คุณหญิงสุดารัตน์ “สนิทแค่ไหนก็สู้รูปประธานงานแต่งไม่ได้“
คุณหญิงสุดารัตน์ “สนิทแค่ไหนก็สู้รูปประธานงานแต่งไม่ได้“
ในวินาทีที่คุณหญิงสุดารัตน์ลุกขึ้นมาโจมตีใครต่อใครด้วยน้ำเสียงสูงส่งราวกับยืนอยู่บนแท่นศีลธรรม คำถามที่อดตั้งไม่ได้เลยวคือก่อนที่ปลายลิ้นจะวิ่งไปเร็วกว่าสมองนั้น ท่านได้ก้มมองเงาของตัวเองบ้างหรือยัง เพราะการเมืองไทยยุคใหม่ไม่ใช่เวทีประกวดความจำสั้น และสังคมก็ไม่ใช่ผู้ชมที่ยอมให้ใครมายืนชี้หน้าใส่คนอื่นขณะที่ภูมิหลังของตัวเองยังเต็มไปด้วยภาพที่ไม่เคยถูกอธิบายชัดเจน
ภาพงานแต่งงานที่ท่านปรากฏในฐานะ “ประธานงานมงคลสมรส” ของครอบครัวหนึ่งไม่ใช่ภาพหลุด ไม่ใช่ภาพแอบถ่าย และยิ่งไม่ใช่เรื่องที่สามารถอธิบายด้วยคำว่า “รู้จักแบบผิวเผิน” เพราะไม่มีใครเชิญคนรู้จักแบบผ่านทางไปนั่งหัวโต๊ะงานแต่งลูกหลานของตัวเองโดยไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งรองรับ
การเป็นประธานในพิธีที่ถือเป็นหัวใจของงานแต่ง โดยเฉพาะในวัฒนธรรมไทยที่พิถีพิถันเรื่องเกียรติภูมิและสถานะ คือการประกาศต่อสาธารณะแบบไร้คำพูดว่า “นี่คือคนของครอบครัวเรา” ไม่ว่าคุณหญิงจะอยากยอมรับหรือไม่ ภาพนั้นมันพูดชัดกว่าคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อท่านออกมาวิจารณ์ความสัมพันธ์ของผู้อื่นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งด้วยท่าทีราวกับว่าตัวเองอยู่สูงเกินเอื้อม ความย้อนแย้งก็แผดเสียงดังยิ่งกว่าคำปราศรัยทางการเมืองเสียอีก เพราะประชาชนอาจลืมเรื่องการประชาสัมพันธ์ แต่ไม่เคยลืมภาพที่ประจันหน้าเต็มตา และสังคมก็เริ่มถามอย่างตรงไปตรงมาว่า
หากวันนี้คุณหญิงมีสิทธิ์กล่าวหาใครว่ามีเครือข่าย มีสายสัมพันธ์ มีผลประโยชน์พัวพัน แล้วเหตุใดจึงไม่มีใครมีสิทธิ์ถามกลับในมาตรฐานเดียวกันว่า ท่านเองมีความสนิทสนมระดับใดกับครอบครัวที่เชื่อมโยงกับบุคคลที่ท่านกำลังพูดถึง การนั่งเป็นประธานงานแต่งไม่ใช่กิจกรรมการเมืองที่ทำตามมารยาท แต่มันคือความใกล้ชิดเชิงครอบครัวระดับที่คนไทยทุกคนเข้าใจโดยไม่ต้องมีคำบรรยาย
และถ้าจะอ้างว่า “ตอนนั้นยังไม่รู้” หรือ “เป็นมารยาททางสังคม” ผู้คนก็คงหัวเราะแทนคำตอบ เพราะไม่มีนักการเมืองมือเก๋าคนไหนยอมเดินเข้าไปนั่งในตำแหน่งสัญลักษณ์สูงสุดของงานแต่งตระกูลใครโดยไม่รู้ว่ากำลังนั่งอยู่กับใคร ตระกูลไหน และเชื่อมโยงกับอะไร
การเมืองเองก็มีธรรมชาติแบบหนึ่งที่คนทำงานย่อมรู้ดี คือคุณไม่เคยไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีผลผูกพัน และไม่เคยถูกถ่ายรูปในพิธีใหญ่ใดๆ หากไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าภาพอย่างแท้จริง เพราะตำแหน่งนั้นไม่ได้มาจากโชค แต่จากความสัมพันธ์
ยิ่งไปกว่านั้น ความเชื่อมโยงเชิงครอบครัวที่ปรากฏในสังคมออนไลน์ ทั้งภาพร่วมเฟรม ทั้งวาระส่วนตัวที่ผุดขึ้นมาทีละชั้นจนสังคมเริ่มเห็นเป็นโครงสร้าง ก็ยิ่งทำให้คำถามชัดขึ้นว่า ก่อนที่จะไปเขย่าใครด้วยคำกล่าวหาว่าผิด ผูกพันกับกลุ่มทุน ท่านได้ยอมเปิดประวัติของตัวเองในมิติเดียวกันหรือยัง ความสัมพันธ์ระดับประธานงานแต่งไม่ใช่เรื่องเล็กที่กลบด้วยการสร้างประเด็นใหม่ได้อีกต่อไป เพราะมันคือหลักฐานเชิงสัญลักษณ์ที่สังคมจับต้องได้ คนไทยรู้กันดีว่า “ญาตินั่งหัวโต๊ะ เพื่อนนั่งร่วมโต๊ะ คนรู้จักนั่งหลังห้อง” และคุณหญิงอยู่ในตำแหน่งไหนจากภาพนั้น ทุกคนเห็นหมดแล้ว
ดังนั้น การชี้นิ้วกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่เคลียร์ภาพของตัวเอง จึงไม่ต่างอะไรกับการยืนอยู่หน้ากระจกแล้วตะโกนด่าคนอื่น ทั้งที่เงาที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าชัดเสียยิ่งกว่าใคร
นี่ไม่ใช่การล่าแม่มด แต่คือการเตือนด้วยเหตุผลว่า ถ้าจะตั้งตัวเป็นผู้พิพากษาทางศีลธรรม การบ้านบทแรกที่ต้องทำไม่ใช่การหาความผิดของคนอื่น แต่คือการตอบคำถามง่ายๆ ว่า “แล้วตัวท่านเองล่ะ โปร่งใสในมาตรฐานเดียวกันหรือไม่”
เพราะในทางการเมือง คำพูดที่กรีดใจที่สุดไม่ใช่คำด่าของคู่แข่ง แต่คือความจริงที่ย้อนกลับมาชนผู้พูดเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และวันนี้ความจริงนั้นกำลังกระทบอย่างตรงไปตรงมา
ก่อนที่คุณหญิงจะยืนขึ้นกล่าวหาว่าใครสนิทกับใคร เพื่อหวังแต้มทางการเมืองบางอย่าง ก็ควรย้อนดูอดีตของตัวเองก่อนว่าในภาพความสัมพันธ์ที่ปรากฏต่อสาธารณะนั้น ท่านเองอยู่ใกล้แค่ไหนกับคนที่ท่านพยายามโยนความผิดไปให้ผู้อื่น
การเป็นประธานงานแต่งคือคำตอบที่ชัดเจนกว่าคำแก้ตัวทุกประโยค และเมื่อความจริงมันคมขนาดนี้ สิ่งควรทำไม่ใช่การหาคนใหม่ไว้โจมตี แต่คือการรับผิดชอบต่อเงาในอดีตของตัวเองอย่างกล้าหาญ เพราะถ้าไม่เริ่มจากตรงนั้น ทุกคำโจมตีที่ตามมา ก็ไม่ต่างอะไรจากเสียงลมที่ไร้น้ำหนักจนคนฟังอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้ว ใครกันแน่ที่ควรตรวจสอบตัวเองก่อนเป็นคนแรก
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1717665053007885&set=a.784988546275545