ก็ไม่จำเป็นขนาดนั้นนะ สำคัญคือพวกชนชั้นนำมันไม่ควรจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนได้ ถ้าพวกมันรวมตัวไม่ได้

มันจะเริ่มเขียนกฏหมายลดทอนอำนาจกันเอง จนสุดท้ายประชาชนจะเป็นใหญ่ได้จริงๆ แต่ปัจจุบันมันดันรวมตัว

เป็นเนื้อเดียวกันแล้วนั่นแหล่ะ ดังนั้นคงต้องรอให้พวกมันไม่สามารถแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์กันลงตัวก่อน

พูดง่ายๆรอพวกมันแตกคอกันเองก่อน ประชาชนถึงจะมีโอกาส ที่จริงโอกาสที่ว่าเคยผ่านมาครั้งหนึ่งแล้วแต่มีคน

คนหนึ่งในอดีตที่ทำพลาด โอกาสที่ว่าเลยหายไปกับสายลมซะงั้น

ส่วนในปัจจุบันก็ทำใจไปก่อน แค่อย่ารื้อฟื้นวาทะกรรมมาลดทอนคุณค่าคนไทยด้วยกันเองจะดีที่สุดครับ

การเมืองท้องถิ่นเป็นแบบที่คุณว่าจริง ปัจจุบัน อสม.มีบทบาทเยอะมากนะทำเป็นเล่นไป

แล้วแต่จะคิด แล้วแต่มุมมองแต่ละคนครับ คุณอาจคิดแบบนั้นในมุมคุณ แต่ผมทำงาน หรือบริหารงานในแผนก ผมมองความถูกต้องตามหลักการ ให้โอกาสผมให้แต่เฉพาะคนมีความพร้อมครับ ใครไม่มีความรู้ในด้านนั้นแต่อยากมีส่วนร่วม ไปอยู่แผนกอื่นครับผม หน่วยผม ใครอยากมีส่วนร่วมไปเรียนไปศึกษาให้พร้อมก่อน ไม่มีก็ไปทำงานทั่วไป การตัดสินใจจะเรื่องอะไรมันต้องมีคนรับผิดชอบเสมอ เสียงข้างมากแต่โง่ผมนับว่าเป็นเสียงนกเสียงกาครับ เพราะถ้าเกิดปัญหา ก็ต้องให้คนที่มีความรู้กว่ามาตามแก้

การเมืองท้องถิ่นวัดกันที่ กลุ่มใครดูแลพวกตรูแยะกว่า พวกตรูก็เลือกคนนั้น ไม่งั้นจะมีกลุ่มบ้านใหญ่เยอะแยะเต็มประเทศหรือ บางบ้านยึดหัวหาดแทบทั้งจังหวัด

ส่วนการเมืองระดับประเทศก็วัดตอนช่วงเลือกตั้ง ใครกระแสมาคนนั้นก็ชนะ popular vote

งั้นก้คงไม่มีวันนั้น อีกร้อยปีก้ไม่มีวันั้น มันจับกันแน่นทุกฝ่ายแบบนี้


แล้วคนไทยก้ใจเสาะแบบนี้ ไม่มีทางอะ



ส่วนวาทะกรรม วาทะกรรมอะไร

ที่บอกว่าควรมีการสอบเร่องความรุ้การเมืองอะนะ

ผมว่าพอเรามองความคิดเรื่อง เสียงคุณภาพ
สุดท้ายมันเลยเป็นที่มาว่า ทำไมรถไฟฟ้าถึงมีแต่ กทม

ผมมองว่า บริบท ต่างจังหวัดอะ มันยังต่างกับสังคมเมืองเยอะ
แค่แท็กซี่ หรือ วิน ก็มีแค่จังหวัดใหญ่จริงๆเอง
เวลาจะมา รพ เลยต้องมากันยกหมู่บ้าน มาพร้อมกัน รอกันจนเสร็จครบทุกคน ค่อยกลับด้วยกัน
แต่ไม่ได้แปลว่าคนพวกนี้ยากลำบากนะ และ คนเหล่านี้เค้าก็ไม่เคยมองว่าตัวเองลำบาก
กลับกันผมมองว่ามันเป็นวิถีชุมชนของเค้า
ดังนั้นคนที่จะชนะใจเค้าเลยต้องเป็นคนที่เข้าใจชุมชนนั้นจริงๆ

ตัวอย่างที่ชัดเลยคือ เรื่อง อสม นี่แหละ ที่เป็นผู้เชื่อมนักการเมือง กับ ชาวบ้าน
เพราะ อสม หลายๆคนก็คือคนในท้องที่ ที่โตมาด้วยกัน และ ผมเชื่อว่าสิ่งที่ อสม แต่ละคนขอความช่วยเหลือ
มันแทบจะไม่ได้ขนหน้าแข้งร่วงเลยสำหรับ นักการเมืองระดับ 1000 ล้าน
แล้วประโยชน์ในการลงทุนกับ อสม มันขนาดไหน
เรียกได้ว่าสามารถทำให้คุณต่อรองได้ทุกยุคอะ ไม่ว่าใครจะเป็นใหญ่ 55


พอดีคนแชร์ข้อมูลนี้เยอะพอดี ขออนุญาตแบ่งปันหน่อยนะครับ
https://www.facebook.com/share/p/12HZaMRDfYa/?mibextid=wwXIfr

อันนี้ที่จริงไม่ใช่แค่ที่นี่
แต่ ร้านอื่นๆที่ลงทุนพอกัน ทำให้เหมิอนร้านใน กทม
ทุกร้านแนวนี้ในราชบุรี มีอายุประมาณ 2-3 ปี แล้วก็ตายจากตลอด

กลับกันร้านที่รอดคือร้านที่เข้าใจวิถีคนท้องถิ่น และ โตมากับคนที่นี่
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างซักร้านผมขอยกตัวอย่างเบเกอรี่ร้านดังจังหวัดใกล้ๆ
และมีสาขาที่ราชรีเป็นที่แรกๆ คือ ร้านศรีฟ้า
เชื่อไหมว่าผมไม่เคยมีความคิดที่จะกินร้านนี้เลยตอนผมทำงานอยู่ที่นี่มาหลายปี
มากินครั้งแรกที่กทมเมื่อเร็วๆนี้
มันจะมีขนมปังตัวนึงที่เบเกอรี่หลายร้านฮิตทำกันช่วงเร็วๆนี้
ร้านทั่วไปขายชิ้นละ 60-80 ใน Grab (เดาว่าหน้าร้านคงซัก40-50)
ร้านนี้ขาย 3 ชิ้น ไม่ถึง 40 ราคาตามที่ราชรีเลย
แล้วคือ รสชาติผมบอกเลยว่า ผมกลับไปซื้อวันถัดไปแน่ๆ
ต้องบอกก่อนว่ามันอาจจะไม่ใช่รสชาติแบบต้นตำหรับ เพราะต้นตำหรับมันจะนุ่มๆ เด้งๆ แป้งเบาๆ
แต่เค้าพัฒนาให้รสชาติเข้ากับคนไทยคือ กรอบนอกนุ่มใน texture คล้ายแป้งพิซซ่าเจ้าดัง
และที่สำคัญคือถูกกว่า3-4 เท่า

สิ่งที่ผมจะบอกก็คือเราไม่สามารถให้ value กับทุกอย่างตามมาตรฐานเราได้
เพราะ คุณค่าและความชอบ มันต้องอยู่บนพื้นฐานของสังคมนั้น
ผมกล้าพูดเลยว่าคนไทยเป็นชาติที่ Nostalgia มากๆ อะไรที่ดีอยู่แล้ว ถ้ามันไม่เจ๋งจริง โคตรจะ disrupt ยากมาก
สิ่งที่จะทำให้คนไทยยอม change ก็มักจะเริ่มจากคนข้างๆใกล้ตัว
เป็นที่มาของป้าข้างบ้าน ลุงข้างบ้าน ซึ่งพวกนี้บางส่วนก็เปฺ็น อสม นั่นแหละ 55

เพราะตัวตนที่จริงของสังคมไทย ใน ตจว หรือ สังคมไทยในอดีตมันมีความเกื้อกูล และ ความเป็น Family สูง
โดยเฉพาะความเกื้อกูล มันโคตร value เกินกว่าที่ผมจะวัดค่าได้จริงๆ
มันคือคุณค่าที่หาได้ยากในสังคมเมืองจริงๆ
ดังนั้นไม่แปลกถ้าเค้าจะ เทใจ ให้พรรคการเมืองดีให้การดูแลเค้าดี แต่ขัดใจสายตาประชาชนอีกกลุ่ม
เพราะมันก็ตอบโจทย์ของเค้าจริงๆนั่นแหละ

Hypocrite ชิบหายย คนบอร์ดนี้แม่งยังด่าคนไม่เลือกพรรคส้มว่าควายอยู่เลย ทีงี้แม่งหล่อกันทุกคน อสกฮ

สลิ่ม กปปส ก็คิดงี้

คุณยอมให้ สลิ่ม 1 คน มีเสียงเท่า คุณ 10 คน มั้ยละครับ



หรือ ว่า คุณเองก็เป็นสลิ่ม รีแบรนด์ เพราะ สลิ่ม จะชอบมีเสียงดังกว่าคนอื่น

ถ้าเอากลางๆ ก้จะทำไงให้เสียงข้างน้อย มีสิทธิพูดมั่งอะ

ผมเคยคิดว่าทุกคนควรได้หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงนะ แต่ยิ่งโตมันก็ยิ่งเห็นว่ามันก็มีจุดอ่อนของมันที่ค่อนข้างชัด
คือยังไงทุกประเทศมันก็จะมีกลุ่มคนที่ด้อย แล้วก็จะมีนักการเมืองที่คอยจะจ้องฉวยโอกาสจาก Loop Hole นี้

ผมไม่เห็นด้วยเรื่องการตัดคนด้วยการศึกษา เพราะแค่นิยามของการศึกษาที่มีคุณภาพยังไม่ตรงกันเลย

แต่มันก็มีแนวคิดอื่นว่า แล้วถ้าเลือกตั้งตามฐานผู้เสียภาษีล่ะ จะเงินได้ หรือ Freelance หรือผู้ประกอบการ หรือภาษีอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ภาษีบริโภค มันจะดีกว่าหรือไม่ การเลือกตั้งควรให้สิทธิกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการชำระภาษีหรือไม่ อีกอย่างคือกลุ่มที่พยายามหลบภาษีก็จะโดนลงโทษไปในตัวว่าถูกริดรอนสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเอาจริงๆผมว่าสมควร

ผมว่ามันก็ชวนคิดนะ

ขยายความคือจ่ายภาษีมากหรือน้อยก็ 1 สิทธิ 1 เสียง เท่ากัน แต่ควรมียอดภาษีที่จ่ายขั้นต่ำเพื่อผ่านเกฏ

ทุกคนควรมีเสียงเท่ากัน ก็เลือกตั้งมันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เรียนรู้กันเอง ใช้เวลามากหน่อย แต่ยั่งยืน

ขอแค่อย่า ส มาทำ รปห.