คนไทยส่วนใหญ่ไม่ชินกับการโดนบวกแวท หลายร้านเลยคิดแบบยอดรวมเสร็จ คือโดนบวกไปเรียบร้อยแล้ว

มันใช้ได้กับร้านที่ใช้สตอคเดียวแต่แรกครับ แนวคิดนี้

บ้านเราบางทีมันใช้แยกสตอค เงินเข้าบัญชี เงินสดแยกกัน

คือเลี่ยงนั่นแหละ

ขายได้เยอะ ยังไงเงินก็เยอะขึ้น ต่อให้ต้องรายการทุกทรานเซคชั่น แต่ผมไม่แน่ใจว่าร้านเค้ายื่นภาษีแบบบุคคล หรือบริษัท

เพราะภาษีเงินได้มันต่างกัน ถ้าแบบบุคคล ขั้นบันไดมันก็มีสิทธิ์ขาดทุนได้ ถ้าคุณตั้งราคาขายแบบจ่ายแค่บันไดขั้นต่ำ แต่ถ้าเป็นบริษัท ยังไงขายได้มาก เงินก็ต้องได้มากขึ้น

แต่ถ้าใช้เงินสดก็ไม่โดนบวกนิ (บิลแรกที่น้องจ่าย 100 บาท)

แต่พอใช้คนละครึ่งโดนบวกซะงั้น

เดาว่าคงเป็นร้านที่จด Vat จริงๆ แต่ขายของแบบ 2 ระบบแหละมั้ง

จ่ายเงินสดไม่เอาใบกำกับราคานึง ถ้าจะเอาใบกำกับอีกราคานึง(แพงกว่า)

พวกนี้โดน 7% จากยอดแบบไม่มีหักครับ
เพราะบิลซื้อเขาไม่มี VAT
(ลองฟังคลิปร้านที่โดนดู เขาบอกอยู่)

คิดคร่าวๆ(ไม่ให้เศษส่วนเยอะ)
สมมุติซื้อของมา 90 ขาย 100
VAT จะหักบิลซื้อได้ เท่ากับส่ง 7% ของยอด 100 แต่เอายอด 7% ของทุน 90 มาหักได้
เท่ากับส่งจริงแค่ 7% ของส่วนต่าง 10 บาท
ทุน 90 ภาษี 0.7 กำไร 9.3
แต่พอบิลซื้อไม่มี VAT กลายเป็นว่าสรรพากรคิด 7% จากยอด 100 (ไม่ให้หักทุน)
เท่ากับทุน 90 ภาษี 7 กำไร 3

ส่วนอันแรกที่บอกว่าขาย 1 ชิ้น แบก VAT เอง
เพราะซื้อไม่มี VAT ขายไม่มี VAT ได้ ถ้ายอดไม่ถึง 1.8
แต่ถ้าขายไปแล้วยอดแตะ 1.8 ทีหลัง จะคิดย้อนหลังโดยใช้วิธีตัดสต๊อค
แบบนั้นก็เหมือนคิด 7% ของส่วนต่าง

แต่ของร้านในข่าว จด VAT ไว้ แต่ออกบิล 2 แบบ อันนี้น่าจะโดนหนักๆ

จากนี้เดาว่าพวกร้านในโครงการบางร้านอาจจะไม่เอาแล้ว
กลับไปขายปกติ ไม่ขายคนละครึ่ง

ปัญหาคือ โครงการคนละครึ่ง เขาไม่เก็บภาษีส่งสรรพากรน่ะสิครับ

มันเป็นโครงการพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลแจ้งไว้ก่อนลงทะเบียนนานแล้ว