เห็นมีแต่คำอธิบาย เชิงวิชาการ หลักเศรษฐศาสตร์กัน ยิ่งงง

เอาแบบเปรียบเทียบอุปมาอุปไมง่ายๆประสาชาวบ้าน พอมีคำอธิบายมั้ยครับ

เงินเฟ้อ = ตังค์มีค่าน้อยลง
เงินฝืด = ไม่มีตังค์

เงินเฟ้อ = M2 > GDP
เงินฝืด = M2 < GDP

จบ ง่ายมั้ย

https://www.finnomena.com/z-admin/inflation-disinflation-deflation/

ลองอ่านดูครับ

เมื่อก่อน 40 บาท ซื้อข้าวซอยได้ 2 ชาม
พอเงินเฟ้อ 40 บาท ซื้อข้าวซอยได้ชามเดียว
พอเงินฝืด ไม่มีเงินซื้อข้าวซอย หรือ ซื้อได้ 4 ชาม
ยังงงอยู่มะ

เงินเฟ้อ = ตังค์มีค่าน้อยลง
เงินฝืด = ไม่มีตังค์

เงินเฟ้อ - ข้าวของแพงขึ้น ทำให้จับจ่ายได้ลดลง เช่นราคาน้ำมัน ไข่ไก่ เนื้อสัตว์
เงินฝืด - ข้าวของราคาลด[หรือไม่ลด] เพราะคนไม่มีตังค์ซื้อ

เฟ้อก็เงินมีเยอะเกินไปในระบบศก. เมื่อมีเยอะค่าของเงินก็จะลดลง ของมีเท่าเดิม ราคาของเป็นตัวเลขก็ต้องแพงขึ้นเพื่อจะจ่ายให้ได้ชิ้นนั้นมาครับ วิธีแก้ก็คือดึงเงินออกจากระบบ เช่น รัฐเก็บภาษี

ฝืดก็คือเงินมีน้อย คนไม่อยากจับจ่ายใช้สอย พอไม่ค่อยอยากจ่าย ของก็ขายไม่ดี ศก.มันก็ไม่คล่องไม่หมุนเวียนเท่าไหร่ การขายของของก็จะลดราคาลงมา แก้ก็คือ ลดภาษี ฉีดเงินเข้าไปในระบบเช่นการใช้จ่ายให้ประชาชนของรัฐ

ส่วนการเสียเปรียบ
เงินเฟ้อ สมมุติผมยืมเงินท่าน10บาท เอาไปซื้อข้าว1จานสมัยก่อน ผมคืนท่านพร้อมดอก รวม12บาท แต่ตอนนี้ข้าวจานละ15บาทแล้ว ท่านเสียเปรียบเลย

เงินล้น พ่อค้านักธุรกิจก็ขึ้นราคาของไปได้ไม่เป็นไร แต่มนุษย์เงินเดือนได้เงินเท่าเดิมแต่ไปซื้อของได้น้อยลง

ฝืดท่านก็ลองสลับด้านกันครับ

ถ้าเอาเปรียบเทียบแบบเห็นภาพง่ายที่สุด
1. เงินเฟ้อ คือ สภาวะที่เงินในระบบหมุนเวียนเยอะเกินไป คนส่วนใหญ่มีเงินในมือเยอะ มีกำลังซื้อเยอะ ส่งผลให้มูลค่าสินค้าราคาสูงขึ้นตาม

2. เงินฝืด คือ สภาวะที่เงินในระบบหมุนเวียนมีน้อยเกินไป คนส่วนใหญ่ถือเงินสดติดบ้าน หรือฝากประจำธนาคาร ไม่นำไปจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้กำลังซื้อน้อยลง แต่มูลค่าสินค้าก็ไม่ได้ลดตาม ภาวะนี้จะคล้ายกับช่วงเกิดวิกฤติ เช่น ตอนโควิด

สหรัฐเลยทำการออกนโยบาย QE เพื่อปั๊มเงินเข้าระบบ แก้ปัญหาเงินฝืด
พอหลังโควิดผ่านพ้นไป จึงต้องทำการ QT ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อดึงเงินในระบบกลับเข้าสู่ธนาคาร แก้ปัญหาเงินเฟ้อ

ปล.แต่ประเทศไทย เจอทั้งเงินเฟ้อและฝืด เรียกว่า stagnation

มี 100 นึง
เงินเฟ้อ
ปีก่อนซื้อข้าวจานละ 50 บาท
ปีนี้ ซื้อจานละ 55 บาท
= ซื้อจำนวนเท่าเดิมในราคาเดิมไม่ได้ละ

เงินฝืด
มีเงิน 1000 นึง แต่ก่อน หา 3 วันได้
ปีนี้หรือช่วงนี้ รู้สึกว่าต้องใช้เวลาในการหาเงิน 1000 นึงเพิ่มขึ้นแบบเห็นได้ชัด
จึงไม่ค่อยกล้าใช้จ่าย เพราะถ้าสมมติว่าแต่ก่อน ใช้เงินวันละ 300
จากแต่ก่อน
3 วันหา ได้ 1000 กินวันละ 300x3 = 900 เหลือ 100 นึง
มาตอนนี้ 4 วันหาได้ 1000 กินวันละ 300×4 = 1200 แปลว่าช๊อตวันสุดท้าย
เลยจะทำให้ไม่กล้าใช้เงิน ก็จะลดการใช้เงิน ละมันจะค่อยๆลามไป ในระบบนั้นๆ

สุดท้ายยาวเลย

ตอบแบบ Keynesian

เงินเฟ้อ วัดจากราคาสินค้าที่กำหนดไว้ ว่าเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่าไร

- สินค้าที่กำหนดไว้วัดราคาเปลี่ยนได้,ตรึงราคาได้ แล้วมันยังใช้วัดได้อีกเหรอ ? ทำไมเงินเฟ้อติดลบของราคาไม่ลด ? (เพราะว่าปริมาณเงินมันเพิ่มไปแล้ว)

เงินฝืด คือหายนะ เพราะเงินไม่ไหลในระบบคนไม่ใช้เงิน ต้องผลิตเงินออกมา(ทำให้เฟ้อ)
อัดฉีดเข้าระบบทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน

- ควรถามว่าทำไมคนถึงไม่ใช้เงิน ? เงินที่มาใหม่อัดฉีดไปที่ไหน ? (ธนาคาร,ธุรกิจใหญ่,พวกพ้อง)

_________________________

ตอบแบบ Austrian

เงินเฟ้อ ต้องวัดจากปริมาณเงินทั้งหมดไม่ใช่ราคา

- เงินในระบบมากขึ้น สินค้าและบริการ มีเท่าเดิม ก็แพงขึ้นตาม อุปสงค์ อุปทาน มีธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นบ้าง มีการแข่งขันลดราคาลงมาบ้าง แต่ก็ไม่เท่ากับเงินที่ผลิดใหม่และไม่ได้กระจายทั่วทั้งระบบ เพราะเงินไม่ได้ให้ทุกคน

- ทำไมของทั่วโลกแพงขึ้น เพราะทั่วโลกใช้ดอลลาร์แบค ถามว่าตอนนี้มีดอลล่าร์บนโลกเท่าไร
ลองดูแค่ส่วนหนึ่ง m2 ที่วัดได้

https://fred.stlouisfed.org/series/M2SL

เงินฝืด เป็นผลจากเงินเฟ้อ (ถ้าเงินหยุดเฟ้อให้เวลาซักพักจะกลับสู่สมดุลเอง)

- เพราะเงินของทุกคนด้อยค่าลงจากเงินเฟ้อทำให้คนไม่กล้าใช้เงินวางแผนอนาคตไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้องมีเท่าไรถึงจะพอ ถ้าเงินของทุกคนไม่ถูกด้อยค่าลงคนจะวางแผนอนาคตได้ รู้ว่ามีเท่าไรถึงพอ ส่วนที่เหลือถึงค่อยเอาไปใช้

_____________________________

ทำไมถึง Keynesian ถึงได้เป็นแนวคิดหลักของโลกปัจจุบัน

เพราะว่าผู้ที่มีอำนาจอยู่จะรักษาอำนาจต่อไปได้ โดยการผลิตเงินเข้าสู่สิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องขอประชาชน

(เอาของเราไปโดยที่เราไม่อนุญาติเรียกว่า...)

ตอบสั้นๆคงเท่านี้ถ้าจะให้ตอบยาวๆ คงต้องเลี้ยงซัก 1 เมา