(เรื่องเก่า เล่าใหม่) อาถรรพ์บ้านไร่ 2
## ตอนที่ 2 ห้องใต้บันได ##
พอดีได้อัพเดตสถานการณ์น้ำกับเพื่อนเจ้าของเรื่อง ซึ่งปัจจุบันเขาสอนอยู่กบินทร์บุรี ที่ตอนนี้น้ำท่วมหมดแล้ว ก้อเลยอยากเอามาเล่าใหม่ครับ
หลังจากได้ฟังเรื่องของโตมาได้สักพัก เพื่อนผมยังไม่ปักใจเชื่อนัก ก็เลย แกล้งถามไปว่า
"โรงเรียนของเรามีผีไหม"
โตบอกว่า "มีครับครู"
ชิต รู้สึกสองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากจะเชื่อเด็ก แต่อีกใจหนึ่ง ก็อยากจะลองหลอกถาม เพื่อจับผิดเด็ก คนมีการศึกษาจบปริญญา สอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วย แม้จะโตมาในสภาพแวดล้อมของบ้านนา บ้านทุ่ง เหมือนกันแต่จะให้ปักใจเชื่อทุกคำพูดของเด็ก 13 ขวบ มันก็จะกระไรอยู่อย่าว่าแต่เรื่องที่โตเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ได้ยินกับหู คงนึกว่า นิทานข้างกองไฟ
"ครูเคยเจอผีนะ ที่อาคารเก่า"
เพื่อนผมลองหยั่งเชิงโต
โต มองหน้าเพื่อนผม บอกว่า
"ที่อาคารเก่าไม่มีผีหรอกครู ครูอาจจะหูแว่วไป หรือก็อาจจะเป็นพวกที่มาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆอาคาร แต่ถ้าครูกลัว ครูหนีขึ้นไปบนอาคารเก่า ผมรับรองว่า ครูจะไม่เจออะไรเลยครับ"
เพื่อน ผมรู้สึกผิดคาด เพราะโดยธรรมชาติ การรับรู้ของเด็กวัยนี้ จะมาจากการบอกเล่าของผู้ใหญ่ ไม่เฉพาะเด็ก แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ มักจะคิดว่า ที่ๆเก่าแก่ โบราณ มีประวัติยาวนาน มักจะมีสิ่งลี้ลับอยู่เสมอ ในขณะที่อาคารใหม่เอี่ยมอ่อง ไม่มีประวัติอะไร การก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่น จะไม่มีอะไรน่ากลัว แต่เด็กคนนี้พูดตรงข้ามกับสิ่งที่เพื่อนผมคิด หรืออีกนัยหนึ่ง ตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเพื่อนผมเชื่อ
โตบอกว่า อาคารเก่าที่ชั้นล่าง มีฤาษีท่านนั่งขัดสมาธิอยู่ ผีเกรงตบะของท่านไม่กล้าขึ้นไปบนนั้น ส่วนชั้นสองผียิ่งไม่กล้าขึ้นไป เพราะพุทธคุณขององค์พระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชในห้องครูใหญ่
ชิตไม่สงสัยเรื่องโต๊ะหมู่บูชา แต่สงสัยเรื่องฤาษี ว่าทำไมชั้นล่างมีฤาษีท่านนั่งเฝ้าอยู่ได้ ถ้าบอกว่าพระภูมิเจ้าที่ก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าที่โรงเรียนนี้ไม่มีศาลพระภูมิครับ
เรื่องฤาษี เพื่อนผมไม่เข้าใจอยู่นาน จนเดินผ่านห้องนาฎศิลป์ ถึงได้เห็นว่าบนหิ้งมีหัวโขนเป็นฤาษี ซึ่งทางนาฎศิลป์ ถือว่า ท่านเป็นครูแห่งศาสตร์ทางด้านนี้ เพื่อนผมถึงได้ร้องอ๋อ ....
พอถามว่า แล้วผีอยู่ที่ไหนกันล่ะ เพื่อนผมก็สังเกตเห็นว่า พอพูดถึงเรื่องนี้ โตมีสีหน้าที่เคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
"ที่ตึกใหม่ครับครู ในห้องเก็บของใต้บันไดทิศตะวันตก (ก็คือบันไดทางฝั่งซ้ายนั่นเอง) ผมก็มองไม่เห็นข้างในเหมือนกัน มันมืดดำไปหมด แต่รู้ว่าในนั้นทั้งมืด ทั้งหนาว ผมได้ยินเสียงคร่ำครวญโหยหวน ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อย ในห้องนั้น"
เพื่อนผมได้ยินถึงกับอึ้ง ตอนผมนั่งฟัง ยังรู้สึกขนลุกกับคำพูดประโยคนี้ ส่วนนึงเพราะนึกภาพห้องที่ว่าได้อย่างชัดเจน ผมเป็นลูกครู วิ่งเล่นใน โรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก ห้องเก็บของแบบนี้ มันผุดขึ้นมาในหัวเลยทีเดียว
ถ้าใครเคยเรียนโรงเรียนที่มีตึกประเภทนี้ บริเวณทางขึ้นบันไดจะมีช่องว่างใต้บันได ที่เขามักจะทำเป็นห้องเก็บของความสูงขนาดผู้ใหญ่ยืนเต็มตัวไม่ได้ กว้างยาว ก็ไม่น่าจะเกิน 2 - 3 ตารางเมตร เพื่อนผมบอกว่า ไม่เคยเข้าไป รู้แต่ว่าเป็นที่เก็บของไม่ใช้แล้ว ล๊อกกุญแจมานานมาก ตั้งแต่สมัยครูใหญ่คนปัจจุบันยังไม่มา กุญแจอาจจะอยู่ที่ลุงคนที่เป็นภารโรง แต่ก็ไม่เคยเห็นมีใครไปเปิดซักที เห็นว่าเป็นห้องเก็บของเล็กๆ เพื่อนผมก็เลยไม่สนใจ
เพื่อนผมเลยถามว่า พวกนั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เป็นคนในหมู่บ้านหรือเปล่า
โต บอกว่า
เขาอยู่กันมานานมากแล้ว มันเป็นที่ของเขา ห้องนั้นเป็นจุดอับ มันมืดดำมองไม่เห็นอะไรเลย ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมืด ดำ เท่าที่นี่ ผมไม่กล้าเดินผ่าน ผมกลัว และ พวกเขาก็รู้ว่าผมได้ยิน
ตรงนี้ถ้าให้ผมวิจารณ์ ก็คงเหมือนหลักฮวงจุ้ย ละครับ มันอาจจะเป็นมุมที่มีพลังไม่ดีมารวมกัน พวกนั้นก็เลยมารวมกันอยู่ที่นี่ ส่วนที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ตอนได้ยินครั้งแรก นึกภาพไปถึง หลุมดำ ในอวกาศ
เพื่อนผมถามต่อไปว่า
"แล้วกุญแจละ ห้องนั้นโดนล๊อก แปลว่าพวกนั้นถูกขังอยู่ใช่ไหม"
โต บอกว่า
"ขังเขาไม่ได้หรอกครับครู เขาอยู่ตรงนั้น มานานกว่าเรามาก พวกเรามาอยู่ที่นี่ก็เท่ากับเรามาอาศัยทับที่ของเขา เขาคงไม่ได้อยากมาอยู่ แต่ที่ตรงนั้นมันมีอะไรบางอย่าง ฉุดดึงให้พวกเขาเข้าไปอยู่ด้วยกัน"
เพื่อนผมชักเริ่มหวาดๆ ก็เลยถามว่า
"แล้วพวกเขาจะทำอันตรายคนในหมู่บ้านไหม"
โต บอกว่า
"ครูเคยได้ยินคำว่า ผีซ้ำด้ามพลอยไหมครับ ...คนบางคนตกเคราะห์หามยามร้าย แต่ไม่ถึงชีวิต หากไปเจอพวกเขา พวกเขาจะเข้าทำให้ถึงตาย เหมือนพ่อ กลางวันจิตเราแข็ง แสงสว่างทำให้เรากล้ากลางคืน มืด เรากลัว จิตเราอ่อน อะไรๆก็เข้าแทรกได้ง่าย"
เพื่อนผมฉุกคิดเรื่องที่
โตสะพายดาบออกจากบ้านกลางดึก ก็เลยถามว่า
แล้วที่โตสะพายดาบออกไป กลางดึก ไม่กลัวหรือไงหรือ คิดว่าตบะแข็งกล้ากว่าคนอื่น เราน่ะเก่งเรื่องผีก็จริงแต่กลัวคนไว้บ้าง คนเราก็หลอกกันได้ คิดร้ายกันได้คนอันตรายกว่าผีอีก
โตไม่มองหน้าเพื่อนผม แต่มองออกไปตามแนวป่า พูดเหมือนพึมพำ
"ไม่จริงหรอกครู ... ผมก็กลัวครับครู
กลัวจนไม่อยากลุกขึ้นมาเลย แต่ผมไม่ไป ไม่ได้"
พูดแค่นี้ โตก็ไม่พูดอะไรอีก
เพื่อนผมก็ไม่เซ้าซี้ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้
เพื่อนผมถามแม่โตเรื่องของหมู่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ความอะไร นอกจากรู้ว่า ที่นี่เคยเจริญ ผู้คนพลุกพล่าน เพราะแห่กันมาขุดพลอย แต่นานเข้า ขุดหาได้น้อยลง แถมตลาดพลอยซบเซา ก็ทิ้งหมู่บ้านไปทำงานในเมืองกันเป็นส่วนมาก เหลืออยู่แค่พวกที่ลงหลักปักฐานปลูกบ้านแล้วเท่านั้น
ก่อนกลับ เพื่อนผมบอกว่า จะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ ไม่ได้อยากฟังเรื่องแปลกประหลาด แต่เพื่อนผมรู้สึกสงสารโต ถ้าในทางวิทยาศาสตร์ โต เป็นเด็กที่มีภาวะซึมเศร้า มีโลกส่วนตัวสูง และอาจจะมีอาการทางจิต ที่เกิดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างกระทันหัน เด็กก็คือเด็ก เพื่อนของผมคิด และ เขาก็เป็นครูที่มีไฟของความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยม สิ่งเดียวที่เพื่อนของผมต้องการ คือ ปลดเปลื้องภาระทางใจของโต และชักนำ เด็กกลับเข้าสู่ชีวิต ตามวัยของเขา