โธมัส แฟรงค์ ปรัชญามหายืดหยุ่นของกุนซือต้นทุนต่ำ
โธมัส แฟรงค์ เคยเกือบโดนไล่ออกจาก เบรนท์ฟอร์ด
ตั้งแต่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมเต็มตัวในปี 2018
เพราะทีมชนะแค่เกมเดียวใน 10 เกมแรก
แถมรูปแบบการเล่นก็ดูมั่วซั่วไม่น่าไว้ใจจนโดนแซวว่า "เป็นได้แค่โค้ชบอลเด็ก 7 ขวบ"
แต่ตอนนี้กุนซือชาวเดนมาร์ก กำลังไต่ระดับไปอีกขั้นหลังคุมเบรนท์ฟอร์ดมานาน 7 ปี
และพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 74 ปี
ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากนโยบายเข้มสุดขั้วของบอร์ดบริหารผึ้งพิฆาต
ที่กล้าพนันกับทุกคำปรามาสว่า "แฟรงค์คือคนที่ใช่"
จากโค้ชโนเนมจากเดนมาร์กที่เข้ามาทำหน้าที่วางกรวย
… โธมัส แฟรงค์ ยกระดับตัวเองจนได้งานที่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ได้อย่างไร ?
∎ พนันกับผมไหมล่ะ ?
เบรนท์ฟอร์ด พวกเขาใช้เวลาแค่ 10 ปีเท่านั้นในการพาทีมมาถึงจุดที่อยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้สบาย ๆ
และส่วนหนึ่งก็ต้องให้เครดิตกับ โธมัส แฟรงค์ ไม่น้อย
ช่วงเวลาการก้าวกระโดดของ เบรนท์ฟอร์ด เกิดขึ้นในช่วงที่ แมทธิว เบนแฮม เซียนพนันและเจ้าของ Smartodds บริษัทที่รวบรวมสถิติ, แนะนำคำปรึกษา, และวิเคราะห์ให้ลูกค้า เพื่อการเลือกเดิมพันที่ฉลาดที่สุด เข้ามาซื้อทีมเมื่อปี 2012 ... แนวคิดด้านสถิติถือเป็นเรื่องใหม่เมื่อช่วงเวลานั้น โดย เบนแฮม เชื่อเรื่องสถิติและตัวเลขมากกว่าสิ่งที่ตัดสินด้วยสายตา อารมณ์ และความรู้สึกเท่านั้น
เขาตัดสินใจเปลี่ยนใช้ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อเปลี่ยนแปลงการวิเคราะห์ทีม เบรนท์ฟอร์ด
แนวคิดแบบ Money Ball เกิดขึ้นในระบบการสรรหาบุคลากรของทีม ไล่ตั้งแต่ทีมงานหลังบ้านจนถึงนักเตะในทีม จากนั้น เบรนท์ฟอร์ด จึงค่อย ๆ เป็นทีมประเภทซื้อมา-ขายไป โดยยึดหลัก ซื้อถูก-ขายแพง
นโยบายนี้ทำให้ทีมยกระดับตัวเองจากลีกวัน จนขึ้นมาอยู่ในระดับ แชมเปี้ยนชิพ และทุกอย่างสุกงอมพร้อมสำหรับการขึ้นไปเล่นลีกสูงสุด ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องหาใครสักคนเพื่อพาทีมไปยังเป้าหมายนั้น
ตามหลักแล้วทีมใน แชมเปี้ยนชิพ ช่วงปลายยุค 2010s มักจะเลือกโค้ชในแบบที่มีประสบการณ์เคยพาทีมเลื่อนชั้น เป็นโค้ชท้องถิ่นที่รู้วิธีอยู่รอด เราจึงได้เห็นโค้ชอย่าง สตีฟ บรูซ, นีล วอร์น็อค, พอล แลมเบิร์ต, มาร์ค ฮิวจ์ส หรือ แซม อัลลาร์ไดซ์ ได้งานทำทีมในระดับ เลื่อนชั้น-ตกชั้น อยู่บ่อย ๆ
แต่แนวคิดของ เบนแฮม นั้นค่อนข้างเซอร์ไพรส์
เพราะในปี 2018 สถิติที่เขาและทีมงานบอร์ดบริหารหลังบ้านมีอยู่ในมือ
กลับชี้ชัดว่าโค้ชโนเนมจากเดนมาร์ก คนที่เคยมีประสบการณ์คุมทีมในระดับอาชีพแค่ 3 ปี
อย่าง โธมัส แฟรงค์ คือคนที่ใช่ที่สุด
ซึ่งเหตุผลนั้นก็ชวนให้หลายฝ่ายประหลาดใจ เพราะนอกจากประสบการณ์จะน้อยแล้ว แฟรงค์ ยังไม่เคยเป็นนักเตะอาชีพมาก่อน เรียกได้ว่าไม่มีประสบการณ์ทั้งในทางตรง และทางอ้อม
ถึงขั้นที่สื่ออย่าง BBC ยังเขียนพาดหัวแซวว่า "โค้ชใหม่ของ เบรนท์ฟอร์ด ผู้มีประสบการณ์คุมทีมอายุไม่เกิน 8 ปีในเดนมาร์ก" ... ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง เพราะ โธมัส แฟรงค์ เริ่มงานแรกกับทีม Frederiksvaerk รุ่นอายุไม่เกิน 8 ขวบ
แม้จะโดนปรามาสจากสื่อและแฟนบอล แต่ เบนแฮม พยายามจะท้าทายกับทุกคนที่ปรามาสเข้ามาว่า "พนันกับผมไหมล่ะว่าเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดี" ซึ่งเหตุผลที่เขาพูดแบบนั้น ก็เพราะ แฟรงค์ เป็นคนที่พูดคุยและสื่อสารจากคนองค์กรได้ดีมากทั้งคนในระดับที่ต่ำกว่า และคนในระดับที่สูงกว่า เขาสามารถอธิบายแนวคิดของตัวเองได้ว่าคืออะไร และสิ่งไหนคือปัญหาที่ทีมเป็นอยู่เวลานั้น ... ว่าง่าย ๆ ก็คือทุกอย่างภายใต้งานของเขาล้วนมีเหตุผลหาใช่ข้อแก้ตัว นั่นคือสิ่งที่ทุกคนใน เบรนท์ฟอร์ด เชื่อมั่นในตัวของเขา
∎ ฟุตบอลไม่ควรตัน
ตามข้อมูลที่ทีมหลังบ้าน เบรนท์ฟอร์ด ได้รับเกี่ยวกับ แฟรงค์ ก็คือเขาเป็นโค้ชที่ขึ้นชื่อเรื่องความยืดหยุ่น สามารถทำทีมได้หลากหลายสไตล์ ไม่ตายตัว ปรับเกมให้เหมาะกับกลยุทธ์ของคู่แข่งเสมอ ซึ่งถ้าคุณดู เบรนท์ฟอร์ด มาตลอดนับตั้งแต่พวกเขาขึ้นมาพรีเมียร์ลีก คุณก็จะพบว่านั่นเป็นเรื่องไม่เกินจริง เบรนท์ฟอร์ด ของ แฟรงค์ เล่นหลายระบบมาก ๆ ทั้ง 3-4-3, 3-5-2, 4-4-2, และ 4-3-3 อีกทั้งประสบการณ์การคุมทีมชาติเดนมาร์กชุดเยาวชน ก็แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นกุนซือที่เล่นฟุตบอลเน้นผลได้เก่ง กลยุทธ์ที่เลือกใช้หลากหลายเพื่อปลายทางสู่ชัยชนะ
ความยืดหยุ่นทางกลยุทธ์ และความเป็นหนอนแท็คติกที่หมกมุ่นกับฟุตบอลตลอดเวลา ศึกษาทั้งศาสตร์ฟุตบอลจากโค้ชยุคเก่า และโมเดิร์นฟุตบอลแบบสมัยใหม่ ทำให้ เบรนท์ฟอร์ด เริ่มต้นด้วยการจ้างแฟรงค์เข้ามาเป็นมือขวาของ ดีน สมิธ ก่อนในปี 2015
แต่หลังจากผ่านไป ปี ดีน สมิธ ก็ไม่สามารถทำทีมไปยังเป้าหมายที่ทีมตั้งไว้ได้ ทำให้บอร์ดบริหารเลือก แฟรงค์ เข้ามาทำงานแทน และนี่แทบจะเป็นงานใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของเขา
เดินที แฟรงค์ เป็นคนที่รับกลุยทธ์จาก สมิธ มากระจายต่อทีมให้เตรียมพร้อมสำหรับการฝึกซ้อม
ภาพที่ทุกคนเห็นคือการที่เขาเดินถือกระดานไวท์บอร์ดและอธิบายแท็คติก
แบบที่โค้ชใหญ่สั่งมาให้กับนักเตะทุกคนได้ดูแบบรายตัว
เรียกได้ว่าตั้งแต่วางกรวย นัดหมาย สื่อสาร และอธิบายแท็คติก คือสิ่งที่ แฟรงค์
ทำมาตั้งแต่เป็นผู้ช่วยโค้ชแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเขาขึ้นมาเป็นใหญ่จริง ๆ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ซึ่งเขาก็ได้พบความจริงข้อนี้เพราะ 10 เกมแรก แฟรงค์ พาทีมชนะแค่เกมเดียวเท่านั้น
จากทีมระดับกลางตารางใน แชมเปี้ยนชิพ เขาพาทีมเข้าไปใกล้โซนตกชั้นเรื่อย ๆ
แต่เบนแฮม และทีมหลังบ้าน ก็ยังเชื่อใจในการทำงานของ แฟรงค์ เป็นอย่างมาก
สิ่งที่ทำให้เชื่อก็คือสถิติและตัวเลขต่าง ๆ เช่นการครองบอลกับตัว การแย่งลูกกลางอากาศ
เข้าเข้าปะทะแย่งบอลคู่แข่ง และสถิติอีกหลายอย่างบอกว่าแม้ชนะเกมเดียวในรอบ 10 นัด
แต่ตัวเลขเบื้องหลังมันดีขึ้นจริง ตรงตามเป้าหมายที่เคยได้คุยกันไว้
นั่นคือการทำทีมที่จะกลายเป็นจุดแข็งของทีมในภายหลัง
ซึ่งมันก็แบบนั้นจริง ๆ เมื่อพ้น 10 เกมแรกที่ยากลำบาก แฟรงค์
เริ่มเปลี่ยนวัฒนธรรมในห้องแต่งตัวของทีมได้สำเร็จ เขาไม่เคยยึดมั่นกับนักเตะระดับสตาร์ประจำทีม
เขาเชื่อมั่นในแง่ภาพรวมเท่านั้น และเหนือสิ่งอื่นใดที่เขาประกาศต่อลูกทีมคนอื่น ๆ บ่อยก็คือ
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เขาจะให้เวลาทุกคนมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งนั้นแค่ 24 ชั่วโมง
... จากนั้นทุกคนจะต้องกลับมาตั้งสมาธิเพื่อเอาชนะในเกมต่อไป
ลูกทีมหลาย ๆ คนพูดตรงกันเกือบหมดในแง่ของการที่เขาเป็นกุนซือที่เนี้ยบ
และใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ ในเชิงแท็คติกเป็นอย่างมาก
เพราะเขาเชื่อเสมอว่าระบบที่ดี จะทำให้ผู้เล่นในทีมเล่นได้ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ
โดยต้องมีข้อแม้ทุกคนต้องมองเป้าหมายเดียวกัน และไม่มี "พวกนิสัยแย่" อยู่ในทีม
"เขาเป็นกุนซือที่ละเอียดสุด ๆ เขาถึงขั้นวางแผนเปลี่ยนตัวล่วงหน้าก่อนเกมจะเริ่ม
และมักใช้ไวท์บอร์ดอธิบายแท็กติกระหว่างเกม เขาออกคำสั่งจากข้างสนามอย่างเข้มข้น
แต่ก็เป็นคนเปิดใจ ฟังความคิดเห็นจากนักเตะเสมอ
ระบบการทำทีมที่ชัดเจน และโค้ชที่บ้าเรื่องแท็คติกและสถิติตัวเลขอย่าง แฟรงค์
เหมือนคนที่สโมสร เบรนท์ฟอร์ด รอคอย เพราะทีมก็มักจะซื้อนักเตะจากดาต้า
ที่พวกเขาเก็บมาอย่างละเอียด จากนั้นทุกฝ่ายจะมาคุยกันว่านักเตะคนนี้เหมาะกับทีม
และจะทำกำไรในอนาคตได้หรือไม่ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นจริงแล้วในตอนนี้
เบรนท์ฟอร์ด ซื้อถูก-ขายแพง หลายดีล และเมื่อเสียตัวหลักพวกเขาก็อยู่ได้ด้วยระบบที่ดี
ซึ่งทำให้ทีมจากที่เคยหนีตายในฤดูกาล 2019-20
กลายเป็นทีมที่เข้า[เพลย์ออฟ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน
และสุดท้ายก็สามารถขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 2021-22
∎ ระบบนำสตาร์
เมื่อขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีก เบรนท์ฟอร์ด กลายเป็นตัวแสบของทีมใหญ่แทบจะทันที
และไม่เคยมีซีซั่นไหนเลยที่พวกเขาต้องกระเสือกกระสนหนีตายในช่วงท้ายซีซั่น
เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะกลยุทธ์ที่หลากหลายไม่ยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง
ถ้าเจอทีมมาตรฐานไล่ ๆ กันหรือต่ำกว่า เบรนท์ฟอร์ด จะเดินเกมใส่แบบฟุตบอลไดเร็กต์อย่างรวดเร็ว
กล้าได้กล้าเสีย ฆ่าได้ต้องฆ่า มันจึงทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ยิงประตูได้เยอะตลอด
และสร้างนักเตะแนวรุกชั้นดีขึ้นมามากมาย
ขณะที่ในบางเกมกับทีมใหญ่ที่มาตรฐานเหนือกว่า เขาก็มักจะปรับทีมให้รัดกุมมากขึ้น
เช่นการปรับมาเล่นแบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ใช้วิงแบ็กโจมตี
แถมยังมีเรื่องสถิติตัวเลขต่าง ๆ ที่ทำให้พวกเขาเป็นทีมแรกของพรีเมียร์ลีก
ที่มีโค้ชลูกตั้งเตะเป็นของตัวเอง และกลายเป็นทีเด็ดที่ทำให้พวกเขาได้แต้มจากลูกเตะมุม ฟรีคิก
หรือแม้กระทั่งลูกทุ่มมามากมาย และทุกวันนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ทุกทีมในลีกทำตามไปเรียบร้อยแล้ว
ลี โซเรนเซ่น อดีตแข้งเดนมาร์ก ได้พูดถึงแฟรงค์ในเวลานั้นว่า
"โธมัส มองหาพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเกมเสมอ และมีแผนสำหรับทุกสถานการณ์ที่ทีมจะต้องเผชิญหน้า"
"เขามักจะมีแผน A B และ C อยู่ตลอดเวลา และเขาเรียบเรียงมันอย่างมีขั้นตอน
ชัดเจนว่าจะทำอะะไรในแต่ละช่วงของเกม คุณจะได้เห็นทีมของเขาว่าในบางจังหวะ
พวกเขาก็ต่อบอลด้วยการบิลด์อัพจากแดนหลังแบบช้า ๆ
แต่พอถึงเวลาต้องไล่บี้กดดันเอาบอลกลับมาเล่นจากคู่แข่่ง ทีมของแฟรงค์ก็จะเปลี่ยนจังหวะของเกมอย่างรวดเร็ว"
นอกจากการยืดหยุ่นที่ทำได้ดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ แฟรงค์ เก่งมาก ๆ
คือการพัฒนานักเตะที่มีในมือ ให้ตอบโจทย์ในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
คุณไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล เพราะเขาคือคนที่เปลี่ยน ไอแวน โทนี่ย์, ดาบิด รายา และ ไบรอัน เอ็มเบอโม่
ให้กลายเป็นผู้เล่นระดับท็อปของลีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นนักเตะที่ค้าแข้งในลีกรองเท่านั้น
เขาเชื่อมั่นในกระบวนการพัฒนาตัวบุคคลมากกว่าชื่อเสียง
ไม่เคยมีปัญหากับการซื้อนักเตะโนเนมในงบที่จำกัดเลย
เพียงแต่ทุกคนที่ทีมจะซื้อนั้น เขาจะต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาว่า จะเหมาะสมกับทีมหรือไม่
หรือเป็นนักเตะที่สามารถพัฒนาตัวเองได้มากแค่ไหน
ซึ่งเมื่อบวกกับการที่ เบรนท์ฟอร์ด เป็นสโมสรที่บ้าสถิติและตัวเลข
มันจึงทำให้เขาสนุกกับการทดสอบสิ่งต่าง ๆ มากมาย และหลายครั้งมันออกมาเวิร์กอย่างไม่น่าเชื่อ
แฟรงค์ คือคนที่เปลี่ยน โอลลี่ วัตกินส์ จากนักเตะในตำแหน่งปีกให้กลายเป็นกองหน้าตัวเป้า
ซึ่งสุดท้าย วัตกินส์ ก็กลายเป็นกองหน้าระดับทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่
นอกจากนี้ยังดึงศักยภาพของ โยอัน วิสซ่า และเอ็มเบอโม่ออกมาเต็มที่
ในระกบบตัวรุกที่สามารถสลับตำแหน่งกันได้ตลอดเวลา ไม่มีจุดยืนที่ตายตัว
ไหนจะยังมีเรื่องการอดทนและเฝ้ารอ มิกเกล ดัมส์การ์ด ที่เจ็บยาวถึง 2 ปี
ที่สโมสรทำท่าจะขายแหล่ไม่ขายแหล่เพื่อลดค่าเหนื่อยรวม
แตสุดท้ายแฟรงค์ ก็สามารถแจกแจงกับทีมหลังบ้านได้ว่า ถ้า ดัมส์การ์ด ฟิต เขาจะช่วยอะไรทีมได้บ้าง
แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะในฤดูกาล 2024-25 ดัมส์การ์ด กลายเป็นตัวแอสซิสต์หลักของทีม
และยังเป็นนักเตะที่แย่งบอลในแดนของคู่แข่งได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทีมอีกด้วย
"โธมัสทำงานละเอียดมาก เท่าที่ผมเคยร่วมงานมา เขาทำให้ทุกคนเข้าใจบทบาทของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เปิดรับความเห็นจากนักเตะ แต่ก็มีความรู้มากพอในการตัดสินใจ" เบน มี กองหลังของทีมสรุปความยอดเยี่ยมของเจ้านายเขาไว้แบบนี้
ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา โธมัส แฟรงค์ พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานการคุมทีมในงบที่จำกัดได้อย่างยอดเยี่ยม
"เบรนท์ฟอร์ด เป็นทีมที่บ้ามาก พวกเขาตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสียในเกมที่พวกเขาเหนือกว่า และยังสามารถเป็นทีมที่หนักหน่วง-เหนียวแน่นในเวลาเจอทีมที่มาตรฐานาสูงกว่า
... คำชมทั้งหมดคงต้องยกให้ โธมัส แฟรงค์ กุนซือของพวกเขา"
เธียร์รี่ อองรี ตำนานพรีเมียร์ลีกที่ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์เกมทาง โทรทัศน์ ยกย่องแฟรงค์
หลังจากรู้ว่าเขาจะได้คุมทีม สเปอร์ส ซึ่งกำลังจะเป็นพาร์ทต่อไปที่ท้าทายในตำแหน่งกุนซือของเขา
เครดิต Main Stand
-----------
ผมต้องทอนบางช่วงออกไป เพราะยาวมากๆ
อ่านบทความเต็มๆได้ที่เพจ Main Stand นะครับ