สโลแกนที่ใช้มานาน "The Best a Man Can Get" ในปี 2019 โดนแทนที่ด้วยสโลแกน "The Best a Man Can Be" ด่า toxic masculinity ทำให้ลูกค้าเดือดจัด ย้ายไปซื้อของค่ายคู่แข่ง มีทำคลิปเผาอุปกรณ์ Gillette กันเป็น viral

ชื่อเสียงที่สร้างมาเป็น 100 ปี พังเพราะ woke

แต่กำไรกับรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี
สรุปพังเพราะwokeหรือคิดไปเองว่าพังเพราะwoke

ผมว่ามันก็ไม่ได้ Woke อะไรขนาดนั้นนะ

ก็แค่เล่นเรื่องพฤติกรรมแย่ๆที่ไม่ควรทำ

ไม่ได้ดันทุรังมั่วๆแบบดิสนี่อพไรแบบนี้

Go Woke, Go Broke



ไม่รู้ว่าเกี่ยวมั้ย แต่ 2019 ไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้นนะครับ แต่ติดลบ 6%
แถมต้องลดมูลค่าทางบริษัท Gillete ลงถึง 8พันล้าน

แต่ก็นั่นแหละ ไม่แน่ว่าเกี่ยวกับ woke หรือเปล่า เพราะ P&G บอกว่าเป็นเพราะตลาดหดตัว

นึกถึงเบียร์ และรถยี่ห้อนึง

เสือกอะไรนักหนากับความเป็ยชายวะ ใครจะกะเทยจะไบจะหญิงอะไรก็เรื่องของมึงดิวะ

ผมว่าไม่ได้พังเพราะ woke หรอกครับ ถ้ายึดตามไทม์ไลน์ปี 2019 นะ
เพราะตอนปี 2019 กระแส woke มันยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และมาพีคจัด ๆ ช่วงปี 2021-2022 โลกคลั่ง woke มาก
จนมันเริ่มสุดโต่งมากจนเรียกว่ายัดเยียด จึงเริ่มมีกระแสแอนตี้และตีกลับมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้น

ดังนั้นตอนปี 2019 ที่ยิลเลต์ยอดขายลดลง จึงเป็นเพราะตลาดหดตัว มีคู่แข่งเพิ่ม และที่สำคัญเทรนด์โลกในช่วง10ปีหลังนี้ผู้ชายนิยมไว้หนวดเครากันเยอะขึ้น จึงโกนหนวดกันน้อยลงมาก

ไปถาม AI มา

ใช่ครับ ✅ ยอดขายของ Gillette ลดลงจริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งเคยเป็นฐานลูกค้าหลักของแบรนด์นี้
หลักฐานว่ายอดขาย Gillette ลดลงจริง
• P&G (บริษัทแม่ของ Gillette) รายงานว่ายอดขายผลิตภัณฑ์โกนหนวดลดลงต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงปี 2016–2020 มีการลดลงอย่างชัดเจนจากการแข่งขันและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
• ส่วนแบ่งตลาดลดลงจากกว่า 70% เหลือประมาณ 50%
คู่แข่งอย่าง Dollar Shave Club และ Harry’s เข้ามาแย่งตลาดด้วยราคาถูกและโมเดล subscription
• Gillette ต้องลดราคาสินค้าในบางประเทศเพื่อแข่งขัน
เช่นในสหรัฐฯ มีการลดราคามีดโกนลงถึง 20% เพื่อดึงลูกค้ากลับมา
• พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มไว้หนวดเครามากขึ้น และหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเคราแทนมีดโกนแบบเดิม


Gillette ยอดขายตกเพราะหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น การแข่งขันที่รุนแรง พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และการเติบโตของแบรนด์คู่แข่งราคาถูก
ยอดขายของ Gillette ที่ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกิดจากหลายสาเหตุสำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย:
สาเหตุหลักที่ทำให้ยอดขาย Gillette ลดลง
• การแข่งขันจากแบรนด์ใหม่ราคาถูกกว่า
แบรนด์อย่าง Dollar Shave Club และ Harry’s เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายและโมเดล subscription
• พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มไว้หนวดเครามากขึ้น ทำให้ความต้องการมีดโกนลดลงอย่างเห็นได้ชัดในบางกลุ่ม
• การตลาดแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ยุคใหม่
Gillette เคยเน้นโฆษณาแบบ mass marketing แต่ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ดีเท่าคู่แข่งที่ใช้ digital marketing อย่างมีประสิทธิภาพ
• ราคาสินค้าสูงเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ผู้บริโภคจำนวนมากมองว่า Gillette มีราคาสูงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ โดยเฉพาะในตลาดที่มีทางเลือกมากขึ้น
• กระแสต่อต้านแบรนด์จากแคมเปญโฆษณา
แคมเปญ “The Best Men Can Be” ที่เน้นเรื่อง toxic masculinity แม้จะมีเจตนาดี แต่ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักในบางกลุ่ม ทำให้เกิดการบอยคอตแบรนด์ในบางประเทศ
ผลกระทบที่ตามมา
• ส่วนแบ่งตลาดของ Gillette ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป
• ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ เช่น ลดราคา เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และเน้นการขายออนไลน์มากขึ้น
• มีการปรับโครงสร้างธุรกิจและลดต้นทุนในหลายประเทศ


...คหสต. เหมือนว่า woke ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายลดลง หรือต่อให้ไม่มีแคมเปญโฆษณาที่เป็นปัญหา Gillette ก็ยังประสบปัญหาเรื่องยอดขายเหมือนเดิม

Gillette ของดีแต่แพง

ญี่ห้อ japanดีแต่ถูกไมาแปลกที่ยอดลด

แพงกว่าจริง ๆ

คือบนโลกนี้มีการตลาดอะไรมากมายที่มันโคตรจะ woke นับไม่ถ้วน ไม่เห็นจะเรียงหน้ากัน go broke อะไรแบบที่พรี่ๆว่าเลย แต่พออะไรที่มันพังหน่อย ออกนอกแถวหน่อย ยอดตกหน่อย มาละ go woke, go broke 5555555