จริงๆตอนนี้เราเลยจุดโลกร้อนไปแล้ว ตอนนี้เข้าสู่สภาวะโลกเดือดเต็มตัว Global Boilling

ยังไม่รู้ใครจะหยุดได้ คนอนุนักษ์ก็อนุรักษ์ ออกแคมเปญ อะไรก็ว่ากันไป แต่มีถึง 1% รึปล่าว เมื่อเทียบกับคนทำลาย
ความเห็นแก่ตัวอยู่เหนือความอยู่รอด (เมื่อหายนะมันยังมาไม่ถึง)

สงสารอาจารย์ ธรณ์ แกนะ

แกรณรงค์ และให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูระบบนิเวศ

มาเยอะ และนานมาก ๆ ตั้งแต่ ขยายพันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ อนุรักษ์ธรรมชาติ

เป็นคนเก่งมาก ๆ คนหนึ่ง

แต่แรงขับเคลื่อนเรื่อง Global Warming มันน้อยเกินไป

คนเราไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย นอกจากความสบายของตัวเอง

หลอดพลาสติกยังใช้กันทุกวัน ขยะเกลื่อน ก๊าซจากโรงงาน และรถยนต์

เรามาถึงจุดที่มันสายเกินจะเยียวยาแล้ว ได้แค่ชะลอให้มันเกิดช้าที่สุดแค่นั้น

ยกเว้นมนุษย์จะมีนวัตกรรมใหม่มาช่วยเรื่องโลกร้อนได้

อีก 20-30 ปี ผมคงตาย ส่วนคนที่เหลืออยู่ต่อ ขอให้โชคดีกับภาวะโลกใบนี้เถอะ

คงรอ ภัยพิบัติใหญ่ล้างโลกแบบในหนังนะแหละผมว่าโลกมีระบบการรีเซตตัวเองที่ดีนะ ทั้งสัตว์พืชทนได้ทุกสภาวะ รองรับอยู่แล้ว

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกลงความเห็นว่าเราเลย point of no return ไปแล้วครับ ตอนนี้ก็ได้แต่รอมันไปถึงจุดสมดุลใหม่ หรือชะลอไม่ให้มันไปเร็วเกิน

ไม่มีทางหยุดทัน

ที่ผมเห็น บางบริษัทออกแคมเปญรณรงค์ ออกแนวคิด+วิธีแก้ปัญหาเรื่องโลกเดือดมากมาย แต่บริษัทตัวเองก็ยังเป็นส่วนนึงที่ทำให้โลกเดือดเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

สาเหตุโลกร้อนคือ
การเผาถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซ
ทำปศุสัตว์
ทำลายป่า

อีกส่วนมาจาก
การใช้ไฟฟ้า แอร์ ตู้เย็น

จะหยุดวัฏจักรนี้ทุกๆคนจะต้องเสียสละพร้อมกันไม่งั้นก็จะร้อนเรื่อยๆ

เดี๋ยวนี้แค่รณรงค์ในโลก physical ไม่พอแล้วครับ แม้แต่ในคลาวด์ก็เริ่มมีรณรงค์กันแล้ว ข้อมูลไฟล์ต่างๆบนคลาวด์ของเราก็ต้องมีที่เก็บ สร้างมลภาวะได้เช่นกัน

ไม่ทันแล้วครับ ตอนนี้โลกร้อนขึ้น 1.48 องศาเทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรม ถึงเราจะหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกกันวันนี้โลกก็จะร้อนขึ้นไปอย่างต่ำ 25 ปี

แล้วคิดว่าโลกร้อนขึ้นเราจะคิดได้แล้วหยุดปล่อย หรือเราจะเลือกยิ่งปล่อยก๊าซมากกว่าเดิม(เช่นเปิดแอร์เย็นๆ) กันล่ะครับ เราจะคิดทำเพื่อคนในอีก 25 ปีให้หลังกันได้จริงๆหรอ (ยิ่งคนรุ่นเรามีลูกกันน้อยด้วย)

เวลาคนมาถามผมแบบนี้ผมมักจะถามย้อนกลับไปว่าที่บ้านแยกขยะไหม
ถ้าตอบว่าแยกผมก็จะบอกว่าคงทัน
ถ้าตอบว่าแยกไปเขาก็เอาไปรวมอยู่ดีผมจะตอบว่า งั้นหยุดไม่ทันแล้วล่ะ

ไม่มีใครหยุดได้แล้วครับ ทำได้แค่ชลอ

หนึ่งคนอนุรักษ์ ล้านคนทำลาย ชาติหน้าก็แก้ไม่ได้หรอก

อาจารย์แกอย่างเจ๋ง และก้ทำงานหนักจริงน่าชื่นชมมาก
ส่วนเรื่องที่แกพูด เคยคิดไว้เหมือนกันว่ารณรงค์บลาๆ มันจะชะลอมั้ยก็คงได้บ้าง แต่เทคโนโลยีแหละคือเกมเชนเจอร์
เคยเห็นข่าวพวกต้นไม้เมทัลลิค ผลิตตัวดักจับคาร์บอน หลายปีละแต่ก็เงียบหายไป
สมัยก่อนนู้นเคยเรื่องเลนส์กรองที่จะไปปล่อยไว้ในระดับวงโคจร
สุดท้ายต้องรออะไรก็ตามที่ทำได้จริงๆ และส่งผลกระทบจริงๆอ่ะ

จะมาทันรึเราจะตายกันหมดก่อนไม่รู้นี่สิ

ผมไปทะเลทีไร เห็นขยะอดที่จะเก็บติดไม้ติดมือเอาไปทิ้งอยู่เสมอ จนตอนนี้ท้อจนไม่อยากเก็บไปทิ้งละ เพราะยังไงขยะมันก็มาเรื่อยๆเหมือนเดิม ไม่เข้าใจคนที่มาเที่ยวนะเวลาซื้ออะไรมานั่งกินที่ทะเล
กินเสร็จทำไมไม่เก็บไปทิ้งกัน ปล่อยไว้งั้นละ พอไม่เก็บลมพัดไปลงน้ำ ก็สะสมไปจากเล็กน้อยกลายเป็นมีขยะเป็นมหาศาล แล้วสัตว์น้ำก็มากินต่อนึงแล้วคนก็จับสัตว์มากินอีกที แล้วในพลาสติกจะไม่ย่อยสลายภายในเร็ววันนะ ถึงย่อยก็กลายเป็นนาโนพลาสติก ซึ่งอันตรายมากเมื่อล้างกายดูดซึมเข้าสู่กะแสเลือดเป็นเวลานาน