เอไอเอส “King Of Content Football”
ปฏิบัติการชิง 2 เรือธงแห่งสมรภูมิคอนเทนต์กีฬาของ AIS และ JAS คือ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
6 ปีเต็มที่ “ทรู วิชั่นส์” ถือครองลิขสิทธิ์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตั้งแต่ซีซั่น 2019-20 ถึง 2024-25 ได้รูดม่านปิดฉาก และแปรเปลี่ยนเจ้าของใหม่เรียบร้อย กลายเป็น JAS หรือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ AIS หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 6 ปี นับตั้งแต่ซีซั่น 2025-26 เป็นต้นไป ภายใต้เม็ดเงินลงทุนกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท หรือซีซั่นละประมาณ 3.2 พันล้านบาท
นี่คือคอนเทนต์ “เรือธงลำแรก” ที่ชิงมาได้สำเร็จ
กระทั่งวันที่ 6 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา เรือธงลำที่ 2 ของ AIS และ JAS ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ โดย นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ยืนยันว่า 2 บริษัทดังกล่าว และพันธมิตรเจ้าใหญ่อย่าง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จัดการคว้าลิขสิทธิ์ไทยลีกทุกระดับ รวมถึง ช้าง เอฟเอ คัพ, รีโว่ คัพ, ลีก ยู-21 และ Women’s League 1-2 จำนวน 4 ฤดูกาล ตั้งแต่ซีซั่น 2025-26 จนถึง 2028-29
“ลำนี้” ลงทุนทั้งสิ้น 2,000 ล้านบาท ตลอดสัญญา 4 ปี เฉลี่ยปีละ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ฤดูกาลละ 350 ล้านบาท และค่าผลิตสัญญาณอีก 150 ล้านบาท ต่อซีซั่น
ซึ่งในส่วนของ “ไทยลีก” มีเงื่อนไขต่อสัญญาอีก 2 ฤดูกาล นั่นหมายความว่า มีโอกาสไม่น้อยที่ 2 คอนเทนต์ฟุตบอลลีกที่มีแฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุด ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ ไทยลีก จะมีเจ้าของที่ชื่อว่า AIS และ JAS นานถึง 6 ปีเต็ม
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่คือการพลิกกระดานหน้าประวัติศาสตร์เจ้าของลิขสิทธิ์ฟุตบอลในประเทศไทย เพราะพรีเมียร์ลีก และ ไทยลีก แทบจะครอบคลุมฐานแฟนฟุตบอลในไทย ซึ่งแลกมาด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท
และข่าวดีที่ตามมาสำหรับฟุตบอลไทย คือ การเพิ่มเงินสนับสนุนแก่สโมสรสมาชิก ทั้ง 3 ลีก ตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26
ไทยลีก 1 เพิ่มทีมละ 5 ล้าน เป็น 15 ล้านบาท
ไทยลีก 2 เพิ่มทีมละ 1 ล้าน เป็น 4 ล้านบาท
ไทยลีก 3 เพิ่มทีมละ 2.5 แสนบาท เป็น 1.25 ล้านบาท
รวมสามลีก เป็นเงินประมาณ 400 ล้านบาท ที่จะหมุนเวียนเข้าสู่สโมสรสมาชิก
แม้จะไม่ถึงกับ “อู้ฟู่” แต่ก็คงทำให้สโมสรได้ “ลืมตาอ้าปาก”
และ “การันตี” ได้ว่า จะมียอดเงินสนับสนุนจำนวนนี้อย่างน้อยอีก 4 ฤดูกาลเต็ม
ซึ่งการคว้า 2 ตัวท็อปคอนเทนต์ฟุตบอลเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของ AIS ก็น่าจะเสริมพลังให้กล่อง AIS Play และ แอพ AIS Play สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ให้ “ย้ายค่ายเบอร์เดิม” สู่จักรวาลสีเขียว ได้แบบเยอะขึ้นแน่นอน
แม้ที่ผ่านมา ”AIS Play“ ถือเป็นหนึ่งใน OTT ที่ลุยธุรกิจการถ่ายทอดสดกีฬา กวาดต้อนคอนเทนต์กีฬามากมาย ไม่ว่าจะระดับโลก ระดับทวีป และระดับชาติ ทั้ง โอลิมปิก เกมส์, พาราลิมปิก เกมส์, เอเชียนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์, เอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว, ฟุตบอลเจลีก รวมถึงฟุตบอลทีมชาติไทย และไทยลีก ก็เคยผ่านมาแล้ว
แต่ครั้งนี้ คงไม่เหมือนเดิม เพราะได้ “แม่เหล็กชิ้นใหญ่ที่สุด” ในการดึงดูดลูกค้า ที่ชื่อว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เข้าอยู่ในตะกร้า ร่วมกับฟุตบอลไทยลีก พร้อมทั้งยังมีแพคเกจเสริมของ BeIN Sports ที่มี ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก, บุนเดสลีกา เยอรมัน และ ลาลีกา สเปน คอยมัดใจลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก
สำหรับราคาล่าสุดต่อเดือน ถ้าใช้เครือข่าย AIS เท่าที่พอจะอัพเดทได้ อย่างไม่เป็นทางการ
พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ ประมาณ 300 บาทนิดๆ
แพคเกจเสริม BeIN ประมาณ 300 บาท
ไทยลีก ทั้ง 3 ระดับ บวกฟุตบอลถ้วยในประเทศ ประมาณ 200 บาท
ราคาคร่าวๆ 800 บาท ต่อเดือน
หรือประมาณ 8,000 บาท ต่อฤดูกาล
ถ้าได้สัก 5 แสนยูสเซอร์ต่อปี ก็เท่ากับ 4 พันล้านบาท ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้ง อินเทอร์เนตบ้าน หรือ ค่ามือถือที่บวกเข้าไปจากลูกค้า
และถ้ามีเม็ดเงินของแฟนกีฬาเข้าไปในระบบ ก็น่าจะมีคอนเทนต์กีฬาอื่นๆ เข้ามาได้อีก เริ่มจากฟุตบอล ก่อนขยายไปที่กีฬาอื่นๆ หรือมหกรรมกีฬาต่างๆ
การจู่โจมแบบเล็งเป้าใหญ่ของฝั่งสีเขียวครั้งนี้
ถ้าดีเดย์ฟุตบอลลีก ออกสตาร์ทเมื่อไร คงพูดได้เต็มปากว่า “King Of Content Football” ได้เปลี่ยนสีเรียบร้อย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การชิงเรือธงมาได้ เป็นแค่จุดเริ่มต้น
เพราะแม้จะใหญ่ และแข็งแกร่ง
แต่ระหว่างที่แล่นไป ย่อมเจอทั้งคลื่นลมแรง และอุปสรรค
หากผ่านไปได้ ก็น่าจะมัดใจลูกค้ากันได้ยาวๆ
อย่างน้อยก็ 4-6 ปีนับจากนี้
ยินดีต้อนรับ และเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในวันที่ พรีเมียร์ลีก และ ไทยลีก
เข้าสู่ยุคของ “AIS & JAS”
Cr.จอน
ทรู ตอนนี้เงียบๆอยู่ดูว่าจะมีอะไรเป็นไม้เด็ดบ้าง