- เรื่องเล่าที่เราเห็นหรือฟังมาอาจไม่ใช่เรื่องจริงหรือเป็นเรื่องจริงแค่บางส่วน
- เมื่อฟังเรื่องเล่านั้นเเล้วอย่าปักใจเชื่อจนนำไปสู่ความคิดและการกระทำที่ไม่เข้าท่า
- หากจะนำบทเรียนไปใช้ให้ระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่เราได้ยิินมาอาจจะมีความจริงอีกด้านทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนในอนาคตได้เพราะฉะนั้นต้องรับฟังข้อมูลจากผู้อื่นเสมออย่าใช้อารมณ์พาลไป

หลัก 3 ข้อเอาไปใช้ได้กับวื่อออนไลน์ทุกชนิดครับ

ขออนุญาต​เสริมให้จขกท.นี้นะครับ​ ตอบแทนหลายท่านด้วย​ คือช่วงนี้สภาพจิตใจของคนทั่วไปน่าจะอยู่ในสภาวะอ่อนไหว​จากสถานการณ์​ชายแดน​ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นสงคราม​เต็มรูปแบบนะ ไม่แปลกเลยที่คนในสังคมจะถูกชี้นำชักจูงได้ง่ายมาก​ และอย่างที่รู้ๆกันว่าสติปัญญา​การรู้เท่าทันต่อข้อมูล​ผ่านสื่อของเรานี่ต่ำเตี้ย​เรี่ยดินขนาดไหน​ และสถิติการใช้โซเชียล​ของบ้านเราก็อันดับต้นๆของโลกเลย ดังนั้นถ้าเราเจอคนรู้จัก​ที่หลงไปกับข้อมูล​ที่มันจะเป็นอันตราย​ ผมว่าก็พยามช่วยกันเตือนทักท้วงเท่าที่จะทำได้น่าจะดีนะครับ

ต่อให้เป็นสื่อหลักก็ตาม เราจะเห็นได้ว่าการนำเสนอของสื่อบ้านเรา แต่ไหนแต่ไรคือการซื้อผู้ฟัง
แปลว่าเขาทำอะไรก็ตามที่คนจะให้ความสนใจเยอะ ดังนั้นด้วยนิสัยคนไทยเราส่วนใหญ่ เขาก็จะเน้นความมีอารมณ์ร่วม สร้างสตอรี่ เน้นอารมณ์ความรู้สึก
ผมฟังข่าวแต่ละช่อง เนื้อหา 1นาที น้ำอีก 15 นาที และเป็นการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่
พอเป็นสื่อที่ไม่มีการควบคุมอย่างออนไลน์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ภูมิคุ้มกันต่อการรับสื่อซึ่งน้อยอยู่แล้ว สถานการณ์ที่มีความเป็นความตายของคนจำนวนมากยิ่งถูกลด thresholdลงจนต่ำเตี้ยมากๆ

ความหมายสั้นๆคือ โดนชักจูงง่ายขึ้น ดังนั้นควรต้องระวังมากๆขึ้นกว่าเดิมอีก ตามที่จขพบอกแหละครับ

ปล
คนแก่ที่บ้านนี่ไปเอามาจากไหนไม่รุ้ ล่าสุดมาบอก ดีนะรบครั้งนี้ เราได้ประโยชน์จากที่ลุงต สร้างดาวเทียมไว้ทำให้เห็นตำแหน่งขเมรหมด
และก็ท่านอิมเป็นผู้บัญชาการสั่งให้ทหารโจมตี ต้องให้เครดิตเค้า
ผมนี่เดินหนีอย่างไว