1. มีบ้านหลังนึงมีคนต้องการจะขาย 10 ล้าน
2. ผมกับเพื่อน 2 คน รวมเป็น 3 คน ตั้งบริษัท A ขึ้นมา แล้วเอาบริษัท A ซื้อบ้านหลังนั้น ที่จุดนี้บริษัท A จะเป็นเจ้าของบ้านโดยตรง โดยที่ผมกับเพื่อนรวม 3 คน เป็นเจ้าของบริษัท A
3. หลังจากนั้นผมก็ทำการต่อเติมบ้านหลังนั้นนิดๆหน่อยๆ รวมมูลค่าเป็น 15 ล้านบาท (ราคาตัวบ้านที่ซื้อมา 10 ล้านกับต่อเติมอีก 5 ล้าน)
4. แล้วผมก็ตั้งบริษัท B ขึ้นมาอีกกับเพื่อนชุดเดิม เพื่อมาซื้อหุ้นตัวเองที่อยู่ในบริษัท A โดยจากราคาบ้านทั้งหมด 15 ล้านที่บริษัท A ครอบครองอยู่ แต่ผมใช้บริษัท B ทำเรื่องซื้อหุ้นตัวเองจากบริษัท A มูลค่า 40 ล้าน
5. บริษัท A ก็ยังถือครองอาคารมูลค่า 15 ล้านอยู่เท่าเดิมนั่นแหละ งบแสดงฐานะการเงินก็ปกติดี สินทรัพย์ = [ส่วนของผู้ถือหุ้น + หนี้สิน] = 15 ล้านเหมือนเดิม
6. ส่วนบริษัท B ได้ถือหุ้นบริษัท A ตามมูลค่าที่ซื้อไปคือ 40 ล้าน งบแสดงฐานะการเงินก็ปกติดี เพราะ สินทรัพย์ (คือมูลค่าหุ้นที่ซื้อบริษัท A) = [ส่วนของผู้ถือหุ้น + หนี้สิน] เกิดส่วนต่างขึ้นมา 40-15 = 25 ล้าน เพราะในบัญชีของบริษัท B เขาก็ต้องบันทึกมูลค่าหุ้นของบริษัท A ตามราคาที่บริษัท B ซื้อไป ถึงแม้บริษัท A จะมีมูลค่าจริงๆแค่ 15 ล้าน แต่เราซื้อมา 40 ล้านนี่
7. ผมก็เอาบริษัท B ไปเร่ขายคนอื่นบอกว่าเนี่ยบริษัทผมมีมูลค่า 40 ล้านเลยนะ ผมขายเท่าราคาทุนไม่เอากำไรเลย

ในทางบัญชีมันทำแบบนี้ได้มั้ยครับ ใครเก่งบัญชีคิดว่ายังไง

คนที่เข้าซื้อเค้าก็เห็นแล้วอ่ะ ว่าซื้อแพง ซื้อทำไม 40 ลบ.

ถามว่ารู้ได้ไง ก็ดูจาก บอจ.5 ของ A

เค้าก็ต้องถามกลับมาอ่ะว่าซื้อทำไมแพงขนาดนี้

แล้วถ้าเราสามารถล๊อบบี้คนซื้อได้ด้วยละครับ

อ่อ ถ้างั้นขอเป็นเงินสดเลย ไม่ต้องยุ่งยาก

คหสต อะไรที่ไม่ได้เข้าตามตรอกออกตามประตู = เข้าข่ายทุจริต

ตัวเลขอาจจะใช่ แต่ตรวจสอบด้านพฤติกรรมภายหลัง ก็ต้องมาดูว่าจุดประสงค์คืออะไร ซึ่งดูแล้วไม่ใช่เรื่องปกติ

ก็อยู่ที่ว่ากฏหมายเอื้อให้ทำแบบนั้นโดยไม่ผิดรึเปล่า

คนซื้อประเมินเองได้ ไม่น่าซื้อท่านที่40ล้าน

เค้าไม่ต้องไปถามหรอกว่าใครซื้อ ซื้อทำไม ทำไมแพง

ส่วนท่านก็จะโดนภาษีต่างๆไปด้วย ทั้งค่าโอน ทัังกำไรจากการขาย(ขายกันเอง)

คุณคิดแค่ฝั่งเดียวคือจะลงบัญชีทรัพย์สิน40ล้าน

กฎหมายเค้ามีอีกฝั่งคือออดิต ไม่ใช่ว่าอยากลงเท่สไหร่ก็บวกๆไปได้

อย่างตอนอยู่บริษัท บางทีราคาที่ราค่ตึกขึ้นเอง ยังต้องไปจ้างบริษัทประเมินมาซัพพอร์ตว่าขึ้นจริง ขึ้นไปเท่าไหร่

เคส ประกันสังคม ใช่ไหมครับ

ปั่นกันตามที่ท่านว่าเลยครับ

ขาย 40 ล้าน คนซื้อบันทึกที่ 40 ล้าน

ปิดงบเค้าไม่เอาไว้หรอกนะ

ถ้ามูลค่าจริงไม่ถึง 40 ล้านอ่ะ

impair ออกหมด

ถ้าไม่ทำ บช ที่ไหนจะเซ็นงบให้อ่ะ นอกจากได้ส่วนแบ่ง

เขาเรียกว่าค่า goodwill ครับ คือต้องลงบัญชีค่า goodwill ไว้ที่ 25 ล้าน

คือค่า goodwill (ค่าความนิยม) เป็นเรื่องปกติของบัญชี ส่วนท่านจะเอาไปเร่ขาย 40 ล้านก็ทำได้แต่คนจะซื้อหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่งเพราะเขาจะเห็นทรัพย์สินที่ลงไว้ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ อยู่ที่เขาจะประเมินแหละว่าบ้านที่ต้นทุน 15 ล้าน คุ้มที่จะซื้อ 40 ล้านหรือเปล่า (อยู่ที่ตีราคาที่ดินล้วนๆ ถ้าเขามองว่าที่ดินตรงนั้นคุ้มที่จะซื้อเขาก็ซื้อแหละ)

ใช้ Specialist ประเมินดูก็รู้แล้ว จอดตั้งแต่ audit มาตรวจละ โดนขอให้ adjust รายการก่อนออกงบแน่นอน ในทางกฎหมายไม่รู้ แต่ถ้าตามมาตรฐานบัญชีไม่น่าผ่านนะ แต่ใช้ชุดเล็กหรือชุดใหญ่ล่ะ?

B จ่าย 40 ล้านให้ A หรือติดหนี้ไว้

ทางปฏิบัตินะ
1. เรื่องการซื้อหุ้นบริษัท ยาก ยกเว้นว่าบริษัทนี้จะถืออะไรดีๆไว้จริง เช่น ใบอนุญาตที่โอนไม่ได้ ถ้าเป็นอสังหาฯ ยอมเสียค่าธรรมเนียมดีกว่าจะไปซื้อหุ้น ไม่ใช่แค่เรื่องแต่งบัญชีบวกเยอะๆ กลัวจะซุกหนี้ไว้ด้วย

2. บริษัท B ถือ A ผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน ก็ต้อง เอ๊ะ แล้ว ว่าทำแบบนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร

3. ถ้าจะทำตามหลักบัญชี บริษัท B ก็เสกเงินขึ้นมาเฉยๆไม่ได้อยู่แล้วครับ ก็ต้องตรวจอยู่ดี 40 ล้านมาจากไหน

4. ถ้าจะเข้าซื้อบริษัทอะไรก็แล้วแต่ ยังไงก็ไม่เชื่องบการเงินที่ส่งกรมอยู่แล้วครับ ในการประเมินเป็นของที่น่าเชื่อไม่ได้ที่สุดแล้ว

อ่านไวๆ ก็ทำได้ครับ ถ้าเงินตัวเอง แต่ทางบัญชีของบมาดูก็เห็นหมดอ่ะ ซื้อเกินราคาตลาดมาก็ลงเป็น goodwill
แล้วงบ บ A คนซื้อก็ขอดูได้ เพราะ B มี controlling interest

ซึ่งในชีวิตจริง จะมีซื้อขายของกัน 40 ล้าน มันทำ due diligence กันอยู่แล้ว เจอแน่นอน
แล้วถ้ามาเคสแบบนี้ ก็จะ structure deal แบบซื้อ asset เพียวๆ 15 ล้าน คุ้มกว่าเยอะ

ผมว่าคนจะซื้อเค้าคงขอดูทรัพย์สินอยู่แล้วนะว่าบ้านหลังนั้นมันถึงจริงหรือเปล่า ทรัพย์สินมีแค่บ้าน 15 ล้าน ชื่อผู้ถือหุ้นก็คนเดียวกันยังไงก็มองออก ยังไม่นับว่าบริษัท A รับรู้รายได้ถึง 40 ล้าน ต้องชำระภาษีอีกเท่าไร 15% ขั้นต่ำถ้าจดนิติบุคคล มองยังไงก็เละ