รัฐไทย สื่อไทย และคนไทย ถูกแคมโบเดียปั่นจนหัวหมุนกันไปหมด
จากข่าวไทยและแคมโบเดียช่วงนี้ น่าจะสรุปได้ว่า จริงๆแล้วแทบไม่ได้มีประเด็นใหม่อะไรเลย
เป็นแค่การที่แคมโบเดียเล่นใหญ่ ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นด้านปัญหาปากท้องในประเทศ
ในขณะที่ผู้นำไทยก็อ่อนหัด สื่อก็ถูกปั่นโดยแคมโบเดีย คนไทยก็ถูกปั่นตามๆกันไป
จนหัวหมุนกันไปหมดทุกภาคส่วน
อันนี้สรุปจากคลิป
กัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จฮุนเซนและนายกฮุนมาเนต กำลังใช้ประเด็นข้อพิพาทเขตแดนและปราสาทพระวิหารเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ เพื่อปลุกระดมกระแสชาตินิยมและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาปากท้องของประชาชน การที่กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่วางไว้ล่วงหน้า แม้ว่าศาลจะรับพิจารณาหรือไม่ก็ตาม การกระทำนี้ก็สามารถนำไปขยายผลเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารภายในกัมพูชาได้ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่รับสื่อจากแหล่งข่าวที่ถูกควบคุมเพียงด้านเดียว และข้อมูลทั้งหมดอยู่ภายใต้อิทธิพลของตระกูลผู้นำ
ในขณะเดียวกัน การกระทำของกัมพูชาที่ยื่นเรื่องต่อศาลโลกในระหว่างที่การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ยังไม่สิ้นสุด แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่อาจยอมรับได้ในสายตาประชาคมโลก และเป็นการฉีกกรอบการเจรจาทวิภาคีที่ยึดตามบันทึกความเข้าใจปี 2000 บริบทของการฟ้องร้องในปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อ 63 ปีที่แล้ว ที่การตัดสินของศาลโลกเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 มีอิทธิพลจากสงครามเย็นและผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักกฎหมายเพียงอย่างเดียว การเลือกวันยื่นฟ้องซึ่งตรงกับวันครบรอบ 63 ปีนั้น แสดงให้เห็นถึงการวางแผนที่จงใจ
สำหรับประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนตามการเคลื่อนไหวของกัมพูชา แต่ควรยึดมั่นในกระบวนการทวิภาคี โดยการให้ข้อมูลและแถลงข่าวต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องและเป็นเอกภาพ ผ่านกระทรวงการต่างประเทศและฝ่ายความมั่นคง เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าการประชุม JBC เป็นกลไกที่ถูกต้องและไทยยึดมั่นในหลักการสากล นอกจากนี้ ฝ่ายไทยควรเปิดเผยรายละเอียดของการประชุม JBC ทั้งส่วนที่ตกลงกันได้และส่วนที่ยังค้างคา เพื่อยืนยันความสำคัญของการประชุมดังกล่าว
ในอนาคต หากการเจรจา JBC ไม่เป็นผล การแก้ปัญหาทางอื่นนอกจากศาลโลกและทวิภาคีคือความรุนแรง ซึ่งไทยไม่ควรรุกรานก่อน อย่างไรก็ตาม การกระทำของผู้นำกัมพูชาในปัจจุบันที่พยายามทำให้สถานการณ์ดูรุนแรง เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวและพรรคพวกของตนนั้น คาดว่าศาลโลก ณ กรุงเฮกก็จะไม่รับพิจารณาคดีนี้เพิ่มเติม ดังเช่นกรณีในปี 2556 ที่ศาลไม่ได้ตีความอาณาเขตเฉพาะเจาะจง แต่ให้คงสภาพเดิมและส่งทหารอินโดนีเซียที่เป็นกลางเข้ามาดูแลเพื่อป้องกันการปะทะ ท้ายที่สุดแล้ว การกระทำของสองพ่อลูกนี้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองภายในประเทศของพวกเขา แต่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่แท้จริง และปัญหาจะกลับมาสู่การเจรจาทวิภาคีเช่นเดิม