นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: Goonner forever...

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Jun 2019
ตอบ: 3420
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 03, 2025 21:43
[RE: ขอวีซ่าเที่ยวอเมริกา (แผล่บๆ)]
ขอญาติแชร์ รีวิวตัวเองครับ ทำเองทุกขั้นตอน คนที่ไปคือ พนักงานบริษัท และชาวสวน !!
รีวิวประสบการณ์ และเผื่อเป็นวิทยาทานให้กับใครก็ตามที่ขอวีซา เพื่อที่จะไปเที่ยวอเมริกา แบบฉบับ "มนุษย์เงินเดือน" แล้วกลัวว่าจะทำวีซ่าผ่านไหม ต้องใช้อะไรบ้าง เพราะค่าทำมันแพงพอตัวเลย ณ วันที่จ่ายเงินคือ 6,800 กว่าบาทต่อคน ขอวีซาประเภทท่องเที่ยว B1/B2 แล้วไม่ใช่ว่าคุณมีแค่เงินในบัญชีแล้วจะผ่านนะ เพราะคนข้าง ๆ ดูรวยแต่ไม่ผ่าน มา ๆ เริ่มกันหน่อย
.
อันดับแรกที่ต้องมีเลยคือ "Passport" ที่ไม่หมดอายุ จะเป็นเล่มเก่าก็ได้ หรือจะเป็นเล่มใหม่กริ๊บ ๆ ก็ไม่มีปัญหา เคสผมคือ "เล่มใหม่จัด" เพราะเล่มเก่าเจอโควิดไม่ได้ไปไหน หมดอายุเรียบร้อย....
.
ต่อมาสิ่งที่ต้องทำคือ เข้าเว็บไซต์กงสุลอเมริกาเพื่อไปกรอกเอกสารที่มีชื่อว่า "DS-160" อันนี้สำคัญมากเพราะเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบประวัติคุณจากข้อมูลในนี้ จำเป็นต้องใส่ตามจริง ห้ามโกหก เพราะเป็น 1 ในด่านที่อาจทำให้คุณว่าววีซ่าทันทีเลยก็ได้ วิธีการกรอกจริง ๆ มันก็ไม่ยาก แต่ถ้ามือใหม่ก็ไม่ง่ายเท่าไหร่ อาจจะสับสนพอสมควร ยิ่งคุณเป็นผู้เดินทางที่มี "สปอนเซอร์" หรือมีคนออกค่าตั๋ว ค่าเดินทาง ค่ากินค่าเที่ยวให้คุณ มันจะมีช่องพิเศษให้กรอกรายละเอียดมากหน่อย
.
ในส่วนของ DS-160 นี้ด่านสุดท้ายของมันคือการ "อัพโหลดรูปถ่าย" เพื่อแปะหน้าใบ Confirmation หรือใบยืนยันที่เอาไว้ไปให้เจ้าหน้าที่กงสุลเพื่อตรวจสอบข้อมูลของคุณ จริง ๆ มันใช้รูปแบบไหนก็ได้ไม่ซีเรียส แต่ที่มันยากคือ "Algorithm" ของมันนิละเรื่องมากโคตร ๆ รูปถ่ายนอกจากต้องเปิดเหม่ง เห็นหูแล้ว ต้องสว่างพอ ขนาดต้องเป๊ะ แสงต้องได้ไม่งั้นก็ไม่ผ่านอีก
.
หลังจากกรอกเสร็จอะไรเสร็จแล้ว ต่อไปคือการเข้าไปนัดคิววันสัมภาษณ์ การจองคิวนี่แทบจะต้องข้ามเดือนกันเลยทีเดียว เพราะแต่ละวันเหมือนเขาจำกัดรอบนะ (ของเราจองรอบ 9 โมงเช้าคนเริ่มซาแล้วสบายหน่อย) พอจองวันเสร็จ ก็จะเข้าสู่กระบวนการ "จ่ายตังค์จ้าา" ไอกระบวนการนี้เราแนะนำว่า "ปริ้นออกมาแล้วให้ไปจ่ายเลยในวันนั้น" เพราะว่า ต่อให้เอกสารชำระเงินจะมีเวลาให้คุณชำระประมาณ 1 สัปดาห์ก็จริง
แต่ ๆๆๆๆๆ อาจจะไม่ได้จ่ายในราคาตามจ่าหน้านะ เพราะมันยึด "เรทเงิน" ในแต่ละวันเลย ของเรา 4 คน ในใบแจ้งคือ 27,xxx บาท แต่พอทิ้งเวลาไปแค่ 2 วัน ซึ่งเป็นช่วงค่าเงินดอลลาร์มันขึ้นไปแล้ว ถ้ามันขึ้น ยอดเก่าคุณจะไม่สามารถ Submit ในระบบได้นะ เช่นผมไป 4 คน แต่เงินที่จ่าย เหมือนมันพอเฉพาะ 3 คน คนที่ 4 กด Submit ไม่ได้ เช็คไป เช็คมา อ้าวววว ต้องไปจ่ายเพิ่มอีก 7,xx กว่าบาท เพราะค่าเงินมันขึ้น ยอดเก่ามันค่าเงินไทย ใช้บ่ได้แล้ว
.
หลังจ่ายเงินรอประมาณ 2-3 วันทำการก็เข้าไป Submit ในระบบเพื่อล็อควันเวลาสัมภาษณ์ตามที่เลือกไว้ แล้วก็รอ รอรอรอรอรอรอรออออ
.
.
.
.
ในระหว่างรอ ก็ถึงขั้นตอนที่ค่อนข้างต้องละเอียดพอสมควร นั้นก็คือ "การเตรียมเอกสาร" ให้จำไว้แบบนี้ "ไม่ว่าคุณจะจ้างคนทำวีซ่า หรือทำเอง สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การไปทำวีซ่าอเมริกา แต่ละคนใช้เอกสารไม่เหมือนกัน แล้วแต่เขาจะขอ" แต่มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เงินเดือน "ต้องพกไปชัว ๆ" ซึ่งคืออะไร โปรดอ่านต่อไปก่อนนะครับ
.
กฎหลักในการขอวีซาอเมริกา ก็คือ "คุณทำยังไงก็ได้ ใช้เอกสารอะไรก็ได้ที่สามารถยืนยันตัวตนคุณได้จริง ๆ และทำให้เขามั่นใจว่า คุณไปเที่ยวบ้านเขาแล้ว คุณจะกลับประเทศไทยแน่ ๆ ไม่ไป โรบินฮูดประเทศเขา" เพราะในปี 2023 นี้ อเมริกามีปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองเยอะมาก ๆ จนเขาจะรองรับไม่ไหวแล้ว เขาไม่อยากได้คนไปเพิ่มภาระเขา
.
เอกสารสำคัญของมนุษย์เงินเดือนที่ว่าก็คือ "ใบรับรองการเป็นพนักงาน" จากบริษัทของคุณ ใบนี้ขอดูทุกคนแน่นอน โดยจำเป็นต้องขอเป็นภาษาอังกฤษ ระบุเงินเดือนชัดเจน และแนะนำให้ HR ระบุระยะเวลาสิทธิในการหยุดของคุณ และยืนยันให้ว่า จะเดินทางไปอเมริกาในวันที่ ......... ควรตรงกับข้อมูลใน DS-160 เพราะเขาจะเปิดอ่านของคุณตลอดการสัมภาษณ์
.
ส่วนเอกสารอื่น ๆ ตามที่บอก "ทำยังไงก็ได้ให้เขามั่นใจว่าเราจะไม่หนี" เช่นโฉนดที่ดิน. Statement, เอกสารครอบครองทรัพย์สินต่าง ๆ เอาไปเถอะ เอาไปเตรียมไว้ให้ครบ ๆ ส่วนคนที่มีสปอนเซอร์ออกเงินให้ หากระบุไว้ใน DS-160 แนะนำให้เตรียม Invitation Letter กับ เอกสารยืนยันการโอนเงินมาให้เราไว้ด้วยก็ดี
.
อีกส่วนที่ห้ามลืมคือ "รูปถ่าย" ซึ่งต้องใช้ขนาด 2 นิ้ว ... แต่ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ใช่ขนาด 2 นิิ้วเพื่อสมัครงานที่เราใช้กันทั่ว ๆ ไปนะ จำเป็นต้องใช้ตามมาตรฐานในการขอวีซาแต่ละประเทศ ซึ่งร้านถ่ายรูปส่วนใหญ่เขาจะรู้อยู่แล้วว่า กงสุลประเทศไหนใช้มาตรฐานแบบไหน หรือถ้าลืมจริง ๆ ในห้องรอสัมภาษณ์มันจะมี Photo Booth หรือตู้ถ่ายภาพให้บริการอยู้ แต่ไม่รู้เปิดบริการตอนไหนบ้างนะ แต่ราคาค่อนข้างโคตรแพงพอสมควร 1 ใบ = 150 บาท ฉะนั้นเตรียมไปเถอะจะได้ไม่เสียเวลา
.
.
.
หลังเตรียมเอกสาร ที่มั่นใจแล้วว่า เขาเชื่อแน่ ๆ ว่าเราไปแล้วไม่หนีชัว ๆ ก็แค่รอวันสัมภาษณ์ และเมื่อถึงวัน เราก้เดินทางไปที่สถานกงสุลอเมริกาได้เลย ควรไปก่อนเวลานัดสัก 1 ชั่วโมงนะ โดยเฉพาะคนที่ขับรถไปเอง เพราะมันไม่มีที่จอดรถ ต้องไปจอดที่วัดห่างไปประมาณ 1 กิโลกว่า ๆ แต่ความช้าคือการรอรถแท็กซี หรือ วินมอไซ นิละ นานมาก หรือถ้าฟิต ๆ ก็เดินลุยไปเลย
.
พอมาถึง ก็มารับบัตรคิวด้านหน้า เดินผ่านประตูเข้าไปผ่านระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเหมือนสนามบินไม่มีผิด ... ที่สำคัญคือ "โทรศัพท์มือถือ" ไม่สามารถนำเข้าไปได้ ต้องปิดเครื่องไว้ และฝากไว้ที่ล็อกเกอร์บริเวณด้านหน้าเท่านั้น จะได้คืนตอนกลับเท่านั้น
.
พอไปถึง ก็รอครับ รอเวลาที่เราจองคิวไว้ พอถึงคิวจะมีน้องเจ้าหน้าที่โต๊ะหน้าห้องเข้าไปสัมภาษณ์ตรวจเอกสาร Comfirmation ของ DS-160, Passport และขอรูปถ่ายมาดู ซึ่งรูปถ่ายควรปัจจุบันที่สุด อย่าใช้แบบถ่ายไว้นานแล้ว เพราะถ้าหน้าแปลกไปมาก เขาไล่ถ่ายใหม่ครับ
.
ผ่านด่านหน้าเสร็จ ก็เข้าสู่ห้องสัมภาษณ์ แถวแรกที่เราต้องไปต่อคือการตรวจอัตลักษณ์บุคคลด้วยการสแกนลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว สอบถามข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเรา ในจุดนี้ยังเป็นเจ้าหน้าที่คนไทยอยู่นะ
.
หลังด่าน 2 เสร็จ ก็เตรียมไปต่อคิวอีกแถว เป็นแถวของจริงก็คือแถวรอสัมภาษณ์ ซึ่งจะมีช่องให้บริการประมาณ 3 - 4 ช่อง สัมภาษณ์โดยเจ้าหน้าที่ต่างชาติ ที่บางคนก็พอพูดไทยได้ บางคนก็พูดไทยไม่ได้เลยวัดดวงเอา เพราะพอถึงคิว ช่่องไหนว่างเขาก็เรียกเข้าเลย ถ้าไปกันเป็นครอบครัว หรือเป็นกลุ่มเขาให้ไปพร้อมกันนะ แต่จะถามแค่คน ๆ เดียว
.
มาถึงเลย คำถามเบสิก "คุณไปทำอะไรที่อเมริกา ไปกันกี่คน ไปกันกี่วัน" เราก็ตอบให้ตรงกับเอกสาร DS-160 ที่เรากรอกเอาไว้ เพราะอย่างที่บอกแอบเห็นว่าเขาเปิดหน้าเอกสารเราไว้ตลอด และต่อจากนั้น เขาก็จะถามหาเอกสารรับรองการทำงาน การเป็นพนักงานของเราแล้วละ เขาอ่านค่อนข้างละเอียดนะ แต่ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ ๆ เขาจะไม่ค่อยถาม ของผมกับแฟนบริษัทค่อนข้างมีชื่อเสียง เขาก็เลยดูเฉย ๆ
.
และในส่วนของคนที่ทำธุรกิจส่วนตัว เช่น พ่อตาเราที่จะไปด้วย เราบอกไปว่า เป็นเกษตรกรทำสวนทำไร่ มีที่ดินของตัวเอง เขาก็จะขอดูหลักฐานเหมือนกัน ที่เราให้เขาคือ เอกสารเกษตรกร และโฉนดที่ดินเขาก็ดูว่าของแทร่ไหม แค่นั้นเอง จากนั้นก็เป็นของในส่วนลูกชายเรา อายุ 1 ขวบ เขาไม่ดูไรมาก ดูสูติบัตร และไปเทียบกับของพ่อแม่ว่าตรงไหม เพราะเขากลัวการลักพาตัวนั้นแหละ
.
ส่วนสิ่งที่เรากังวลที่สุดคือ Statement กลัวว่าเงินมันจะพอผ่านเกณฑ์เขาไหมนะ ... สรุปเจ้าหน้าที่เรา ไม่ดูเลยค้าบบบบ ไม่ขอเลยด้วยซ้ำ แต่บูธข้าง ๆ โดนขอดูนะ ก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่า "แล้วแต่คน" ว่าจะขอดูไหม
.
ส่วนเอกสารอื่น ๆ บางคนก็โดนขอดู บางคนก็เหมือนเรา ไม่ดูอะไรเลย ถาม ๆ จากนั้นก็เสร็จ วิธีที่จะรู้ว่าวีซาเราผ่านไหม ก็คือ ถ้าเจ้าหน้าที่เก็บ Passport เราไป ก็เท่ากับผ่านค่อนข้าง 10000% แต่ถ้าคืนกลับเหมือนป้าข้าง ๆ เรา คือต้องไปเริ่มกระบวนการ 1 ใหม่เลยทีเดียว
.
หลังจากเสร็จการสัมภาษณ์ ก็ออกจากห้องไปรับมือถือ ทรัพย์สินคืน จบกลับบ้านได้ หลังจากนั้นถ้าคุณเลือกว่าให้ส่ง Passport ทางไปรษณีย์ ก็รอ 3 - 4 วันทำารของก็จะมาถึง แต่หากเลือกไปรับเอง เขาก็จะโทรแจ้ง ได้ passport ปุ๊ป ก็จองเที่ยวบินได้เลยคร้าาบบบบบ
.
ยาวหน่อย แต่คิดว่าน่าจะพอเป็นไกด์ หรือมีประโยชน์ต่อคนที่กำลังวางแผนขอวีซาไปเที่ยวเมกา #VISAอเมริกา #ขอวีซา #วีซาท่องเที่ยว