พรรคส้มไม่เคยแตะ สปสช.
ปัญหาระบบบริการสาธารณสุขของรัฐที่กำลังล่ม โดยสปสช.เอาเงินงบประมาณล่วงหน้า มาใช้หนี้โรงพยาบาลไม่เคยอยู่ในสายตา หรือนโยบายของพรรคส้ม
ทำไม “พรรคประชาชน” ที่พูดเรื่องโปร่งใส กลับเงียบเมื่อพูดถึง “สปสช.” และ “บัตรทอง”
1. ความย้อนแย้งในจิตวิญญาณของพรรค
พรรคประชาชนมักประกาศจุดยืนเรื่อง “ตรวจสอบได้ โปร่งใส ไม่เอาผลประโยชน์ทับซ้อน” อย่างชัดเจน แต่เมื่อพูดถึง “ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หรือ “สปสช.” กลับไม่มีเสียงวิพากษ์ใดๆ ทั้งที่ระบบนี้ถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า ความไม่สมดุล และกลไกตรวจสอบงบประมาณมาหลายปี
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ — เพราะโครงสร้างแนวคิดของพรรคประชาชนเองมีรากมาจาก “ประชานิยมกึ่งสังคมนิยม” ที่ถือว่า “รัฐต้องเป็นผู้ดูแลสุขภาพประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” จึงถือเป็น “หลักศรัทธาทางการเมือง” ที่ห้ามแตะ เพราะแตะเมื่อไร เสี่ยงต่อการถูกตีความว่า “จะตัดสิทธิประชาชน”
2. การคำนวณทางการเมือง: กลัวเสียคะแนนจากมวลชน
ฐานเสียงของพรรคประชาชนส่วนใหญ่คือ “ประชาชนผู้มีรายได้น้อย” และ “ข้าราชการระดับปฏิบัติ” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบบัตรทองและประกันสังคม
ดังนั้นการออกมาพูดถึง “ความโปร่งใสของ สปสช.” ย่อมถูกตีความว่า “จะล้มระบบบัตรทอง”
หรือ สนับสนุน การร่วมจ่ายในทันที พรรคจึงเลือก “นิ่งไว้ก่อน” เพราะรู้ดีว่าการแตะเรื่องนี้คือการเปิดศึกกับมวลชนที่เป็นฐานเสียงของตัวเอง ซึ่งจะเป็นฐานเสียงเดียวกับ พรรคเพื่อไทยด้วย
ที่ลึกกว่านั้น — พรรคประชาชนมีคนของตนเองที่เข้าสู่ “บอร์ดประกันสังคม” ผ่านการเลือกตั้ง และมีแนวคิดจะ “รวม 3 กองทุนสุขภาพ” (สปสช. ประกันสังคม และข้าราชการ) เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดอำนาจบริหารกองทุนสุขภาพมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี
ดังนั้น การนิ่งเงียบจึงไม่ใช่ความไม่รู้ แต่เป็น “ยุทธศาสตร์รอวันควบคุม” มากกว่า
3. ทำไมจึงไม่พูดเรื่อง “ความโปร่งใส”
พรรคประชาชนรู้ดีว่าถ้าแตะคำว่า “ตรวจสอบ” ในระบบสาธารณสุข จะกลายเป็นการเปิดกล่องแพนโดร่า เพราะจะย้อนมาที่คำถามว่า “ใครตรวจสอบ สปสช. ได้จริงหรือ?”
และหากขุดต่อไปถึงกลไกจัดซื้อจัดจ้าง งบ DRG การจ่ายชดเชยคลินิก หรือการใช้สิทธิ์ในเครือข่าย NGO บางกลุ่ม พรรคอาจถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับกลุ่มผลประโยชน์นั้นเสียเอง
จึงดีกว่าที่จะ “ไม่พูดเลย” เพื่อไม่ให้กลายเป็นการขุดหลุมให้ตัวเอง
4. ความหวังซ่อนเร้น: ควบรวมกองทุน และเข้าบริหาร
เบื้องหลังแนวคิด “รวมกองทุนสุขภาพ 3 กองทุน” คือความหวังจะสร้างระบบ “รัฐดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม” แต่ในเชิงอำนาจ มันหมายถึง “การรวมศูนย์อำนาจบริหารเงินก้อนใหญ่ไว้ในมือคนไม่กี่กลุ่ม”
หากพรรคสามารถครองเสียงในสภา และมีตัวแทนในคณะกรรมการกองทุนสุขภาพหลักได้ การบริหารงบมหาศาลนี้จะกลายเป็น “กลไกทางการเมือง” ที่ทรงพลังที่สุดของประเทศ
เพราะใครควบคุมงบสุขภาพได้ คนนั้นควบคุมความรู้สึกของประชาชนได้ และ ดีไม่ดี ส้ม จะกลายเป็นกลุ่มอำนาจกลุ่มใหม่ที่เข้ามาคุมสปสช. ด้วยซ้ำจึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างในขณะนี้
5. ความเสี่ยงที่ชนชั้นกลางเริ่มมองออก
กลุ่มชนชั้นกลาง — โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ ปัญญาชน และภาควิชาชีพ — เริ่มรู้สึกถึงความไม่สมดุลในระบบ สปสช. ทั้งการใช้งบเกินจริง การกดราคาค่ารักษา และความไม่เป็นธรรมระหว่างภาครัฐกับเอกชน
แต่พรรคประชาชนกลับ “ไม่พูด” เพราะเชื่อว่าชนชั้นกลางส่วนใหญ่ “ยังอยู่ในมืออยู่แล้ว” จึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงแสดงจุดยืนใด ๆ ที่อาจทำให้เสียคะแนน
แต่เราขอเตือน ว่า นี่เองคือ “ช่องว่างเชิงอุดมการณ์” ที่พรรคอนุรักษ์เชิงเสรีนิยม (Conservative Liberal) สามารถเข้าไปยึดพื้นที่ทางความคิดได้อย่างเต็มที่ — โดยชูประเด็น “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่ใช่รัฐเท่านั้นที่ดี และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังด้วยความรับผิดชอบจริง
6. สรุป: ความเงียบที่บอกทุกอย่าง
ในทางการเมือง ความเงียบบางครั้งดังกว่าคำพูด
พรรคประชาชนเลือกที่จะเงียบเรื่อง สปสช. ไม่ใช่เพราะไม่รู้ ไม่ใช่เพราะไม่เห็น แต่เพราะรู้ว่าถ้าพูดจริง จะต้องเลือกข้างระหว่าง “ประชานิยม” กับ “ความโปร่งใส” — และพรรคนี้เลือกข้างแรกมานานแล้ว
” เราขอเตือนด้วยความหวังดีว่า ถ้า พรรคประชาชน มีอุดมการณ์เพียง เรื่องประชานิยม และไม่คิดถึง โลกแห่งความเป็นจริงในทางปฏิบัติ และไม่ยอมรับ ว่า สังคมย่อมมีความแตกต่าง และ การร่วมจ่ายอย่างรับผิดชอบ มันมีเหตุผลในตัวเอง เพื่อความยั่งยืน และ สามารถช่วยเหลือ คนยากจนที่แท้จริง ท่านก็ต้องพร้อมที่จะ เสียฐานมวลชน จาก ชนชั้นกลางที่เห็นถึงความไม่เป็นธรรมของ การเอาภาษีของชาติ ทั้งคนจนคนรวย ถูกเบียดบังกันถ้วนหน้า ไปอุ้มระบบที่ไม่โปร่งใส ขอให้ท่านกอดฐานคะแนนเสียงเดียวกับพรรคเพื่อไทยต่อไป
แอดมิน ประชาคมแพทย์
7 พย.2568
หอรน.
ออกทรงแก๊งเดิมป่ะเนี่ย