คดีน้องชมพู่คืออะไร?

น้องชมพู่ คือ ด.ญ.อรวรรณ วงศรีชา อายุ 3 ขวบจากหมู่บ้านกกกอก จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 และถูกพบเป็นศพบนภูเหล็กไฟในอีกไม่กี่วันต่อมา
มติชนออนไลน์
ไทยมีเดียฟันด์

การชันสูตรพบว่าเด็กเสียชีวิตจาก ภาวะขาดน้ำและอาหาร โดยไม่พบบาดแผลรุนแรงหรือหลักฐานถูกล่วงละเมิดทางเพศ
มติชนออนไลน์
ไทยมีเดียฟันด์

เหตุใดผู้ต้องสงสัยคือ “ลุงพล” (นายไชย์พล วิภา)?

ศาลจังหวัดมุกดาหารออก หมายจับเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ระบุว่ามีหลักฐานชี้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการพาเด็กไปยังภูเหล็กไฟ และกระทำการอำพรางศพ, ทอดทิ้งให้เด็กไร้ผู้ดูแลจนถึงแก่ชีวิต และทำการใดๆ กับศพหรือสภาพแวดล้อมก่อนการชันสูตร
มติชนออนไลน์

หลักฐานประกอบด้วย เส้นผมของน้องชมพู่ที่ถูกตัด และพบในรถของลุงพล รวมถึงหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่ชี้ว่ามีการเชื่อมโยงกับเขา
มติชนออนไลน์
Thai PBS

ผลการตัดสินของศาล

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำคุกลุงพล 20 ปี ในข้อหาทำโดยประมาทจนถึงแก่ความตาย และพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปจากบุตรโดยไม่มีเหตุอันควร
Thai PBS+1

ส่วน “ป้าแต๋น” (น.ส.สมพร หลาบโพธิ์) ถูก ยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่ระบุว่าชัดเจนว่าเป็นของเธอโดยตรง
Thai PBS
YouTube

สรุปว่าทำไม?

ศาลมีคำพิพากษาว่า:

มีหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ เช่น เส้นผมและของใช้ที่เชื่อมโยงว่า “ลุงพล” มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพา น้องชมพู่ไปยังที่ที่พบศพ

มีพยานหลักฐานแวดล้อมสนับสนุนว่าเด็กไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้ และมีการวางแผนอำพรางศพ

นำไปสู่การตัดสินว่าเป็น “การกระทำโดยประมาทจนเด็กเสียชีวิต” และ “พรากเด็กโดยไม่มีเหตุอันควร” ซึ่งส่งผลให้ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี
มติชนออนไลน์+1
Thai PBS+1

โอเค งั้นผมเล่าให้ฟังว่า ข่าวลือเรื่อง คุณไสย์ ในคดีน้องชมพู่มันเริ่มยังไง และส่งผลอะไรต่อการสืบสวน
1. จุดเริ่มของข่าวลือ

หลังน้องชมพู่หายไป ชาวบ้านบางส่วนตั้งข้อสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับ การทำพิธีทางไสยศาสตร์

เพราะในพื้นที่อีสานบางชุมชนยังมีความเชื่อเรื่อง พิธีบวงสรวง / การบนบาน / การเสริมดวง ที่อาจต้องใช้ “ของจากเด็ก” เช่น เล็บ เส้นผม หรือเสื้อผ้า

กระแสนี้ยิ่งแรงขึ้นเมื่อมีการพูดถึงคนในหมู่บ้านบางคนที่เคยเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม หรือสนใจเรื่องไสยศาสตร์

2. ทำไมเส้นผมกลายเป็นจุดสนใจ

ตำรวจพบเส้นผมของน้องชมพู่ในรถของลุงพล ซึ่งในมุมชาวบ้านบางคนก็เอามาเชื่อมโยงกับความเชื่อไสยศาสตร์

แต่ในสำนวนคดี ตำรวจใช้เส้นผมเป็น หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงทางกายภาพ ไม่ได้ตีความในเชิงพิธีกรรม

อย่างไรก็ดี ข่าวลือเรื่องไสยศาสตร์ก็ถูกสื่อบางเจ้าเล่นต่อ จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ในช่วงแรก

3. ผลกระทบต่อการสืบสวน

ข่าวลือทำให้การสืบสวนช่วงแรกสับสน เพราะชาวบ้านหลายคนให้ปากคำโดยมีความเชื่อส่วนตัวปนกับข้อเท็จจริง

ตำรวจต้องใช้เวลาตัดข้อมูลที่เป็น “ความเชื่อ” ออกจากข้อมูลที่เป็น “ข้อเท็จจริง”

บางสำนักข่าวก็นำไปทำเป็นสารคดีแนวลึกลับ ทำให้กระแสไสยศาสตร์กลบรายละเอียดทางคดีจริง ๆ ช่วงหนึ่ง

1. ข้อหาที่ศาลตัดสินว่ามีความผิด

ศาลชั้นต้นตัดสินว่า ลุงพล ไม่ได้มีความผิดฐานฆ่าโดยเจตนา (ซึ่งโทษอาจถึงประหาร)
แต่มีความผิดตามข้อหา:

พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปจากผู้ปกครองโดยไม่มีเหตุอันสมควร (โทษสูงสุด 20 ปี)

กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (โทษสูงสุด 10 ปี)

ศาลพิจารณาแล้วว่า หลักฐานไม่พอพิสูจน์ว่า “ตั้งใจฆ่า” หรือ “ทำร้ายโดยตรง”
แต่เชื่อว่าลุงพลพาน้องไปในที่เปลี่ยว ปล่อยให้อยู่ลำพังจนขาดน้ำ-อาหารแล้วเสียชีวิต
2. ทำไมไม่เป็นข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา

หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ (เช่น DNA, ร่องรอยบาดแผล) ไม่สามารถชี้ชัดว่ามีการทำร้ายร่างกายโดยตรงจนตาย

การชันสูตรไม่พบบาดแผลรุนแรงหรือร่องรอยการใช้กำลังเกินกว่าที่จะเกิดจากสภาพแวดล้อม

จึงตีความได้เพียงว่า เป็นการกระทำที่ “ปล่อยปละละเลย” จนเด็กเสียชีวิต → เข้าข่าย “ประมาท” ไม่ใช่ “เจตนา”

3. โทษจึงถูกจำกัด

เพราะข้อหาหนักสุดที่ศาลลงโทษคือ พรากเด็ก + ประมาททำให้ตาย

ศาลใช้โทษรวม 20 ปี (สูงใกล้เพดานข้อหาพรากเด็กแล้ว)

ถ้าในอนาคตศาลอุทธรณ์หรือฎีกาเห็นว่า “มีเจตนาฆ่า” โทษอาจเพิ่มขึ้นมาก

ถ้าคุณอยาก ผมสามารถสรุปให้ดูได้ว่า
“ถ้าหลักฐานแข็งพอเป็นเจตนาฆ่า” → โทษจะเปลี่ยนจาก 20 ปีเป็นอะไรบ้าง  

จากข้อมูลเชิงข่าวที่เปิดเผยในช่วงใกล้วันพิพากษาศาลอุทธรณ์ (วันที่ 13 สิงหาคม 2568) พบว่า ไม่มีคำให้สัมภาษณ์หรือหลักฐานยืนยันชัดเจนจาก "ลุงพล" ว่า "เอาน้องขึ้นไปทำอะไรบนเขา" โดยตรงในสื่อข่าวที่ได้รับการรายงาน ล่าสุดมีเพียงรายงานข่าวว่า:

ก่อนวันตัดสิน ศาลอุทธรณ์ มีรายงานว่า "ลุงพล" ขึ้นไป "ขอพรหลวงปู่ลิ้น" ที่วัดถ้ำผาแอก แต่ไม่ได้ชี้แจงในรายละเอียดว่าขึ้นไปเพื่อสิ่งใดแน่ชัด
YouTube+1

นอกเหนือจากนั้น ไม่มีรายงานสาธารณะที่ยืนยันคำพูดว่าเขาให้เหตุผลหรือชี้แจงว่าเอาน้องขึ้นไปด้วยเพื่อการใด เช่น ไปทำพิธีกรรม ไปส่งพระ หรืออื่น ๆ