ประหยัดยิ่งกว่าเก่า ! จีนเริ่มก่อสร้างศูนย์ข้อมูลใต้มหาสมุทรที่ใช้พลังงานลม คาดช่วยลดการประหยัดพลังงาน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ พร้อมเพื่มการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศ





จีนได้ทุ่มเงินมากกว่า 226 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อก่อสร้างศูนย์ข้อมูลใต้มหาสมุทรที่ใช้พลังงานลม ณ บริเวณนอกชายฝั่งของเขตพิเศษ ‘หลินกั่ง’ ในมหานครเซี่ยงไฮ้ พื้นที่ที่ได้รับการวางแผนให้รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเซี่ยงไฮ้ และถูกกำหนดให้เป็นเขตการค้าเสรี ที่อุดมไปด้วยสิทธิประโยชน์พิเศษส่งเสริมการลงทุนในหลายอุตสาหกรรมหนึ่งในนั้นอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลหรือ Data center

โครงการก่อสร้างนี้มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความต้องการพลังงานสะอาดของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และขยายการลงทุนของธุรกิจศูนย์ข้อมูลในจีนที่ถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่อื่น ๆ อาทิ อุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์, ระบบเครือข่ายข้อมูล, อุตสาหกรรมอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Thing) และธุรกิจขนส่งออนไลน์

อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลจัดเป็นอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ต้องอาศัยพื้นที่ พลังงานและน้ำบริสุทธิ์ปริมาณมหาศาลในการจัดการธุรกิจ จากรายงานยืนยันว่าในการดำเนินการของศูนย์ข้อมูลจำเป็นต้องอาศัยน้ำบริสุทธิ์มากกว่า 5 ล้านแกลลอนต่อวัน หรือเท่ากับปริมาณน้ำที่ใช้หล่อเลี้ยง 10,000 -50,000 คนในแต่ละวัน ซึ่งการก่อสร้างเครื่องเซิฟเวอร์หลักของศูนย์ข้อมูลที่ใต้ทะเลจะช่วยลดการใช้น้ำหล่อเย็นลงได้ถึง 90% โดยไม่จำเป็นต้องสร้างระบบท่อน้ำวนหลายล้านแกลลอนแบบบริษัท OpenAI

นอกจากระบบน้ำที่ใช้หล่อเย็นแล้วตัวระบบหล่อเย็นของระบบเองก็เป็นส่วนงานที่สิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมากของระบบศูนย์ข้อมูล โดยคิดเป็น 40-50% ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ ซึ่งโครงการในเขตพิเศษหลินกั่งนี้จะลดการใช้พลังงานของระบบหล่อเย็นลง 10% และหากระบบทั้งหมดก่อสร้างแล้วเสร็จวิศวกรคาดว่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานจะอยู่ที่ 1.5 คะแนน ซึ่งไม่ต่ำกว่าที่รัฐบาลจีนกำหนดให้อยู่ศูนย์ข้อมูลต้องมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานไม่ต่ำกว่า 1.25

ศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลนี้ด้านบนจะติดตั้งกังหันลม ทำให้สามารถผลิตพลังงานหล่อเลี้ยงระบบได้เอง ทำให้ลดการใช้พลังงานลง 22.8% ทำให้ศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่นี้เป็นหน่วยประมวลผลใต้น้ำที่ทรงประสิทธิภาพ และรักษ์สิ่งแวดล้อม

โครงการที่สร้างแล้วเสร็จนี้เป็นเพียงเฟสแรกเท่านั้น ซึ่งผลิตพลังงานได้เพียง 2.3 เมกะวัตต์ และในการก่อสร้างเฟสที่สองหากแล้วเสร็จจะผลิตพลังงานได้มากถึง 24 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ทางการจีนยังประกาศที่จะทำโครงการแบบนี้อีกบริเวณนอกชายฝั่งหลิงสุ่ยหลี่ในมณฑลไหหลำ ซึ่งจะเป็นศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก

อย่างไรก็ตามวิศวกรยืนยันว่าสิ่งนี้เพียงก้าวแรกเท่านั้นการก้าวกระโดดไปสู่การดำเนินงานเต็มรูปแบบยังคงต้องอาศัยการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังมีปัญหาหรืออุปสรรคอื่นที่ต้องแก้ไข อาทิ ต้นทุนการบำรุงรักษา การกัดกร่อนของน้ำทะเลต่อตัวโครงสร้าง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล

_________________________________________


Cr. https://www.facebook.com/share/p/1N3jkJVcrE/

อ้างอิง https://newatlas.com/energy/wind-powered-underwater-data-center/?fbclid=IwY2xjawOM-vZleHRuA2FlbQIxMABicmlkETE4bWNucXpVMDNVMEVvOEFBc3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHlvozm13lV9XURkgRtWmxQZOICaWqZpo_2_8DZz5kgu6p8huqgKlWwNb2AYQ_aem_O1vrtzNtGUSIkOve48N6Pg

น้ำทะเลอุ่นกันล่ะทีนี้

Microsoft ก็มี Natick โครงการ Data Center ใต้ทะเล

ส่วนไทยผมอยากให้มี Data center ของตัวเอง

น้ากลั่นกับหอทำความเย็น ราคาถูกกว่าการ Maintenance ของใต้ทะเลตั้งเยอะ ทำลายสิ่งแวดล้อมก็น้อยกว่า

ขอดีของการตั้งในทะเลจริงๆน่าจะประหยัดพื้นที่แค่นั้นหรือเปล่า

เดี๋ยวก็มีภาวะ น้ำทะเลอุ่นอีก

ขอให้สำเร็จ แต่ผมรู้สึกว่า opex น่าจะสูงยังไงไม่รู้

ใต้ทะเลมีแรงดันน้ำมหาศาล ถ้าโลกเราสามารถคิดค้นเครื่องมือหรือทฤษฎีในการใช้ประโยชน์จากแรงดันนั้น แปลงเอามาเก็บไว้เป็นพลังงานหมุนเวียนได้เมื่อไหร่ ผมว่าโลกจะก้าวไปได้อีกขั้นหนึ่งเลย
และผมเชื่อว่าประเทศที่จะทำได้สำเร็จประเทศแรกคือจีนแน่นอน ซึ่งโครงการนี้อาจจะเป็นก้าวแรกก็ได้

ผลของการที่แต่ละประเทศทุ่มสร้าง data centre ของตัวเอง
ตอนนี้ harddisk ราคาพุ่งไปแล้ว 30% มีแนวโน้มจะขาดตลาดอีกด้วย