"ปรัชญาที่ไม่อาจเปลี่ยนหรือความรั้นที่ขอหักแต่ไม่ยอมงอ - วิเคราะห์สไตล์และปรัชญาการทำทีมของอโมริม"
★ ประเด็นร้อนหลังจากดาร์บี้แมทซ์เมืองแมน ที่ได้จบลงไป อย่างที่ต้องกล้ำกลืนบอกเลยว่า "ก็เรานั้นมันคนละชั้น" กันเลยทีเดียวเชียว! ... และยิงสุมไฟเข้าไปอีกเมื่อหลังจากจบเกมไปแล้ว "รูเบน อโมริม" กุนซือเก้าอี้ร้อนป้ายแดงกลับให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาจะไม่เปลี่ยนปรัชญาการคุมทีมของเขาอย่างแน่นอน และถ้าจะเปลี่ยนแมนยูก็คงต้องเปลี่ยนกุนซือใหม่เท่านั้น ทำเอาเหล่าแฟนผีถึงกลับปวดตับอย่าจะถีบลงเหวเหมือนกับฉากในภาพยนต์เรื่อง 300 กันเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้วันนี้เราจึงจะมาเจาะลึกกับสไตล์และปรัชญาการทำทีมของอโมริม ตั้งแต่คุมทีมสปอร์ติง ลิสบอน จนมาถึงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
-----
โดยขอเริ่มจากการวิเคราะห์ในช่วงที่คุมทีมสปอร์ติง ลิสบอน ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเราสรุปไว้คร่าวๆ ดังนี้
✦ เน้นระบบ 3-4-3 : เป็นที่รู้กันดีว่าแทคติกของอโมริมจะใช้แผนการเล่นกองหลัง 3 คน โดยมีวิงแบ็ก (Wing-backs) ที่มีความสำคัญมากในการเติมเกมรุกและช่วยเกมรับ แผนนี้ทำให้ทีมมีความสมดุลทั้งเกมรุกและเกมรับ
✦ การเล่นแบบมีวินัยและรัดกุม: ทีมของเขาจะเน้นวินัยในตำแหน่งการยืนและรู้บทบาทของตัวเอง ทุกคนต้องช่วยกันทั้งตอนที่มีบอลและไม่มีบอล
✦ สร้างเกมจากแนวรับ: ทีมจะพยายามสร้างเกมจากแนวหลังโดยใช้การจ่ายบอลสั้น ๆ เพื่อดึงผู้เล่นของฝ่ายตรงข้ามให้ออกมาจากตำแหน่ง แล้วจึงหาช่องว่างในการทำเกมรุก
✦ การใช้ประโยชน์จากวิงแบ็ก: วิงแบ็กของสปอร์ติงมีความสำคัญอย่างมากในเกมรุก พวกเขาจะวิ่งขึ้นลงตลอดเกมเพื่อสร้างความกว้างและโอกาสในการเปิดบอลเข้าสู่พื้นที่อันตราย
-----
โดยสรุปแล้ว จะวิเคราะห์ได้ว่าหลักการทำทีมของอโมริมคือ เน้นความสมดุล, วินัย และการใช้ผู้เล่นแต่ละตำแหน่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แต่หากวิเคราะห์ลงไปอีกซักขั้นหนึ่ง เราก็อาจจะพบว่า สไตล์และปรัชญาการทำทีมของ รูเบน อโมริม นั้นจุดเด่นสำคัญและมีบทบาทอย่างมาก ก็คือตำแหน่งวิงแบ็ก เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญที่เชื่อมโยงเกมรุกและเกมรับในระบบ 3-4-3 ของเขา
✦ ทำไมตำแหน่งวิงแบ็กจึงสำคัญ?
- สร้างความกว้างในเกมรุก: ระบบของอโมริมมักจะเล่นโดยไม่มีปีกธรรมชาติ วิงแบ็กจึงเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่ให้ความกว้างในแดนหน้า พวกเขาต้องวิ่งเติมเกมรุกขึ้นไปจนถึงสุดเส้นหลังเพื่อเปิดบอลเข้ากลาง
- สร้างความยืดหยุ่นทางแทคติก: เมื่อทีมกำลังบุก พวกเขาจะทำหน้าที่เป็นปีก (การยืนตำแหน่งของทีมจะดูคล้าย 3-2-5) แต่เมื่อทีมเสียบอลและอยู่ในจังหวะตั้งรับ พวกเขาจะถอยลงมาช่วยกองหลัง 3 คน ทำให้แผงหลังกลายเป็น 5 คนทันที (5-2-3) ซึ่งทำให้ทีมมีความแน่นหนามากขึ้น
- สร้างความได้เปรียบเชิงตัวเลข: การขึ้นไปของวิงแบ็กจะช่วยดึงแนวรับของคู่แข่งให้ต้องขยายออก ทำให้มีพื้นที่ว่างในแนวลึกให้กองหน้า 3 คนและกองกลางตัวรุกสามารถใช้ประโยชน์ได้
✦ วิงแบ็กต้องเล่นอย่างไร?
- เน้นเกมรุกและเกมรับไปพร้อมกัน: ต้องมีพละกำลังที่มหาศาลเพื่อวิ่งขึ้นลงตลอด 90 นาที
- ต้องมีประสิทธิภาพในการเปิดบอล: การเปิดบอลจากริมเส้นคืออาวุธสำคัญในเกมรุกของระบบนี้
- ต้องมีความเข้าใจในเกมรับ: นอกจากเกมรุกแล้ว พวกเขายังต้องมีวินัยและลงมาช่วยเกมรับในจังหวะที่ทีมเสียบอลด้วย
✦ นักเตะแบบไหนที่เหมาะกับแทคติกนี้?
- มีพละกำลังและสปีดสูง: ต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งและวิ่งได้ตลอดทั้งเกม
- มีทักษะเกมรุกที่ดี: สามารถเลี้ยงกินตัวได้, เปิดบอลได้แม่นยำ และมีส่วนร่วมกับการทำประตู
- มีทักษะเกมรับที่ไว้ใจได้: สามารถดวลตัวต่อตัวกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามได้ดี
-----
ทั้งนี้ ตำแหน่งและบทบาทของนักเตะคนสำคัญที่ รูเบน อโมริม เลือกใช้ในระบบ 3-4-3 ในช่วงเวลาที่คุมทีมอยู่ที่สปอร์ติง ลิสบอน
✦ ผู้รักษาประตู (Goalkeeper)
- อูร์เกา, ฟรังโก อิสราเอล, อันโตนิโอ อาดัน: ผู้รักษาประตูภายใต้ระบบของอโมริมจะต้องทำหน้าที่เป็น สวีปเปอร์ คีปเปอร์ ที่พร้อมจะออกมาเล่นบอลนอกกรอบเขตโทษ และมีทักษะในการจ่ายบอลที่ดีเพื่อเริ่มเกมจากแนวรับ
✦ กองหลัง 3 คน (Three Centre-Backs) เป็นหัวใจสำคัญของเกมรับที่แข็งแกร่ง
- กอนซาโล่ อินาซิโอ (ซ้าย), อุสมาน ดิโอม็องเด้ (กลาง), เฆรี่ ซังต์ ฆุสต์ (ขวา): กองหลังทั้งสามคนต้องมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดย ตัวกลาง จะต้องมีความแข็งแกร่งและดุดัน ส่วน ตัวซ้ายและขวา ต้องมีความเร็วและสามารถขึ้นไปช่วยสร้างเกมรุกได้
✦ วิงแบ็ก (Wing-backs) เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในระบบของอโมริม
- เปโดร ปอร์โร่ (ขวา) หรือ นูนู ซังตุช (ซ้าย): วิงแบ็กต้องมีพละกำลังมหาศาลเพื่อวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งเกม พวกเขาคือผู้เล่นที่ให้ความกว้างในเกมรุกและต้องลงมาช่วยเกมรับเพื่อเปลี่ยนแผนเป็นกองหลัง 5 คนในยามตั้งรับ
✦ กองกลาง 2 คน (Two Central Midfielders) ทำหน้าที่เชื่อมเกมและคุมจังหวะ
- มานูเอล อูการ์เต้ และ มอร์เทน ฮยูลมานด์: ทั้งสองคนจะทำหน้าที่เป็นหัวใจของทีมในการคุมจังหวะเกม, ช่วยป้องกัน และจ่ายบอลเพื่อสร้างโอกาสในเกมรุก
✦ กองหน้า 3 คน (Three Forwards) เป็นผู้สร้างสรรค์เกมและทำประตู
- เปโดร กอนซัลเวส (ขวา), ฟรานซิสโก ตริงเกา (ซ้าย) และ วิกตอร์ เกียวเคเรส (หน้าเป้า): หน้าเป้า จะเป็นผู้เล่นที่จบสกอร์ได้เฉียบคมและสามารถพักบอลได้ดี ส่วน กองหน้าตัวริมเส้น จะเน้นความเร็วและทักษะในการเลี้ยงกินตัวเพื่อสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม
-----
ในช่วงที่ รูเบน อโมริม คุมทีมสปอร์ติง ลิสบอน เขาทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจและประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสถิติที่สำคัญมีดังนี้:
✦ สถิติโดยรวม
จำนวนนัดที่คุม: ประมาณ 185 นัด
ชนะ: ประมาณ 120 นัด
เสมอ: ประมาณ 28 นัด
แพ้: ประมาณ 37 นัด
เปอร์เซ็นต์ชนะ: ประมาณ 65%
✦ ความสำเร็จและถ้วยรางวัล
- แชมป์ปรีไมรา ลีกา (Primeira Liga): 1 สมัย (ฤดูกาล 2020–21)
ความสำเร็จนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกของสปอร์ติงในรอบ 19 ปี
- แชมป์ไคชา ดา ลีกา (Taça da Liga): 2 สมัย (2020–21, 2021–22)
- แชมป์ซูเปอร์ทาคา กังดีโด เดอ โอลีเวรา (Supertaça Cândido de Oliveira): 1 สมัย (2021)
นอกจากนี้ เขายังทำสถิติในการนำทีมคว้าแชมป์ลีกโดยไม่แพ้ใครในบ้านตลอดทั้งฤดูกาล และยังสามารถทำคะแนนได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรในฤดูกาลที่คว้าแชมป์ได้อีกด้วย
สถิติเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของอโมริมในการเปลี่ยนทีมให้กลับมาเป็นผู้ชนะ และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นที่ต้องการของสโมสรใหญ่หลายแห่งในยุโรปในช่วงเวลานั้น
-----
แต่ทว่าเมื่อเขาโยกย้ายมายังโรงละครแห่งความฝันกับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 จนล่วงเลยมาถึงปัจุบัน ทุกอย่างกับแตกต่างออกไป
จำนวนนัดที่คุม (เฉพาะในลีก): ประมาณ 29 นัด
ชนะ: ประมาณ 7 นัด
เสมอ: ประมาณ 7 นัด
แพ้: ประมาณ 15 นัด
เปอร์เซ็นต์ชนะ: ประมาณ 24.14%
ซึ่งการทำผลงานได้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งทีเขาเคยคุมทีมมี เปอร์เซ็นต์ชนะ 65% กลับหล่นวูบมาเหลือแค่ 24.14% ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมาจากปัจจัยที่มีแนวโน้มเป็นเหตุผลหลัก ดังนี้
1. ความไม่ลงตัวทางแทคติก
- ระบบ 3-4-3 / 3-4-2-1 ที่ตายตัว: อโมริมประสบความสำเร็จอย่างสูงกับระบบกองหลัง 3 คน แต่ระบบนี้อาจไม่เข้ากับนักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 เป็นหลัก ส่งผลให้หลายตำแหน่ง เช่น ฟูลแบ็ก/วิงแบ็ก, เซนเตอร์แบ็ก 3 คน, หรือกองหน้าตัวกลาง ไม่ลงตัว โดยเฉพาะตำแหน่ง วิงแบ็ก ที่ต้องใช้พลังงานสูงและมีทักษะครบเครื่องทั้งรุกและรับ เหล่านี้จึงทำให้แนวรับเปราะและขาดความสม่ำเสมอ ซึ่งแม้ Amorim จะเน้นเกมรับที่มีวินัย แต่แมนยูเสียประตูจำนวนมาก (เกิน 40 ลูกในลีกภายใน 25 เกมแรก)
หรือแม้กระทั่งการจับนักเตะตัวหลักอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถนัดนัก การสร้างเกมบุกตันและพึ่งพานักเตะรายบุคคลมากเกินไป เกมรุกมักต้องหวังพึ่งการลากเลื้อยหรือความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นบางคน ทีมจึงยิงได้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนโอกาสยิง
- การปรับตัวในพรีเมียร์ลีก: พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่แตกต่างจากลีกโปรตุเกสอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องของความเร็ว, ความแข็งแกร่ง, และการเข้าปะทะ ซึ่งแทคติกที่ใช้ได้ผลในลีกหนึ่งอาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันทีกับอีกในลีกหนึ่ง บวกกับอโมริมเองก็ยังไม่มีประสบการณ์การคุมทีมอื่นในยุโรปอีกด้วย
2. ปัญหาภายในสโมสรและวัฒนธรรมทีม
- ความกดดันมหาศาล: การคุมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาพร้อมกับความกดดันจากทั้งแฟนบอล, สื่อ และอดีตนักเตะ ซึ่งหากผลงานไม่เป็นไปตามที่คาดหวังตั้งแต่แรก การรับมือกับแรงกดดันเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยาก
- การบริหารจัดการนักเตะสตาร์: ทีมมีนักเตะชื่อดังหลายคน ซึ่งการควบคุมห้องแต่งตัวและทำให้นักเตะทุกคนยอมรับในปรัชญาการทำทีม อาจไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่น
- ปัญหาความไม่สม่ำเสมอ: แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวามานานแล้ว ซึ่งเป็นโจทย์ที่ผู้จัดการทีมหลายคนไม่สามารถแก้ได้ และอโมริมอาจต้องเผชิญกับปัญหา "วังวนเดิม ๆ" นี้เช่นกัน
-----
แม้อโมริมจะมีความสามารถที่โดดเด่น แต่ปัจจัยหลายอย่างในโลกของฟุตบอลก็มีส่วนในการตัดสินผลลัพธ์เช่นกัน “แท็กติกไม่เข้ากับขุมกำลัง + แนวรับรั่ว + การปรับตัวกับพรีเมียร์ลีก” ซึ่งความท้าทายที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีอยู่นั้นเป็นบททดสอบที่หนักหน่วงสำหรับผู้จัดการทีมทุกคน
//- เปิดปุ่มสตั๊ด -//
ที่มา : https://www.facebook.com/photo/?fbid=122098293825022984&set=a.122098286031022984
ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ "เปิดปุ่มสตั๊ด"
https://www.facebook.com/profile.php?id=61580689537933