หลายๆคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่า "กรมสรรพากร" เป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษีแห่งเดียวในประเทศไทย ไม่ว่ามีเรื่องภาษีอะไรก็สามารถที่จะมาติดต่อได้ แต่จริงๆแล้วโครงสร้างภาษีของประเทศนั้นแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1. ภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ต้องรับผิดชอบจ่ายภาษีเหล่านี้เอง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีป้าย เป็นต้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ภาษีทางตรง"

2. ภาษีที่จัดเก็บจากผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีผลักภาระภาษีไปยังผู้บริโภคได้ (โดยการบวกไว้ในราคาสินค้า) เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ เป็นต้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ภาษีทางอ้อม"

แต่ผู้ที่มีหน้าที่จัดเก็บนั้น มีมากมายหลายหลาก ไม่ใช่แค่เพียงแต่ "กรมสรรพากร" เท่านั้น แต่ยังมี กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร โดยมีหน้าที่แตกต่างกันไปดังนี้

1. กรมสรรพากร มีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตาม "ประมวลรัษฎากร" โดยให้อำนาจกรมสรรพากรจัดเก็บภาษี ทั้งหมด 5 ประเภทได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีเงินได้นิติบุคคล, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์

2. กรมสรรพสามิต มีหน้าที่จัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และศีลธรรมอันดี มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐ

3. กรมศุลกากร มีหน้าที่จัดเก็บภาษีศุลกากร คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศ หรือส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร ในกรณีนำเข้าเรียกว่า "อากรขาเข้า" และในกรณีส่งออกเรียกว่า "อากรขาออก"

4. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่จัดเก็บภาษีส่วนท้องถิ่นต่างๆ เช่น ภาษีป้าย ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือน ฯลฯ


ปล. ผม copy บทความมาจากเพจตามด้านล่างเลยนะครัับ

https://www.facebook.com/TaxBugnoms?ref=stream&hc_location=stream

สาระ

มาไวมาก

ผมกำลังทำการบ้านวิชาภาษีอยู่เลยส่งก่อนเที่ยงคืน สงสัยทำเองจะผิดหมด ท่านช่วยผมหน่อยสิ

หง่า เห็นเครดิตแล้วว่าก็อปมา

ผมคงไม่ถึงกับช่วยทำนะครับ แต่ผมจะช่วยแนะแนวให่ละกันครับ

มีอะไรก็ลองถามมาก่อนก็ได้ครับ

รอบที่ผ่านมาถ้าส่งในกำหนด ไม่ต้องเสียเงิน

แต่ผมทิ้งไว้จนหมดเขตส่ง เลยต้องไปเสีย 200

ช่วยได้เหรอครับ

1. Company A (Thai company listed in SET) has profit 200,000 Baht according to its financial statement of the accounting year ended 31 December 2013. The following items appear in the financial statement.
(1) dividend received from a Thai company 100,000 Baht
(2) directors private expense 50,000 Baht
(3) managers bonus 10% of the companys profit 20,000 Baht
(4) research and development expense 15,000 Baht

The following is the companys profit/loss in the previous year.

Year 2007 loss 100,000
Year 2008 loss 100,000
Year 2009 loss 100,000
Year 2010 profit 60,000
Year 2011 profit 50,000
Year 2012 loss 40,000

แปลคร่าวๆ เป็นบริษัทที่ลิสใน SET แล้วสิ้นปี 2013 มีกำไร 200,000 ส่วนปีก่อนๆหน้านั้นอยู่ข้างล่างเลยครับ แล้วก็พวกรายจ่ายต่างๆ ตามที่เห็น ผมอยากรู้ว่า ตามกฏถ้ารายรับ รวมกับรายจ่าย หักไปหักมาทุกปีไม่ถึง150,000 นี่ ไม่ต้องเสียภาษีเลยใช่มั้ยครับ ถามแบบนี้งงมั้ย เพราะดูเหมือนพวกโบนัสเมเนเจออะไรก็ต้องเอามาคิดด้วย รู้งี้น่าจะตั้งใจเรียน

Smartbrain ผู้สุดยอด

เอาของขวัญไป

บริษัท A มีกำไร 200,000

(1) หมายความว่า บริษัท A ได้รับเงินปันผลจาก บริษัท ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เพราะฉะนั้น เงินปันผลก้อนนี้ จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเป็นรายได้ แต่จะได้ยกเว้น แค่ครึ่งหนึ่ง หรือ เต็มจำนวน ท่านลองไปพิจารณาอีกทีนะครับ

(2)คำว่า private แสดงว่าเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของกรรมการ เพราะฉะนั้น จะถือเป็นค่าใช้จ่ายได้มั้ยน้า

(3) โบนัสเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการ เอากำไรมาคิดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามหลักภาษีแล้ว ค่าใช้จ่ายใด ๆ ก็ตาม ที่คิดจาก % ของกำไร จะถือเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้ต้อง บวกกลับ

(4) ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา จะเป็นค่าใช้จ่ายที่หักได้เพิ่มอีกเท่านึง

เพราะฉะนั้น ท่านลองคำนวณดูครับ ว่ากำไรทางภาษีควรจะเป็นเท่าไร่

โดยให้ตั้งต้นจากกำไรทางบัญชี ซึ่งเท่ากับ 200,000 บาท

เช่น ถ้าอันไหนได้รับยกเว้นรายได้ ท่านคิดว่ามันมีผลกระทบทำให้กำไรมันเพิ่มขึ้นหรือลดลง

ถ้ามันทำให้กำไรเพิ่มขึ้น ท่านก็บวกมันกลับเข้าไปใน 200,000 แต่ถ้าอะไรที่ทำให้กำไรลดลง ท่านก็หัก มันออกจาก 200,000

ส่วน กำไร หรือ ขาดทุน ตั้งแต่ปี 2007 - 2012 มันจะเป็นเรื่อง ผลขาดทุนสุทธิไม่เกิน 5 ปี สามารถนำมาเป็น ค่าใช้จ่ายได้

ถ้าท่านดู ตั้งแต่ปี 2007 - 2009 จะมีขาดทุนรวมกัน 300,000

แต่ในปี 2010 กำไร 60,000 ซึ่งจะใช้ loss ของปี 2007 มาหัก และในปี 2011 ที่มีกำไร 50,000 จะใช้ loss ที่เหลือของปี 2007 40,000 อีก 10,000 จะใช้ loss ของปี 2008 ที่เหลือท่านลองคิดต่อดูนะครับ

เค้า จาเอาอีก จาเอาอีก จาเอาอีก

ขอบคุณท่านมากครับ แต่ผมคิดว่าท่านจะไม่ตอบแล้ว มัน5ทุ่มแล้วด้วยเลยร่อนอีเมลส่งอาจารย์ไปแล้วครับ สรุปผมตอบว่า ไม่เสียภาษี ส่วนอีกข้อ เป็นอพาร์ทเม้นท์ ผมก็ทำมั่วๆไป เง่อะๆๆ

พอดีผมมัวแต่นั่งนึกว่าจะอธิบายยังไงให้ท่านเข้าใจอะครับ

ท่านลองเอาที่ผมอธิบายไป แล้วลองทำใหม่สักรอบอย่างน้อยก็

ถือว่าเป็นการเตรียมตัวก่อนสอบก็ได้ครับ

เพื่อในเวลาสอบ ท่านจะได้ทำได้ครับ

เอาด้วย แบบเยอะๆอ่ะ สไตล์นี้โดน

ขอบคุณครับ