นักบอลถ้วย ก.
Status: จิ้งจกเสพความเหงา

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Feb 2021
ตอบ: 13471
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Oct 17, 2025 20:33
[RE: ดูโหนกระแสสองเทปที่ผ่านมา สงสัยว่า รถหรูเค้าไม่ค่อยนิยมทำประกันกันเหลอ]
ความเป็นจริงในตลาดประกันภัยรถยนต์สำหรับรถเก่า บริษัทประกันภัยมีเหตุผลในการพิจารณาความเสี่ยงที่สูงขึ้น ดังนี้ครับ:
-ยิ่งเก่า ประกันยิ่งไม่อยากรับ (โดยเฉพาะชั้น 1)
ความเสี่ยงสูงขึ้น: รถเก่ามีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ, เสีย, หรือชำรุดจากสภาพความเสื่อมตามอายุการใช้งานได้ง่ายกว่ารถใหม่
ต้นทุนซ่อมสูงและคาดเดายาก:
การหาอะไหล่สำหรับรถรุ่นเก่าทำได้ยากขึ้น หรือต้องใช้เวลาสั่งนาน อาจไม่มีอะไหล่ใหม่แท้ ทำให้ต้องใช้อะไหล่มือสองหรือเทียบเท่า ซึ่งมีมาตรฐานการซ่อมที่ควบคุมได้ยาก
รถเก่ามักมีปัญหาจากการสึกหรอสะสม เช่น สีซีด ผุ หรือสนิม การเคลมซ่อมแต่ละครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามูลค่ารถจริง (Over-insured/Not Cost-Effective)
จำกัดอายุรถ: โดยทั่วไปแล้ว ประกันชั้น 1 ส่วนใหญ่จะรับรถอายุไม่เกิน 7-10 ปี แต่ปัจจุบันมีบางบริษัทรับถึง 15 ปี หากประวัติดีหรือเป็นการต่ออายุต่อเนื่องกับบริษัทเดิม
-ถึงรับก็โดนลดชั้น/จำกัดความคุ้มครอง
เมื่อรถยนต์มีอายุมากขึ้นจนไม่เข้าเกณฑ์ทำประกันชั้น 1 บริษัทประกันจะเสนอทางเลือกอื่นที่มีความคุ้มครองลดลงตามความเสี่ยงและมูลค่ารถ:
เปลี่ยนเป็น 2+/3+: รถเก่าอายุเกิน 10 ปี ส่วนใหญ่มักถูกจำกัดให้ทำแค่ ประกันชั้น 2+ หรือ ชั้น 3+ ซึ่งจะไม่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถของผู้เอาประกันในกรณีที่ "ไม่มีคู่กรณี" (เช่น ชนเสา, ครูดฟุตบาท)
จำกัดมูลค่าทุนประกัน: มูลค่ารถจะถูกประเมินลดลงตามอายุ (ค่าเสื่อม) ทำให้ทุนประกันที่ได้รับเมื่อเกิดความเสียหายสิ้นเชิง (Total Loss) ต่ำลงเรื่อย ๆ
-ถึงรับก็โดนเบี้ยแพง/เงื่อนไขเยอะ
แม้จะยอมรับทำประกันชั้น 1 ให้กับรถเก่าที่มีอายุมาก บริษัทประกันมักจะใช้วิธีควบคุมความเสี่ยงด้วยเงื่อนไขเหล่านี้:
เบี้ยประกันสูงขึ้น: หากเทียบเบี้ยชั้น 1 ของรถเก่ากับรถใหม่รุ่นเดียวกัน ในแง่ของเบี้ยที่ต้องจ่ายเทียบกับทุนประกันที่ได้ ถือว่าสูงกว่า (ถึงแม้ตัวเลขเบี้ยจะลดลงตามทุนประกันก็ตาม)
กำหนด "ค่าเสียหายส่วนแรก" (Deductible/Excess): บริษัทประกันอาจกำหนดให้ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนแรกเอง เช่น 2,000 - 5,000 บาท ต่อเหตุการณ์ (โดยเฉพาะการเคลมแบบไม่มีคู่กรณี) เพื่อให้เจ้าของรถระมัดระวังมากขึ้นและไม่เคลมในเรื่องเล็กน้อย
-รถเก่าทำไปก็ไม่คุ้มราคา
นี่คือการประเมินความคุ้มค่าของเจ้าของรถเอง:
มูลค่าซ่อมสูงกว่ามูลค่ารถ: หากเกิดอุบัติเหตุรุนแรงและค่าซ่อมสูงกว่า 70-80% ของมูลค่ารถในตลาด บริษัทประกันมักเลือกจ่ายเป็น "ค่าซากรถ" ตามทุนประกันที่เหลืออยู่ ซึ่งอาจไม่คุ้มกับเบี้ยที่จ่ายไป
ค่าเบี้ยเทียบกับความเสี่ยง: หากรถเก่าอายุ 15 ปี มีมูลค่า 150,000 บาท แต่ต้องจ่ายเบี้ยชั้น 1 ถึง 12,000 บาทต่อปี ลูกค้ามักจะมองว่าไม่คุ้ม และเลือกที่จะทำประกันชั้น 3+ ที่เบี้ยถูกกว่า (ประมาณ 6,000-8,000 บาท) เพื่อเน้นคุ้มครองคู่กรณีเป็นหลักแทน
ทางออกที่นิยมสำหรับรถเก่า
เจ้าของรถที่มีอายุเกิน 10 ปี ส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนไปทำ ประกันชั้น 3+ เพราะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด โดยยังคุ้มครองความเสียหายต่อรถของเราในกรณีที่ "ชนกับยานพาหนะทางบกและระบุคู่กรณีได้" ในเบี้ยที่ไม่แพงนัก และมักไม่จำกัดอายุรถ