มาแชร์ประสบการณ์เรื่องพยากรณ์น้ำท่วมครับ
ทำงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ (เขื่อน) มาสิบกว่าปีแล้วครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำโดยตรง
แต่รู้เกี่ยวกับหลักการ เครื่องมือ อุปกรณ์ค่อนข้างเยอะ เลยมาเขียนแชร์ๆ กันครับ
มาดูหลักการที่น้ำมันจะสะสมในที่ๆ แห่งหนึ่ง ในรูปจะเป็นของอ่างเก็บน้ำนะครับ แต่ลองจินตนาการให้มันเป็นแม่น้ำ
แล้วก็มีเมืองตั้งอยู่ข้างๆ ถ้าน้ำเข้า (สีน้ำเงิน) มากกว่าน้ำออก (สีแดง) ระดับน้ำในแม่น้ำก็จะสูงขึ้น จนท่วมพื้นที่ตรงนั้น
อธิบายตัวแปรต่างๆ จากในภาพแรก
1. Groundwater flux น้ำใต้ดิน มีทั้งทำให้ปริมาณน้ำเพิ่ม หรือลดได้ แล้วแต่สภาพใต้ดิน
2. Outflow หรือทางน้ำออก ส่วนใหญ่ค่อนข้างจะคงที่ แต่ถ้าระดับน้ำด้านออกมันสูง ความต่างของเฮดก็ทำให้น้ำไหลออกได้ช้า
เช่น การหนุนของน้ำทะเล
3. Evaporation การระเหยของน้ำ ไม่ค่อยมีผลอะไร ถ้าพื้นที่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะใช้ในอ่างเก็บน้ำพื้นที่ขนาดใหญ่
4. Precipitation ปริมาณน้ำฝนสะสม คือปริมาณน้ำฝนที่ที่สะสมในจุดๆ หนึ่งให้สูงขึ้นเป็นมิลลิเมตร
5. Inflow น้ำเข้าจาก แม่น้ำ ลำคลอง
6. Drainage น้ำจากใต้ดิน ไม่ค่อยมีผลอะไรมาก สำหรับพื้นที่ๆ ความต่างของความสูงน้อย
7. Run off น้ำบนผิวดิน น้ำจากฝนที่ตกจากพื้นที่อื่น ที่ตกบนที่สูง แล้วไหลลงมารวมกันที่ที่ราบที่ต่ำกว่า
ตัวแปรนี้ถ้าฝนตกใหม่ๆ กับตกนานแล้วจะต่างกัน เพราะว่าดินจะอิ่มน้ำแล้ว ประมาณในรูป
จาก 7 ข้อด้านบน ถ้าเราจะพยากรณ์ว่าน้ำจะท่วมที่ลุ่มนั้นไหม เราจะต้องมอนิเตอร์อะไรบ้าง
หลักๆ มีดังนี้
1. ปริมาณน้ำฝนสะสม ในพื้นที่หาดใหญ่ การตรวจวัดก็ไม่ยาก กะละมังเรียบๆ กับไม้บรรทัด หรือบีกเกอร์ก็ได้
ทิ้งไว้ 1 ชม. แล้ววัดว่าน้ำสูงขึ้นมาเท่าไหร่ ยิ่งจุดวัดมีมาก ก็จะรู้ว่าปริมาณน้ำที่ตกลงในพื้นที่ มีความแม่นยำมากเท่านั้น
2. Inflow น้ำเข้าจากแม่น้ำ ลำคลอง สามารถวัดได้หลากหลาย หลักๆ ก็วัดความเร็วของน้ำ คูณกับพื้นที่หน้าตัดของแม่น้ำ ลำคลอง
แล้วก็ยังมีความซับซ้อนอีกคือ ต้องวัดระยะเวลาที่มวลน้ำจะเดินทางไปถึงพื้นที่ลุ่มด้วย
3. Run off น้ำบนผิวดิน เรื่องนี้ซับซ้อน และไม่ค่อยแม่นยำด้วย ต้องเก็บข้อมูลพื้นที่ สถิติต่างๆ เพื่อมาทำเป็นสมการทางคณิตศาสตร์
แต่หลักการก็คือเหมือนกับข้อ 1 เอากะลังไปวางกระจายๆ ไว้ ยิ่งเยอะยิ่งดี แล้วก็คำนวนพื้นที่ที่กำละมังนั้นรับน้ำ
คำนวนตัวแปรต่างๆ การอิ่มน้ำของดิน สิ่งกีดขวาง แรงต้านทานต่างๆ เราก็จะได้ปริมาณน้ำที่มันจะไหลเข้ามาในที่ลุ่มของเรา
โดยปกติแล้ว ข้อ 1 กับ 2 ทางชลประทาน หรือหน่วยงานเกี่ยวกับน้ำ มีกันแทบจะหมดอยู่แล้ว แต่ข้อ 3 ค่อนข้างจะ Challenge หน่อย
เพาะต้องศึกษา ต้องมีสถิติ และถ้าเป็นโซนอยู่อาศัย ตัวแปรในแต่ละปีมันจะเปลี่ยนเร็วมาก
แต่ถ้ามีไว้ เราก็จะสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีมวลน้ำอีกเท่าไหร่เข้ามาเติม และก็จะวางแผนอพยพได้ทัน
แต่วิธีนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เป็นแค่วิธีที่ช่วยลดความเสียหายทั้งชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น
ปล. เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จากเครื่องมือวัดของเขื่อนที่หนึ่ง ซึ่งถามว่าใช้ดีไหม ก็แทบไม่ได้ใช้นะ ใช้แค่ข้อ 1 กับ 2 ก็เพียงพอแล้ว
แล้วใช้หลักการ Balance เอา
เช่น วัดระดับน้ำในเขื่อนจะได้ ปริมาตรน้ำเขื่อน = 1 + 2 + 3 เราไม่จำเป็นต้องวัด 3 แต่เราก็รู้ค่าได้จากสมการ