Drive to Survive ตอน: ไม่มีเครื่องยนต์ของตัวเอง…ก็เป็นแชมป์โลกได้
ในโลกของ Formula 1 หลายคนอาจคิดว่า “อยากเป็นแชมป์ ต้องมีโรงงานเครื่องยนต์ของตัวเอง” แต่ความจริงในสนามแข่ง กลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ปัจจุบันทีม F1 แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ทีมโรงงาน (Works Teams) เช่น Ferrari, Mercedes, Renault/Alpine หรือ Audi ที่กำลังจะมาในปี 2026 กับทีมลูกค้า (Customer Teams) ทีมที่ไม่ได้ผลิตเครื่องยนต์เอง แต่ซื้อจากผู้ผลิตรายใหญ่ไปใช้ และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ หลายทีมที่ “ไม่มีเครื่องยนต์ของตัวเอง” กลับขึ้นเป็นแชมป์โลกมาแล้ว
คำถามคือ ทำไมทีมระดับท็อปหลายทีม “เลือกไม่ทำเครื่องยนต์เอง” และทำไมผู้ผลิตเครื่องยนต์ “ยินดีขายเครื่องให้คู่แข่ง”
นี่คือ 9 เหตุผลสำคัญ ที่อธิบายทุกอย่างได้
1. เครื่องยนต์ F1 ไม่ใช่ของที่ใครก็ทำได้ การพัฒนาเครื่องยนต์ F1 ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คือเรื่อง คน บวกความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานนับสิบปี ทีมอย่าง McLaren แม้จะเป็นแชมป์โลกหลายสมัย แต่ธุรกิจหลักของเขาไม่ใช่การผลิตเครื่องยนต์จำนวนมากเหมือน Mercedes หรือ Ferrari การจะเริ่มทำเครื่องยนต์เอง ต้องลงทุนทั้งวิศวกรระดับโลก ศูนย์ R&D เครื่องมือทดสอบ กับเวลาอีกหลายปี เมื่อมีเครื่อง Mercedes ที่ทั้งแรง ทั้งเสถียร และพิสูจน์ผลงานมาแล้ว การ “ซื้อ” จึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลกว่า
2. ความเสี่ยงสูงเกินไป ถ้าลงทุนผิดทาง ประวัติศาสตร์ F1 เต็มไปด้วยผู้ผลิตที่เข้ามา แล้วก็จากไป ถ้าทีมอิสระทุ่มเงินมหาศาลสร้างเครื่องยนต์เอง แล้วผลงานไม่ดีนั่นอาจหมายถึง จุดจบของทีม ในทางกลับกัน การใช้เครื่องจากผู้ผลิตภายนอก ทำให้ทีมยังมีทางเลือก หากพันธมิตรเดิมถอนตัว ตัวอย่างชัดเจนคือ Honda ถอนตัวปลายปี 2021 หรือ Sauber เลือกขายหุ้นให้ Audi เพื่อให้มีหลังบ้านแข็งแรง สำหรับทีมอิสระ “ความยืดหยุ่น” สำคัญกว่าศักดิ์ศรี
3. ทีมแข่งคิดถึงการสร้างเครื่องยนต์ใหม่ ใช้เวลาอย่างน้อย 3–5 ปี แต่ทีมต้องการผลลัพธ์เร็วใน 1–2 ฤดูกาล ดังนั้นการเอาเวลาไปโฟกัสที่ แชสซี แอโรไดนามิก งานออกแบบตัวรถ รวมถึงนักแข่ง แล้วใช้เครื่องยนต์ที่พร้อมแข่งทันที จึงตอบโจทย์การแข่งขันมากกว่า
4. แรงจูงใจทางธุรกิจไม่เหมือนกัน
สำหรับ Mercedes หรือ Ferrari ชัยชนะใน F1 จะสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ และนำเทคโนโลยีไปใช้กับรถขายจริง ขณะที่ทีมอย่าง Red Bull การลงทุนเป็นพันล้านดอลล่าร์กับเครื่องยนต์ ไม่ได้สร้างผลตอบแทนทางธุรกิจโดยตรง ทีมอิสระจึงเน้น “ชนะให้ได้ โดยใช้ทรัพยากรให้คุ้มที่สุด”
5. ผู้ผลิตเครื่องยนต์ต้องการคืนทุน
การพัฒนาเครื่องยนต์หนึ่งเจเนอเรชัน ใช้เงินระดับพันล้านดอลลาร์ การขายเครื่องให้ทีมลูกค้า ช่วยให้ผู้ผลิตคืนต้นทุน มีรายรับกลับมา ลดภาระได้มหาศาล บางปี Mercedes มีทีมลูกค้าถึง 3 ทีม สร้างรายได้หลายสิบล้านดอลลาร์ต่อฤดูกาล Ferrari เองก็ขายเครื่องให้ Haas และ Cadillac ตั้งแต่ปี 2026
6. ข้อมูลจากหลายทีม คือทองคำ
ทีมที่ใช้เครื่องยนต์เดียวกันหลายทีม รถแข่งหลายคันในสนามเดียวกัน นั่นหมายถึง ข้อมูลสมรรถนะ ข้อมูลความทนทาน ข้อมูลเชิงลึกที่ผู้ผลิตจะได้ จากข้อมูลรถ 6 คัน ย่อมเห็นภาพชัดกว่ามีแค่รถโรงงาน 2 คัน และถ้าทีมลูกค้าขึ้นโพเดียม ชื่อเสียงก็กลับมาที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์โดยตรง
7. FIA ไม่เปิดทางให้ผูกขาด กฎของ FIA บังคับให้ผู้ผลิตต้องขายเครื่องให้ทีมที่ไม่มีเครื่องใช้ จำกัดจำนวนทีมลูกค้า ห้ามผูกขาดเครื่องไว้ทีมเดียว ในเชิงกลยุทธ์การมีหลายทีมใช้เครื่องของตน ทำให้ผู้ผลิตมีอิทธิพลในเวที F1 มากขึ้น แต่ก็ต้องรักษาสมดุล ไม่ให้ทีมลูกค้ารู้ไส้รู้พุงมากเกินไป
จึงมีการแยกฝ่ายเครื่องยนต์ออกจากทีมแข่งอย่างชัดเจน
8. สูตรแชมป์ของทีมลูกค้า หัวใจของทีมที่ไม่มีเครื่องยนต์เองคือ “ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด” แชสซีระดับโลก แอโรไดนามิกที่เหนือกว่า นักแข่งที่ใช่ เห็นได้จาก Red Bull ยุค 2010–2013 ใช้แชสซีของ Adrian Newey วางเครื่อง Renault คว้าแชมป์ 4 ปีซ้อน ขณะที่ McLaren ปลายยุค 90s
คว้าแชมป์กับเครื่อง Mercedes
9. ทีมโรงงานก็ไม่ได้ชนะเสมอไป
แน่นอนว่า ถ้าเครื่องกับรถ ดีพร้อมกัน
เหมือน Mercedes ยุค 2014–2020
ก็แทบไม่มีใครสู้ได้ แต่ถ้าเครื่องพลาด
ทีมโรงงานเองก็ถูกแซงได้เหมือนกัน F1 คือความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน ทีมแข่งต้องการเครื่อง ทีมผู้ผลิตต้องการเงิน ข้อมูลรถจากทีมลูกค้าและชื่อเสียง
บทสรุป ฤดูกาล 2025 ที่เพิ่งจบลง
เราเห็น McLaren คว้าแชมป์โลกทั้งนักขับและทีม แบบไม่ต้องผลิตเครื่องยนต์เอง และในปี 2026 เราจะเห็นผู้เล่นใหม่อย่าง Audi, Ford ฟีเจอริ่ง Red Bull และ Honda กับ Aston Martin คือคำอธิบาย
ใน Formula 1 แชมป์ไม่ได้วัดกันว่าใคร “ทำเครื่องยนต์เอง” แต่วัดกันว่าใคร “เลือกทางที่ใช่ที่สุด” และสุดท้ายไม่มีเครื่องเอง ไม่ได้แปลว่าไม่มีแชมป์!