางไม่ไกลนักประมาณ 200 เมตร แถมเดินผ่านหน้าบ้านพักครูติดอยู่อย่างเดียว คือ ต้องเดินผ่าน หน้าบ้าน ครูชำนาญ ครูสอนศิลปะ ซึ่งแกเลี้ยง ไอ้การ์ตูน คู่แค้นของพวกผม หมาตัวเตี้ยล่ำ ขาสั้น แต่วิ่งเร็วโคตร แถมดุชิบหาย
ทางที่สาม ไกลโคตร คือ เดินย้อนกลับไปทางตึกหน้าโรงเรียนบริเวณเสาธง แล้วค่อยเดินไปตามถนนใหญ่ในโรงเรียน โล่ง โปร่ง และสว่าง แต่ต้องเดินไกลประมาณ 500 เมตร
พวกผมสองคน ไม่เลือกทางที่สองอยู่แล้วครับ
ไม่อยากวิ่งกันซี่โครงบาน เจอผี ดีกว่าเจอไอ้การ์ตูน
สำหรับผม ทางแรกก็ตัดไป ให้ตายกูก็ไม่ไป
ส่วนพี่ผม มันขี้เกียจเดิน ทำท่าจะเดินไปทางแรก
เมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็วัดดวงครับ เป่ายิ้งฉุบ ...
ซึ่ง ความซวยตกอยู่ที่ผม
เราต้องเดินไปทางสวนวรรณคดีจนได้
ในสวนขนาด 20 ตารางเมตร มีทางหิน สำหรับเดินซึ่ง ทางซ้ายมือเป็นด้านหลังของตึกภาษาไทย-นาฎศิลป์ ที่เราเพิ่งลงมา .. ด้านขวามือ เป็นด้านหน้าของตึกวิทย์ ..แถมเบื้องหน้าที่กำลังใกล้เข้ามา ก็เป็น แม่นางเงือกคนสวยที่นั่งแข็งอยู่ข้างริมสระน้ำ
บรรยากาศมันมืดจนผมมองไม่ให้ดวงหน้า และรอยยิ้มสวยๆ แต่เย็นชืด ไร้ชีวิต นั้น ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ เพราะถ้าเดินจนผ่านหน้าเจ๊ แล้วเจ๊แกดันเปลี่ยนสีหน้า หรือเปลี่ยนท่านั่ง ผมคงตายอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องวิ่ง
ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จนเดินผ่านเจ๊นางเงือกรู้สึกโล่งใจที่แกยังนั่งลูบมวยผม หางจุ่มน้ำ และยิ้มแข็งๆ อยู่อย่างเดิม
เดินตัดสวนกำลังจะถึงถนนอยู่แล้ว
ผมและพี่ได้ยินเสียงคนเรียก เฮ้ย .. เฮ้ย .. ลอยตามลมมา คล้ายๆ จะหูแว่ว
เสียงนั้น ไม่ดังมาก แต่ ณ เวลานั้น ได้ยินกันชัดเจน จนเราหันมามองหน้ากัน
พี่ผมมองหน้า ส่งภาษากายออกมาประมาณว่า "ไม่ต้องบอก กรูรู้แล้ว .."
ยังไม่ทันที่จะทำอะไร เสียงดัง ตุ้บ ข้างๆ ตัวเรา
พวกผมมองไปตามที่มาของเสียง เห็นรองเท้าข้างหนึ่ง ตกอยู่
เป็นรองเท้าฟองน้ำ ด้วยสัญชาติญาณก็เลยแหงนหน้ามองขึ้นไป
ที่ชั้น 3 ชั้นของห้องชีวะ ริมระเบียงที่ห่างออกไปไม่ไกล
เหมือนจะมีเงาๆ หนึ่ง ชะโงกหัวออกมามองเรา
ด้วยความมืด จึงเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ
พี่ผมร้องว่า
"เฮ้ยๆ อย่าวิ่ง ภารโรง แม่งแกล้งเรา .."
แต่เสียงพี่ผมมันไกลตัวผมออกไป
พอผมหันไปมอง พี่ผมมันเดินยังไงวะ
แม่งทิ้งผมไปสิบกว่าเมตรละ ผมใส่เกียร์หมาตามไปทันที
ก็ไม่รู้ว่า ใคร แต่ภารโรงคนไหนจะไปอยู่ข้างบนมืดๆ
ถ้าจะขึ้นไปอย่างน้อยมันต้องเปิดไฟมั่งแหละ
.....................................
เวลาผ่านไป ข่าวลือแพร่สะพัด จากผีดูดเลือดกลายเป็นผีจีน โดดดึ๋งๆ แบบผีกัดอย่ากัดตอบ มันออกจะเป็นเรื่องที่ฟังแล้วปัญญาอ่อนสำหรับใครที่ได้ยิน แต่เด็กต่างจังหวัดในยุคข้อมูลข่าวสาร ยังจำกัด อย่างสมัยปี 2530 ยิ่งในจังหวัดเรา มีสุสานจีน ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข่าวลือ เด็กๆ กลัวจนไม่กล้าออกมาเล่น โรงเรียนเลิกไม่มีใครกล้าอยู่ แม้แต่ผู้ใหญ่ ก็พลอยกลัวไปด้วย
เพียงไม่นานหลังจากข่าวลือสะพัด ก็มีคนตาย
เป็นคนจรจัดแถวๆ นั้น นอนตัวแข็งตาย
ชาวบ้านก็ลือกันไปใหญ่ ว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเลือดซักหยด
มีคนบอกแม้กระทั่ง เห็นรอยเขี้ยวบนลำคอ ว่ากันไปนั่น
หลังคนจรจัดตายศพแรก มันก็มีศพที่สอง ที่สาม ...
ยุคนั้นแถวบ้านผมเรียกว่า คนจรจัดครองเมือง
ไม่รู้ว่า มาจากไหนกัน ... บางคนมีเรื่องเล่าปากต่อปาก
ว่า เมื่อก่อนเรียนเก่งมาก แต่ทนความกดดันจากทางบ้านไม่ไหว
จนเสียสติ และทางบ้านรับตัวกลับจาก โรงพยาบาล
แต่ทำใจดูแลต่อไม่ไหว เอามาปล่อยที่นี่ ฯลฯ
ยิ่งมีคนตาย ก็ยิ่งลือ ผมก็ยิ่งกลัว
แต่ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่า คนจรจัดตายเพราะอะไร
ตำรวจบอกว่า สาเหตุการตายคือ ถูกเชือดคอ
แต่ชาวบ้านที่กำลังโดนความกลัวบังตา กลับเอาไปลือว่า
คนจรจัดโดนกัดจนคอเหวอะ แล้วตำรวจปิดข่าว
เป็นกันไปได้ถึงเพียงนี้ ....
...........................................
เย็นวันหนึ่ง พ่อกับแม่ ไปงานเลี้ยงของครูในโรงเรียน
ผมอยู่บ้านกับพี่ชาย เราปิดบ้านมิดชิด ด้วยความกลัว
บ้านพักครูที่ผมอาศัย แต่เดิมเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง
บันไดทางขึ้นอยู่ด้านหน้า แต่ตอนหลังพ่อต่อเติมด้านล่าง
เป็นห้องดูทีวี ห้องครัว และโรงจอดรถ
หมายถึง การขึ้นลงบันได ก็จะอยู่นอกบ้าน ไม่ได้อยู่ในตัวบ้าน
เย็นนั้น พวกผมปิดล็อคประตูชั้นล่าง และเผ่นขึ้นมาบนบ้าน เปิดไฟทุกดวง
มีดยังเหน็บที่เอว ไม่รู้ว่า ถ้ามันมีผีดูดเลือดจริง มันจะมีประโยชน์อะไร
แต่เพื่อความอุ่นใจ เด็กอย่างผมก็คิดได้เท่านั้นเอง
บ้านพักครูอยู่ด้านหลังโรงเรียน มีบึงน้ำที่มีวัชพืชจำพวกหญ้า ขึ้นหนาทึบ
กั้นระหว่างโรงเรียน กับ บ้านพักครู
โรงเรียนของผมมีบ้านพักครูราวๆ 12 หลัง
ปลูกเรียงเป็นหน้ากระดาน
ด้านหลังบ้านพักครู เป็นคลองน้ำสกปรก ลึกแค่เข่า
กั้นระหว่าง โรงเรียนของผม กับวิทยาลัยอาชีวะอีกแห่ง
กว้างไม่เกินสองวา มีรั้วลวดหนามกั้น
บริเวณนั้นเป็นโรงอาหารของวิทยาลัยฯ
และถัดจากโรงอาหารเป็นทุ่งหญ้ารกร้าง กินบริเวณกว้างพอสมควร
วันนั้นบ้านพักครูทุกหลัง ยกเว้นหลังของผม ปิดไฟมืด
เพราะทุกคนไปงานเลี้ยงหมด มีเพียงไฟทางสลัวๆ
ที่ฉายทุกสิ่งรอบตัว ให้กลายเป็นเงาตะคุ่ม
ผมกับพี่ ปรึกษากันว่า
ชิบหายแล้วเรา ... บ้านอื่นแม่งปิดไฟมืด
บ้านเราสว่างโร่ อยู่บ้านเดียว แบบนี้มันชี้เป้ากันเห็นๆ
จะทำไงดี ก็เลยได้ข้อสรุปว่า ปิดไฟ เพื่อพรางตัวน่าจะดีกว่า
ว่าแล้วก็ปิดไฟ แต่พอปิดไฟทุกดวงบนบ้านปัญหาก็เกิด ...
ชั้นล่าง ผมดันเปิดไฟทิ้งไว้ด้วย เพราะงั้นปิดไฟชั้นบน
ก็ไม่ช่วยอะไรนอกจาก จะลงมาปิดชั้นล่างด้วย ผมกับพี่เกี่ยงกัน
กูจะดูต้นทางให้ มึงไปสิ ..
เฮ้ย มึงนั่นแหละ
กูเป็นพี่มึงนะ ..
กูก็เป็นน้องมึงนะ ...
เกี่ยงกันไป เกี่ยงกันมา
มาลงเอยด้วยการเป่ายิ้งฉุบ
และความซวยตกอยู่ที่ผม ...
พี่ชายผมยืนดูลาดเลาที่ระเบียงบ้าน
สวมวิญญาณเด็กรับรถ แกว่งไฟฉายไปมา
(มึงจะส่องเรียกพ่อมึงมาเรอะ ?)
มันปล่อยให้ผมเดินลงไป เพียงลำพัง
ผมต้องปิดไฟทั้งสิ้น 4 ดวงด้วยกัน นั่นคือ
ไฟห้องดูโทรทัศน์ ไฟในครัว ไฟที่โรงรถ
และไฟที่ล้างจานหลังบ้าน
ผมไปปิดไฟโรงรถก่อนไปห้องครัว เหลือห้องดูทีวีไว้
เพราะอยู่ติดกับประตูทางเข้า
จังหวะที่เดินไปจะปิดไฟที่ล้างจานนั้นเอง
เบื้องหน้าผมถัดออกไปไม่เกิน 5 เมตร
ข้ามคูน้ำสกปรก และรั้วลวดหนาม ไปสู่
ถนนลูกรังในวิทยาลัยอาชีวะ
เงาตะคุ่มร่างหนึ่ง ผมเห็นเพียงครึ่งตัว
เพราะร่างนั้นยืนอยู่ในทุ่งหญ้า ต่ำกว่าคันดินที่ทำเป็นถนน
ซึ่งเป็นแนวระนาบสายตาของผม
ร่างๆ นั้น หันหลังให้ผม มันมืดเกินกว่าจะจำแนกรายละเอียดใดๆ ได้
เว้นเสียแต่ ...
งอบใบนั้น .... ที่ทำให้ผมจำได้ว่า เงานั้นคือใคร ...
ผมใจหายวาบ .. ตาแปะ .. ?? ทำไม .?? ค่ำมืด แกมาทำอะไร ??
เห็นเงานั้นเหมือนค่อยๆ หันกลับมาทางผม ย่างสวบสาบ
จากทุ่งหญ้าขึ้นบนคันดินที่เป็นถนน
พร้อมๆ กับผม ค่อยๆ ถอยหลังช้าๆ
พอเข้าบ้านได้ก็วิ่งไปทางประตูหน้าโดยไม่สนใจปิดประตู
หลังจากวันนั้น ผมก็รู้สึกขยาดตาแปะ ไม่กล้าสบตาแก
ไม่กล้าซื้อขนมแก แม่ซื้อมาให้ผมก็ไม่อยากกิน
รู้สึกไม่กล้ากินขนมน้ำมือแกซะแล้ว พี่ชายผมก็ด้วย
ไม่นาน ข่าวลือใหม่ๆ ก็สะพัด ผีดิบ กลายเป็นคนในท้องที่
จากเดิมที่เป็นผีที่หากินมาจากจังหวัดข้างเคียง
ลือกันไปหนัก
คนที่ถูกเพ่งเล็งเป็นคนแรกๆ คือ คนที่ไม่ค่อยสุงสิง สังคมกับใคร
ตาแปะ .... ลือกันว่า แกมาจากเวียตนาม
เป็นทหารหนีสงคราม ลือไปต่างๆ นานา และ ลือว่า
แกเป็นผีดิบ
มันช่างตรงกันกับสิ่งที่ผมสร้างมโนภาพไว้ เมื่อตอนเห็นแกในคืนนั้น
ใช่แล้ว ผมกับพี่ สรุปตรงกัน "ตาแปะ เป็นผีดิบ ..."
...........................................
ทุกวัน ภาพของเด็กและผู้ใหญ่ ร้องเรียกรถขายกุ้ยช่ายของแก ภาพคนยืนมุงซื้อ ไม่มีให้เห็น ตาแปะจอดจักรยานคู่ใจ แต่ไม่มีใครซื้อของแกเลย ด้วยว่ากลัวแกจะเอาไปเป็นเหยื่อ นานๆ จะขายได้ซักที แม่ของผม เป็นคนจำนวนน้อยที่ไม่เชื่อ ข่าวลือ และซื้อกุ้ยช่ายแกเป็นประจำ พ่อชอบกิน แต่ผมกับพี่เลิกกินไปนานแล้ว
เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ผมกับพี่เล่นอยู่ที่สนามบาส
ตาแปะก็ขี่จักรยานมาช้าๆ ผมสะกิดพี่ พวกเรา กำลังจะเลิกเล่น
ตาแปะดูแปลกๆ ไป
สีหน้าแกซีดเซียว ขอบตาคล้ำ และผอมซูบ
คนลือกันว่า แกคงอดอยาก เพราะคนระวังตัวกันมาก
ประกอบกับข่าวลือเรื่อง คนตายซาลง คนจึงคิดว่า แกคงหิวเลือด
ขณะที่ผมกับพี่มองดูแกขี่จักรยานผ่านหน้าพวกเราไปนั้น
ก็มีเด็กรุ่นๆ กลุ่มหนึ่งที่อยู่แถวๆ นั้น จู่ๆ ก็ทำสิ่งไม่คาดฝัน
พวกนั้นเขวี้ยงท่อนไม้ใส่จักรยานของแก พร้อมๆ กับร้องโห่ไล่
และแล้ว ผมก็ได้เห็นสีหน้าตกใจของตาแปะเป็นครั้งแรก
ตาแปะร้องเสียงหลง ตอนที่ไม้ท่อนใหญ่กระแทกที่หน้าขาแก
และรถเสียหลักล้มลง ...
เด็กกลุ่มนั้นวิ่งหนีหายไป เหลือผม กับพี่ชาย
ที่ยืนมองเหตุการณ์น่าสะเทือนใจ
ตาแปะ ค่อยๆ พยุงตัวขึ้น และฉุดดึงจักรยานของแก
ดูความเสียหาย แกตั้งขาตั้งจักรยานไว้ แล้วมองไปบนพื้น
กุ้ยช่ายที่มีอยู่ เกือบจะเต็มหม้อ เพราะแกขายไม่ได้เลย
กระจัดกระจายเต็มพื้น คลุกฝุ่น คลุกดิน ซึ่งแปลว่า แกต้องทิ้งทั้งหมด
สิ่งที่ทำให้ผมน้ำตารื้นขึ้นมา ก็คือ
แกค่อยๆ ก้มเก็บกุ้ยช่ายคลุกขี้ฝุ่น ทีละชิ้น ทีละชิ้น
ใส่ถุงก๊อบแก๊บ ขาแกคงยังเจ็บจากการถูกไม้กระแทก
แต่แกก็ยังค่อยๆ ทรุดตัวนั่ง เก็บกุ้ยช่ายเหล่านั้นจนหมด
ด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ไม่ฟูมฟาย ไม่ด่าทอ ไม่โกรธเกรี้ยว
เป็นตาแปะ คนเงียบเฉย คนที่ผมเคยเห็นตั้งแต่ยังเด็ก
และผมไม่เคยมองแกแบบนั้นมานาน
ตั้งแต่มีข่าวลือเรื่องผีดิบ
ผมมองอยู่ห่างๆ นึกเสียใจที่คิดไม่ดีกับแก
ตาแปะนำถุงกุ้ยช่ายไปวางให้หมากินที่ข้างถังขยะ
ถึงแกจะไม่คุยกับใคร ถึงแกจะถูกรังเกียจ
แต่แกไม่ทิ้งให้ของๆ แกเรี่ยราด ให้สกปรกถนนหนทาง
และเดือดร้อนคนอื่น .....
อีกไม่นานหลังจากนั้น
ตาแปะก็หายไปจากสังคมบ้านผม
คนก็ยังนินทาแกลับหลัง
และ เรื่องทั้งหมดก็เลือนหายไปตามกาลเวลา
เพียงไม่นานนับจากนั้น ตาแปะ ก็ถูกลืม
ผมมารู้ในภายหลัง เมื่อเริ่มโตขึ้น ว่า ตาแปะมีเมีย เมียแกขาไม่ดี เดินไม่ได้ และยังลูกเล็กอีกหลายคน แกเป็นเสาหลักคนเดียวของบ้าน แกไม่พูดกับใครเพราะแกเป็นคนจีน พูดไทยไม่ค่อยได้ พูดได้ก็ไม่ชัด ตาแปะต้องหาเลี้ยง ปากท้องของเมียและลูก
ช่วงที่มีข่าวลือ แกคงเครียดมาก ทำให้นอนไม่หลับ และคงไม่ค่อยกินอิ่มเท่าไหร่ หาได้เท่าไหร่ ก็ให้ลูกให้เมียกินก่อน
ส่วนสาเหตุการตายของคนจรจัด คือ ถูกพวกขายยาเสพติด
ปาดคอ ปิดปาก ช่วงนั้น ผงขาว เหล้าแห้ง กำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นบ้านผม
พวกนี้ เห็นคนจรจัดเดินไปมา ก็คงระแวง ว่า มันจะไปฟ้องตำรวจ
ทุกคน กลัวสิ่งที่ถูกข่าวลือ ข่าวโคมลอยอุปโลกน์ขึ้นมา
แต่ มองข้ามภัยร้ายที่แท้จริง
และ โยนบาปให้คนบริสุทธิ์ ที่ไม่มีปากเสียง คนหนึ่ง
ตาแปะ คนทำมาหากินสุจริต
ที่ต้องตกระกำลำบาก จากขี้ปากคนอื่น
จากคำพิพากษาของสังคม
ตาแปะ ..
คือ คนเป็นที่ถูกสังคม ประกาศิตให้ตาย
ตายทั้งที่ยังมีลมหายใจ ในสังคมที่อ้างตัวว่า เจริญแล้ว
ในขณะที่ ผีร้าย ยังคงเพ่นพ่านอยู่ทั่วไป
ผี ที่เกิดจากความกลัวจนเกินขอบเขต
ผี ที่เกิดจากความไม่รู้ และอวิชชา
ผี ที่ฉุดดึงเรา ให้ลงต่ำ ให้ทำผิด ให้คิดชั่ว
ผี ที่เป็นเงาบาป ในใจเราเอง