บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เส้นเสียงเสรีนิยม
ในห้วงสงคราม
ผมตั้งใจที่จะเงียบ ในช่วงที่ผ่านมาครับ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง
หนึ่งคือ ผมมีพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรค ที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน เป็นปากเป็นเสียง แทนผมได้อยู่แล้ว ผมจึงไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ
สองคือ อยากเรียนรู้การฟังมากกว่าพูด ฟังเพื่อที่จะตอบสนองไม่ใช่เพื่อที่จะตอบโต้ หลังจากเคยเป็นผู้แทนราษฎรที่ต้องออกความเห็น แสดงจุดยืนและผู้แทนประชาชนแทบทุกเรื่อง
วันนี้ในฐานะพลเมืองธรรมดา จึงอยากพูดเท่าที่จำเป็น หยุด และฟังเสียงอื่นๆ ให้มากขึ้น
ถึงแม้จะยังถูกโจมตี ต่อว่า หรือเยาะเย้ย แต่ผมเลือกที่จะไม่เป็นเชื้อไฟเพิ่มในช่วงเวลาที่สังคมเปราะบาง รอให้อารมณ์สังคมเย็นลงก่อนแล้วค่อยอธิบาย โต้ เท่าที่จำเป็น
และแสดงความคิดเห็น ผ่านช่องทางที่แม่นยำและมีบริบทเหมาะสม อย่าง LinkedIn ที่สื่อสารไปถึงนักการทูตและคนทำงานระหว่างประเทศได้ตรงจุด
ถึงกระนั้น แม้ตอนที่ผมประณามกัมพูชา ที่สั่งยิงปืนเข้ามาในพื้นที่ไทยจนมีเด็กเสียชีวิต “มือเปื้อนเลือด” ก็ตกเป็นประเด็นโดนโจมตี
หรือเมื่อชี้จุดอ่อนเศรษฐกิจกัมพูชา ก็ถูกตีความว่าเห็นเศรษฐกิจสำคัญกว่าประชาธิปไตย ทั้งที่ความตั้งใจตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ล่าสุด เริ่มมีสื่อ มีเพจบางเพจ ชักจะเหมือนขู่ถึงชีวิตกันกลายๆ แล้ว ทั้งๆ ที่ผมเชื่อว่าทหารมืออาชีพไม่ทำอย่างนั้น
ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า ในช่วงภาวะแห่งสงคราม ใครที่เสนอทางออกที่ต่างไป ก็จะกลายเป็นวัตถุดิบทางการเมืองของข่าวปลอม หรือมักถูกมองว่าอ่อนแอหรือไม่รักชาติ
เสียงเสรีนิยมจึงมักถูกกลบด้วยถ้อยคำแข็งกร้าว
คนจำนวนมากต้องการเห็นรัฐบาลที่เข้มแข็งและให้ความมั่นคงมีค่านำเหนือสิทธิมนุษยชนและหลักนิติรัฐ
ผู้ที่อยากรักษาหลักการต้องเผชิญทางเลือกอันยากลำบาก ว่าจะเงียบเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม หรือจะเสี่ยงยืนยันความจริง แม้รู้ดีว่าถ้อยคำเหล่านั้นอาจถูกบิดเบือนและย้อนกลับมาทำร้ายตนเองเท่านั้นหรือ?
ในช่วงที่สังคมอยู่ในภาวะสงคราม ยังจะมีพื้นที่ให้เส้นเสียงเสรีนิยมหรือไม่?
นี่จึงเป็นคำถามที่มาของบทความนี้
เมื่อบทความนี้ตีพิมพ์ ผมจะนั่งอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี มองเมืองที่ผ่านคำถามแบบนี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์สงครามและการล่มสลายของอำนาจมากมาย ก็อดนึกไม่ได้ว่า ทั้งในอดีตและปัจจุบัน “เสียงเสรีนิยม” ดำรงอยู่ได้อย่างไรท่ามกลางความมืดมน
ย้อนกลับไปในยุคมุสโสลินี เสรีนิยมถูกกดทับอย่างรุนแรง รัฐเผด็จการใช้ทหารและสื่อควบคุมทุกอย่าง นักหนังสือพิมพ์และปัญญาชนจำนวนมากถูกจับกุม บางคนต้องลี้ภัย
หรืออย่างอันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) ที่ถูกจำคุกแต่ยังเขียน Prison Notebooks จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง แม้ไฟเสรีนิยมจะถูกบีบ แต่ก็ยังหาทางอยู่รอดในเงามืด
เข้าสู่สงครามเย็น อิตาลีแตกเป็นสองขั้ว ฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ทรงอิทธิพลในหมู่แรงงาน และฝ่ายอนุรักษนิยมที่เชื่อมโยงกับคริสตจักรและตะวันตก
การเมืองตึงเครียดจนแทบหาจุดตรงกลางไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น สังคมก็ยังเปิดพื้นที่ให้เสียงเสรีนิยมบางสาย ทั้งในเรื่องสิทธิแรงงานและการตรวจสอบรัฐบาล
ไม่ใช่เสียงที่ดังที่สุด แต่ก็ไม่เคยหายไป
ทุกวันนี้ อิตาลีกำลังเผชิญความท้าทายใหม่จากการผงาดของขวาจัดและกระแสประชานิยมที่ใช้ความไม่พอใจต่อเศรษฐกิจและผู้อพยพเป็นเชื้อไฟ
เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนปะทุ รัฐบาลเลือกยืนข้างสหภาพยุโรปและนาโตเพื่อปกป้องประเทศเล็กที่ถูกรุกราน
แต่ประชาชนจำนวนมากตั้งคำถามกับค่าพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
บทเรียนคือ เสรีนิยมที่จะอยู่ได้ในยุคนี้ ต้องไม่เพียงยืนหยัดในหลักการสากลเท่านั้น แต่ต้องตอบโจทย์ชีวิตจริงของผู้คนไปพร้อมกัน
บารัก โอบามา (Barack Obama) เคยพูดไว้ในปี 2002 ว่า “I don’t oppose all wars. I oppose dumb wars.” คำพูดนี้ไม่ใช่แค่วาทศิลป์ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ให้เสียงเสรีนิยมในยุคที่สหรัฐเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหลัง 9/11
โอบามายอมรับว่าสงครามบางครั้งเป็นสิ่งจำเป็น เช่น สงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ต้องกล้าบอกว่าสงครามอิรักคือ “สงครามโง่เขลา” เพราะไร้หลักฐานและจะนำไปสู่ความสูญเสียมหาศาล
การแยกแยะเช่นนี้ทำให้เสียงเสรีนิยมไม่ถูกมองว่าไร้เดียงสา แต่กลับดูจริงจังและน่าเชื่อถือ
คําว่า “เสรีนิยม” ไม่ได้มีความหมายเดียว หากแตกออกเป็นหลายเฉด ขึ้นกับเงื่อนไขสังคมและเวลา ซึ่งพอสรุปได้เป็นสี่สายหลักดังนี้
1. เสรีนิยมทางการเมือง (Political Liberalism) ยืนบนหลักนิติรัฐ การถ่วงดุลอำนาจ และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
2. เสรีนิยมเชิงสถาบัน (Pragmatic Liberalism) ยึดหลักการแต่ปรับวิธีการตามสถานการณ์จริง แข็งในเส้นแดงแต่ยืดหยุ่นในยุทธวิธี
3. เสรีนิยมระหว่างประเทศ (International Liberalism) เชื่อในกฎกติกาสากล ความร่วมมือกับพันธมิตร และการป้องกันไม่ให้โลกตกอยู่ใต้อำนาจฝ่ายเดียว
4. เสรีนิยมเชิงปรับตัว (Adaptive Liberalism) การประนีประนอมจนเกินพอดี ยอมอำนาจนิยมมากเกินไปจนสูญเสียแก่นแท้ของเสรีนิยมเอง
เสรีนิยมที่เคร่งครัดจนกลายเป็นตำราเกินไป มักไม่อาจอยู่รอดในโลกจริงที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความไม่แน่นอน มันอาจดูสวยงามในเชิงอุดมคติ แต่ขาดพลังในการโน้มน้าวและเปลี่ยนแปลงสังคมจริงๆ
ตรงกันข้าม เสรีนิยมที่ปรับตัวจนสูญเสียแก่นแท้ หรือที่เรียกว่า Adaptive Liberalism แม้จะเอาตัวรอดได้ในระยะสั้น แต่กลับบ่อนทำลายความชอบธรรมของตนเอง และเปิดทางให้อำนาจนิยมขยายตัวโดยไร้คู่ถ่วง
ฝ่ายที่ยึดหลักการแบบตายตัวจึงไม่อาจสื่อสารกับสังคมได้อย่างแท้จริง ขณะที่ฝ่ายที่ยอมทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดก็จะค่อยๆ สูญหายไปจากภูมิทัศน์ทางการเมือง แล้วทางออกอยู่ตรงไหน? เสรีนิยมที่ไม่ประสงค์จะตกอยู่ใต้อำนาจนิยมจะวางน้ำหนักอย่างไร
นี่คือโจทย์ที่สังคมไทยยังต้องเรียนรู้และถกเถียงร่วมกันต่อไป
พูดแบบหลวมๆ ความคิดของผมในตอนนี้ บางทีปลายทางที่เราต้องการมากที่สุดในห้วงสงครามและความเปราะบาง อาจไม่ใช่การยึดหลักการจนแข็งเกินไป หรือการปรับตัวจนสูญเสียตัวตน
แต่คือเสรีนิยมเชิง Pragmatic ที่รู้จักรักษาเส้นแดงของหลักการ พร้อมกับปรับวิธีการให้สอดคล้องกับเวลาและผู้คน
มันคือเสียงที่อาจไม่ดังที่สุด แต่เปรียบเสมือนเข็มทิศในทะเลคลื่นลมแรง คอยบอกทิศทางโดยไม่หลงไปตามกระแสชั่วคราว และยังคงนำทางผู้คนให้กลับมามองเห็นคุณค่าของเสรีภาพและความยุติธรรมได้อีกครั้ง
นี่คือสิ่งที่สังคมไทยจำเป็นต้องร่วมกันเรียนรู้และก้าวเดินต่อไป
อ้างอิง
– Anderson, Charles W. Pragmatic Liberalism. Chicago : University of Chicago Press, 1990.
– Rawls, John. Political Liberalism. New York : Columbia University Press, 1993.
– Sen, Amartya. Development as Freedom. New York : Alfred A. Knopf, 1999.
– Fukuyama, Francis. Liberalism and Its Discontents. New York : Farrar, Straus and Giroux, 2022.
https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_855863
อ่านแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คนแบบนี้ที่ชนะเลือกตั้งถูกสั่งไม่ให้เป็นนายก ที่เป็นได้คืออุ๊งอิ๊ง อหน. อต.