“Canva ไม่ได้เกิดเพราะเทคโนโลยี… แต่มาจาก ‘ความเกลียดชัง Adobe’ ของผู้ใช้นับล้าน!”
ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม 2024 เกิดคลื่นสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไปทั่ว Silicon Valley ผู้บริหารของ Adobe กำลังตื่นตระหนกอย่างหนัก
เหตุผลคือ เด็กสาวอายุ 19 ปี ที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพิ่งประกาศสงครามกับอาณาจักรมูลค่า 240,000 ล้านดอลลาร์ของพวกเขา
ย้อนกลับไปไม่กี่ปีเหล่า Venture capitalists หรือนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัปกว่า 100 ราย ปฏิเสธแนวคิดของเธอ พวกเขาบอกว่านี่คือแนวคิดทางธุรกิจที่ “แย่ที่สุด” เท่าที่เคยได้ยินมา แต่เธอก็ยังดึงดันที่จะสร้างมันขึ้นมา
ในขณะที่ Adobe กำลังวุ่นวายกับการใช้เงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ไปกับการเข้าซื้อกิจการที่ล้มเหลว ผู้ก่อตั้งไร้ชื่อเสียงคนนี้ กลับสร้างอาณาจักรของตัวเองเงียบๆ เติบโตจากผู้ใช้งาน 0 คน ไปสู่ 220 ล้านคน
บริษัทของเธอถูกประเมินมูลค่าไว้ที่ 40,000 ล้านดอลลาร์
หลังจากการประกาศครั้งนั้น หุ้นของ Adobe ดิ่งลงทันที 26%
เธอไม่มีเส้นสายใน Silicon Valley ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิค ไม่ได้จบปริญญาด้านธุรกิจ แต่เธอมีส่วนผสมวิเศษเพียงอย่างเดียว… นั่นคือ “ลูกค้าที่เกลียดชัง Adobe”
วันนี้จะมาชวนคุยกันถึงเรื่องราวของ Canva และการต่อสู้ที่แสดงให้เห็นว่า ความพากเพียร การจับจังหวะที่สมบูรณ์แบบ และการเดินเกมที่ชาญฉลาดเพียงครั้งเดียว สามารถทำลายการผูกขาดที่ยาวนาน 30 ปีของ Adobe ได้อย่างไร
----
Spoil
เรื่องราวทั้งหมดนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2007 ตอนนั้น Melanie Perkins อายุ 19 ปี และเธอก็เพิ่งตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย
เธอกำลังสอนนักศึกษาคนอื่นๆ ให้ใช้โปรแกรมออกแบบที่ University of Western Australia
ยุคนั้นคือยุคที่ Photoshop ครองโลกการออกแบบอย่างสมบูรณ์ เครื่องมือของ Adobe นั้นทรงพลัง แต่ก็ซับซ้อนสุดๆ ราคาแพง และต้องใช้เวลาฝึกฝนกันเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีกว่าที่จะใช้งานได้คล่อง
Melanie คิดว่านี่มันบ้ามาก เธอเฝ้าดูนักศึกษาเหล่านั้นดิ้นรนกับงานง่ายๆ พื้นฐาน และนั่นคือจุดที่ไอเดียของเธอเริ่มจุดประกาย
เธอคิดว่า “มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้สิ” ทำไมการออกแบบมันจะง่ายเหมือนการ “ลากและวาง” หรือ Drag and Drop ไม่ได้?
เธอไม่ได้คิดคนเดียว แฟนหนุ่มของเธอ Cliff Oreck เชื่อในวิสัยทัศน์นี้ และเขาก็กระโดดเข้ามาร่วมเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
พวกเขาเริ่มต้นจากจุดที่เล็กมากๆ ด้วยธุรกิจชื่อ Fusion Books มันเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและออกแบบ “หนังสือรุ่น” ของโรงเรียนทางออนไลน์
ผลลัพธ์คือ นักเรียนชอบมาก ผู้ปกครองก็แห่กันสั่งซื้อหลายพันเล่ม มันเป็นสัญญาณที่ดีว่าไอเดียของเธอ “เวิร์ค”
แต่พอพวกเขาขยายวิสัยทัศน์ให้ใหญ่ขึ้น และพยายามระดมทุน… นักลงทุนกลับหัวเราะเยาะ
“ใครจะอยากออกแบบอะไรด้วยตัวเอง?” “Photoshop ก็มีอยู่แล้ว จะทำมาแข่งทำไม?” นี่คือสิ่งที่ Venture capitalists ถาม
Melanie และ Cliff ใช้เวลาถึง 4 ปี ตระเวนนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่า Fusion Books นั่นคือ “Canva” แพลตฟอร์มออกแบบบนเว็บ ที่จะมา “ปลดปล่อยการสร้างสรรค์ให้เป็นของทุกคน”
แต่การปฏิเสธก็หลั่งไหลเข้ามา…
นักลงทุนที่ Sydney บอก “ไม่” นักลงทุนที่ Melbourne บอก “ไม่” แม้แต่นักลงทุนต่างชาติก็บอก “ไม่”
ระหว่างปี 2008 ถึง 2012 พวกเขาถูก VC กว่า 100 รายปฏิเสธ
Melanie บอกในภายหลังว่า “แม้ความล้มเหลวจะไม่เคยเป็นทางเลือก แต่การถูกปฏิเสธมันก็เจ็บปวดมาก” แต่เธอก็เสริมว่า “ฉันเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เมื่อฉันตั้งใจจะทำอะไรแล้ว”
ทุกคำปฏิเสธที่พวกเขาได้รับ มีความหมายเหมือนกันหมด “ตลาดนี้เป็นของ Adobe ไปแล้ว” “คนทั่วไปเขาไม่ต้องการเครื่องมือออกแบบหรอก” และ “นักออกแบบมืออาชีพไม่มีวันเปลี่ยนจาก Adobe”
ซึ่งนักลงทุนทุกคนในตอนนั้น… คิดผิดอย่างมหันต์
ในขณะที่ Melanie เผชิญกับการปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก็ยังคงประคองให้ Fusion Books มีกำไรต่อไป นี่คือข้อพิสูจน์ชิ้นสำคัญว่า “ผู้คนโหยหาเครื่องมือออกแบบที่ง่ายกว่า” จริงๆ
และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึงในปี 2010
ที่งาน Innovator of the Year Awards ใน Perth Melanie ได้พบกับชายคนหนึ่งชื่อ Bill Tai ชายคนนี้คือนักลงทุนระดับตำนานของ Silicon Valley
Bill Tai คือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Twitter, Zoom และสตาร์ทอัประดับยูนิคอร์นอีกมากมาย
เขามีงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ การเล่นไคท์เซิร์ฟ และทุกปี เขาจะจัดงานส่วนตัวสุด Exclusive ชื่อว่า “Mai Thai”
งานนี้คือการรวมตัวของสุดยอดนักลงทุนและผู้ประกอบการในวงการเทคโนโลยี มาเล่นไคท์เซิร์ฟตอนกลางวัน และฟังการนำเสนอ หรือ Pitching ตอนกลางคืน
การนำเสนอของ Melanie ในวันนั้นมันไปเข้าตา Bill Tai วิสัยทัศน์ของเธอ มันสอดคล้องกับทุกสิ่งที่เขามองเห็นว่ากำลังจะมา ไม่ว่าจะเป็น Mobile first design หรือ Collaborative creativity
“มาที่งาน Mai Thai สิ” เขาบอกเธอ
ทริป Mai Thai นี่แหละ คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่เปลี่ยนทุกอย่าง Melanie ได้ไปอยู่ท่ามกลางนักลงทุนที่ “เข้าใจ” คำว่า Disruption อย่างแท้จริง
แนวคิดของเธอที่เคยถูกมองว่าไร้สาระ มันกลับ “make sense” ขึ้นมาในทันที
และความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือตอนที่ Bill Tai แนะนำเธอให้รู้จักกับ Cameron Adams
Cameron คืออดีตดีไซเนอร์ของ Google ที่ช่วยสร้าง Chrome เขาทั้งเข้าใจโลกของ Silicon Valley และเข้าใจเรื่อง User Experience อย่างลึกซึ้ง
ในปี 2012 Cameron ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคนที่สามของ Canva
ในวินาทีนั้น Melanie ไม่ได้มีแค่วิสัยทัศน์แล้ว แต่เธอมี “ความน่าเชื่อถือทางเทคนิค” ที่เหล่านักลงทุนต้องการ
เงินทุนก้อนแรก 3 ล้านดอลลาร์ จึงตามมาอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่ถูกปฏิเสธมานาน 4 ปี ในที่สุด Melanie ก็มีทรัพยากรที่จะสร้างวิสัยทัศน์ของเธอให้เป็นจริง
เมษายน 2013 Canva เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
มันคือเครื่องมือออกแบบลากและวางที่เรียบง่าย ใครก็ใช้ได้ ไม่ต้องเรียน Photoshop ไม่ต้องซื้อซอฟต์แวร์แพงๆ
ครูใช้ทำโปสเตอร์ในห้องเรียน ธุรกิจเล็กๆ ใช้ออกแบบโลโก้ตัวเอง นักการตลาดใช้ทำพรีเซนเทชันในไม่กี่นาที
ผลลัพธ์มันน่าทึ่งมาก สิ้นปี 2014 Canva มีผู้ใช้งาน 750,000 คน เส้นกราฟการเติบโตมันพุ่งแบบที่นักลงทุนไม่เคยเห็นมาก่อน เดือนต่อเดือน จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนที่เข้ามาลองใช้ Canva พวกเขาไม่ได้ใช้แค่ครั้งเดียวแล้วจากไป พวกเขากลับมาใช้มันทุกวัน และที่สำคัญคือ พวกเขา “บอกต่อ”
มันคือการตลาดแบบปากต่อปาก หรือ Word of mouth ที่ทรงพลังที่สุด แพร่กระจายเร็วกว่าการทุ่มเงินโฆษณาใดๆ
แล้วในตอนนั้น Adobe ทำอะไรอยู่?
ในปี 2014 Adobe ยังคงเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ควบคุมอาณาจักรมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ ครองตลาดซอฟต์แวร์สร้างสรรค์กว่า 70%
พวกเขามอง Canva เป็นแค่ “ของเล่น”
ทำไมต้องกังวล? Photoshop ครองวงการมาหลายสิบปี นักออกแบบมืออาชีพ เอเจนซี่ ช่างภาพ ไม่มีวันทิ้งเครื่องมือที่ซับซ้อนและทรงพลังของพวกเขาไปใช้เทมเพลตบนเว็บหรอก
กลยุทธ์ของ Adobe ในตอนนั้นคือการมุ่งเน้นไปที่ลูกค้ารายใหญ่ ปิดสัญญาระดับองค์กรมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ บริษัทกำลังพิมพ์เงินอย่างเมามันจากลูกค้าเดิมที่ “ไม่มีทางเลือกอื่น”
Adobe เททรัพยากรไปกับการไล่ซื้อกิจการ พวกเขาซื้อ Magento ซื้อ Marketo ซื้อ Workfront ทั้งหมดนี้คือการสร้างอาณาจักรการตลาดและวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนสำหรับลูกค้าระดับองค์กร
แต่พวกเขาพลาดบางสิ่งที่สำคัญมาก… สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ใต้จมูกของพวกเขาเอง
ในขณะที่ Adobe ไล่ตามการซื้อกิจการมูลค่าหลายพันล้าน Canva กลับกำลังค่อยๆ แก้ปัญหาให้กับ “คนอีก 99%” ที่เหลือ คนที่อยากออกแบบ แต่ใช้ของแพงไม่เป็น
ธุรกิจขนาดเล็กเริ่มหยุดจ่ายค่าสมาชิก Creative Cloud ที่แพงมหาศาลและแทบไม่ได้ใช้ ทีมการตลาดในบริษัทใหญ่ๆ ก็เริ่มหันมาใช้ Canva ทำกราฟิกโซเชียลมีเดียเอง แทนที่จะต้องรอคิวแผนกดีไซน์ที่งานล้นมือ
ตัวเลขมันฟ้องครับ…
ปี 2018 รายได้ Canva แตะ 84 ล้านดอลลาร์ ปี 2019 รายได้พุ่งไป 105 ล้านดอลลาร์ ผู้ใช้งานทะลุ 30 ล้านคน
แล้วจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งก็มาถึง… ปี 2020
วิกฤต COVID-19 บังคับให้คนนับล้านต้อง Work From Home ทันใดนั้น ทุกคนก็ต้องการเครื่องมือออกแบบที่ง่ายและทำงานร่วมกันได้
การประชุมออนไลน์ต้องการพรีเซนเทชันที่ดูโปร โซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางหลักของธุรกิจ
รายได้ของ Canva ระเบิดทะลุ 500 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 เพิ่มขึ้น 400% ในปีเดียว!
แน่นอนว่าหุ้น Adobe ก็ขึ้นเหมือนกัน แต่การเติบโตของพวกเขามาจากการ “ขึ้นราคา” ลูกค้าเดิม ในขณะที่การเติบโตของ Canva มาจาก “ผู้ใช้ใหม่” นับล้านคนที่ไม่เคยคิดจะแตะซอฟต์แวร์ออกแบบมาก่อนในชีวิต
กันยายน 2021 Canva ประกาศการประเมินมูลค่าที่ทำให้ Silicon Valley ต้องตะลึง… 40,000 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขนี้ทำให้ Melanie Perkins เด็กสาวที่เคยถูก VC ในออสเตรเลียปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สิน 7,000 ล้านดอลลาร์ในทันที
แต่สิ่งที่ทำให้ Adobe หวาดกลัว ไม่ใช่ตัวเลขประเมินมูลค่าครับ แต่คือตัวเลข “ผู้ใช้งาน” ที่อยู่เบื้องหลังนั้น
Canva มีผู้ใช้งานประจำ 75 ล้านคนต่อเดือน และที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ Adobe คือ “ลูกค้าระดับองค์กร” กำลังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ทีม HR ค้นพบว่าพวกเขาสร้างสื่อสื่อสารภายในองค์กรได้ในไม่กี่นาที ทีมขายปรับแต่งเอกสารนำเสนอ หรือ Pitch decks ได้ทันที
บริษัทที่เคยจ่ายเงินให้ Adobe ปีละหลายล้านดอลลาร์สำหรับ Creative Cloud กำลังแอบเปลี่ยนมาใช้ Canva สำหรับงานออกแบบในชีวิตประจำวัน ซอฟต์แวร์แพงๆ ของ Adobe เริ่มถูกทิ้งให้ฝุ่นจับ
โมเดลธุรกิจของ Canva กำลังทำลายกลยุทธ์หลักของ Adobe ครับ
ลองดูคณิตศาสตร์ง่ายๆ นี้: ทีมดีไซเนอร์ 20 คน ถ้าใช้ Adobe Creative Cloud ค่าใช้จ่ายคือ 12,000 ดอลลาร์ต่อปี
แต่ถ้าทีมเดียวกันใช้ Canva Pro ค่าใช้จ่ายเหลือแค่ 3,600 ดอลลาร์ต่อปี แถมยังทำงานได้เร็วกว่า 10 เท่าด้วยเทมเพลตและระบบ Collaboration ที่ง่ายดาย
ในที่สุด Adobe ก็รู้ตัวว่า “ของเล่น” ที่พวกเขาเคยดูถูก กำลังจะมาพังบ้านของพวกเขาแล้ว
เมื่อหลังพิงฝา Adobe ก็ต้องดิ้นรนครับ และการดิ้นรนของพวกเขาก็คือการใช้เงินแก้ปัญหา
กันยายน 2022 Adobe ประกาศการเข้าซื้อกิจการซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ พวกเขาทุ่มเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ “Figma”
Figma คือแพลตฟอร์มออกแบบที่ทำงานร่วมกันบนเว็บ มันคือสิ่งที่ Adobe ควรจะสร้างเองเมื่อหลายปีก่อน มันง่ายพอสำหรับคนทั่วไป แต่ก็ทรงพลังพอสำหรับมืออาชีพ
Figma คือคู่แข่งโดยตรงที่น่ากลัวที่สุดของ Adobe และการซื้อครั้งนี้คือความพยายามของ Adobe ที่จะ “ซื้อ” ทางออกจากวิกฤตนี้… “ถ้าสร้างแข่งไม่ทัน ก็ซื้อคู่แข่งมันซะเลย”
Wall Street ในตอนแรกก็ชื่นชมดีลนี้ แต่หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น UK, European Commission หรือ US Department of Justice พวกเขาเห็นตรงกันว่า “นี่คือการผูกขาด”
พวกเขามองว่านี่คือยักษ์ใหญ่ที่พยายามบดขยี้นวัตกรรม
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ เอกสารภายในดันหลุดออกมา เผยให้เห็นว่าผู้บริหาร Adobe คุยกันโต้งๆ เลยว่า ดีลนี้จะช่วย “กำจัดภัยคุกคามทางการแข่งขันที่สำคัญที่สุด” นั่นกลายเป็นหลักฐานมัดตัวที่ดิ้นไม่หลุด
ในที่สุด วันที่ 18 ธันวาคม 2023… Adobe และ Figma ก็ประกาศยุติข้อตกลง
ดีลล่มครับ…
Adobe ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการซื้อคู่แข่ง แต่ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมยุติสัญญา 1,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับ Figma นี่คือค่าปรับเลิกสัญญาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
หุ้น Adobe ดิ่งทันที 12% ในวันเดียว นักลงทุนตระหนักแล้วว่า Adobe ไม่มีคำตอบสำหรับอนาคต… พวกเขาไม่มีแผนสำรอง
และในขณะที่ Adobe กำลังเมาหมัดจากการถูกน็อค… Canva ก็ปล่อยหมัดสวนที่หนักที่สุดออกมา
วันที่ 26 มีนาคม 2024 (ซึ่งก็คือเหตุการณ์ในตอนเริ่มต้นเรื่อง) Canva ประกาศข่าวที่ทำให้ผู้บริหาร Adobe รู้ทันทีว่า “นี่คือสงคราม”
Canva ประกาศเข้าซื้อกิจการ “Affinity” ทั้งชุด!
นี่คือการเดินเกมที่เฉียบคมและโหดเหี้ยมที่สุด เพราะ Affinity ไม่ใช่ “ของเล่น” Affinity คือชุดโปรแกรมระดับมืออาชีพที่นักออกแบบตัวจริงใช้กัน
Affinity Designer คือคู่แข่งโดยตรงของ Adobe Illustrator Affinity Photo คือคู่แข่งโดยตรงของ Photoshop Affinity Publisher คือคู่แข่งโดยตรงของ InDesign
ที่สำคัญคือ นักออกแบบจริงจังหลายคน “ชอบ” Affinity มากกว่า Adobe ด้วยซ้ำ เพราะมันไม่เทอะทะและราคาถูกกว่า
การซื้อกิจการครั้งนี้ ทำให้ Canva มีสิ่งที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน… นั่นคือ “ทางเลือกที่ทัดเทียม” สำหรับทุกโปรแกรมหลักของ Creative Cloud
ตอนนี้ Canva มี ecosystem ที่สมบูรณ์แบบแล้วครับ
นักออกแบบที่เคยมองข้าม Canva ว่าเป็นแค่ของง่ายๆ ตอนนี้ต้องคิดใหม่ พวกเขามีทั้งเทมเพลตง่ายๆ สำหรับงานด่วน และมีเครื่องมือระดับโปรสำหรับงานซับซ้อน ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในแพลตฟอร์มเดียว
หุ้น Adobe ร่วงอีก 8% ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา
นักวิเคราะห์การเงินคนหนึ่งเขียนไว้ว่า “Canva เพิ่งเดินเกมหมากรุกจนจบ พวกเขาซุ่มวางตัวหมากมาหลายปี และนี่คือการ ‘รุกฆาต'”
การตอบสนองของ Adobe น่ะเหรอ? ก็คาดเดาได้ครับ พวกเขารีบเข็น Adobe Express ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออกแบบง่ายๆ ของตัวเองออกมาสู้ แต่… มันน้อยเกินไป และช้าเกินไป
Adobe Express ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบริษัทใหญ่ที่พยายาม “ลอก” สตาร์ทอัป อินเทอร์เฟซก็เทอะทะ ฟีเจอร์ก็จำกัด
ในขณะที่ Canva กำลังผสมผสานโลกของความ “ง่าย” และความ “ซับซ้อน” เข้าด้วยกันอย่างลงตัว
Cameron Adams ผู้ร่วมก่อตั้ง Canva กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “เราตื่นเต้นที่จะปลดล็อกศักยภาพของนักออกแบบในทุกระดับ”
Adobe ใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้างกำแพงสูงๆ ล้อมรอบซอฟต์แวร์ของพวกเขา สร้างอุปสรรคราคาแพงที่กีดกันคนธรรมดาไม่ให้เข้าถึงเครื่องมือระดับโปร
แต่ Canva เพิ่งจะทลายกำแพงเหล่านั้นลง… ในชั่วข้ามคืน
วันนี้ Melanie Perkins นั่งอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักร 40,000 ล้านดอลลาร์ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมวิธีที่โลกนี้สร้างสรรค์
ผู้คน 220 ล้านคนใช้ Canva ทุกเดือน และพวกเขาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานออกแบบไปแล้วกว่า 20,000 ล้านชิ้น
แน่นอนว่า Adobe ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่อยู่ แต่บัลลังก์ของพวกเขากำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
หุ้นของพวกเขาตก 26% ในปี 2024 การเติบโตของรายได้ชะลอตัว ในขณะที่ Canva สร้างรายได้ 2.7 พันล้านดอลลาร์ และยังเติบโตในอัตรา 35% ต่อปี
บทเรียนจากเรื่องนี้มันคลาสสิกมากครับ… การผูกขาดทุกอย่างในโลกนี้ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งและสั่นคลอนไม่ได้ จนกว่ามันจะพังทลายลงมา
Melanie ทำในสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือการคืนพลังการออกแบบให้เป็นของทุกคน
ความพากเพียร เอาชนะ อำนาจที่ครอบครองตลาดมานาน ความเรียบง่าย เอาชนะ ความซับซ้อน
และเด็กสาวที่เคยเผชิญกับการปฏิเสธ 100 ครั้ง ก็ได้กลายเป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการเทคโนโลยีในวันนี้
References : [techcrunch, theverge, bloomberg, forbes, reuters]
Cr. ด.ดล Blog
https://www.facebook.com/share/p/1NE3FnXdZN/
------
ปล. Mai Thai ผมก็คิดว่าคือ ไหมไทย, พอไปถาม Gemini มา บอกว่าเป็นชื่อเครื่องดื่มค็อกเทล
Spoil
✨ ที่มาของชื่อ "Mai Tai"
ชื่อ Mai Tai ที่ Bill Tai นำมาตั้งชื่องานนั้น มาจากชื่อเครื่องดื่มค็อกเทล (Cocktail) ที่มีชื่อเสียงในวัฒนธรรม Tiki (Tiki Culture) ค่ะ
ค็อกเทล Mai Tai: เป็นเครื่องดื่มค็อกเทลที่มีส่วนผสมของเหล้ารัมเป็นหลัก ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1944 โดย Victor J. "Trader Vic" Bergeron ที่ร้านอาหารของเขาในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย
ความหมายของชื่อ: ชื่อนี้มาจากคำว่า "Maitaʻi roa ae" ซึ่งเป็น ภาษาตาฮีตี (Tahitian) ที่แปลว่า "ยอดเยี่ยม", "ดีที่สุด" หรือ "Out of this world – the best" ค่ะ
ที่มาของเรื่องเล่า: มีเรื่องเล่าว่า เมื่อ Trader Vic ทำค็อกเทลแก้วนี้ให้เพื่อนที่มาจากตาฮิติลองดื่ม เพื่อนคนนั้นได้อุทานเป็นภาษาตาฮีตีว่า "Mai Tai – Roa Ae!" ด้วยความประทับใจในรสชาติค่ะ
การตั้งชื่องานของ Bill Tai จึงเป็นการสะท้อนถึงบรรยากาศของงานที่เต็มไปด้วย ความสนุกสนานแบบเกาะ (Tropical/Tiki Vibe), ความผ่อนคลายริมทะเล, และเป็นงานรวมตัวของบุคคลที่ "ยอดเยี่ยม" และเป็น "สุดยอด" ในวงการเทคโนโลยีค่ะ