มันต้องขึ้นครับ ค่าครองชีพ มีแต่จะพุ่งขึ้นไปเรื่อย แล้วมันสูงมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่หลังโควิด ไม่สิ ตั้งแต่โรคระบาดในหมู ตามมาด้วย สงครามรัสเซีย/ยูเครน ทุกอย่างแพงหมดตามราคาน้ำมัน ยังไงก็ต้องปรับขึ้นค่าแรง เข้าใจนายจ้างแหละ ผมก็จ้างคนมาช่วยทำงานเหมือนกัน ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก จากปกติ 450 คงขึ้นเป็น 500

คนไม่ทำธุรกิจไม่รู้หรอกครับ ว่าเรทที่จ่ายทุกวันนี้ส่วนใหญ่เกินค่าแรงขั้นต่ำกันอยู่แล้ว คือจ้างระดับนั้นถ้าเป๊นงานแรงงานยังแทบหาคนไม่ได้เลย ผมแก้ปัญหาด้วยการมีแรงงานต่างด้าวมาเสริมไว้ แจ้งสัดส่วนคนไทย/ต่างด้าว 70/30 ซึ่งเรทที่จ่ายต่างด้าวไม่ใช่ว่าถูกกว่าคนไทย หลายๆคนก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าต้องจ้างถูกกว่าคนไทย คือจ้างถูกตอนนี้ต่างด้าวก็ไม่ทำกันครับ ค่าแรงขั่นต่ำที่ขึ่นต่างด้าวก็ขึ้นไปด้วยครับ

ถ้านายทุนไม่โลภ​ มีเงินเก็บสัก100ล้านก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรแล้วชีวิต​ พวกธุรกิจพันบ้านหมื่นล้านกระทบก็แค่กำไรลดลง​ ส่วนนายทุนที่จะตายจากนโยบายก็คือพวกธุรกิจรายย่อย​ น่าจะเยอะแหละเพราะแม้แต่พวกใหญ่ๆยังเอาตัวกันแทบไม่รอดกับเศรษฐกิจยุคนี้​ คนเราถ้ารู้จักพอ​ รู้จักประเมินอนาคต​ มันสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตินี้ได้อยู่แล้ว​ ถ้าจ่ายค่าแรงไม่ไหวก็ยุติกิจการซะ​ จะพยายามสู้ไปทำไมในเมื่อองค์ประกอบของธุรกิจมันขัดกับสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจ​ ที่จืนตอนนี้เทรนด์ซื้อแบรนด์หรูมือ2กำลังมา​ ฝั่งเจ้าของแบรนด์ก็เริ่มกระทบหนัก​ มันเป็นการปรับตัวตามยุคสมัย​ สุดท้ายถ้าของใหม่เหลือเยอะแบรนด์ก็ต้องลดราคาเอาทุนคืน​ กำไรที่ได้ก็จะน้อยลงส่วนคนก็จะยอมซื้อของมหม่มากขึ้น​ เรื่องค่าแรงถ้าจ่ายไม่ไหวก็เลิกกจการ​ ถ้าไม่อยากเลิกก็เปลี่ยนรูปแบบ​ วงเงินค่าแรงเท่าเดิมแต่ลดคนงานลงแล้วหาพวกเอไอมาช่วย​ ธุรกิจสมัยนี้ไม่เน้นใช้คนจริงๆทำงานกันแล้ว หาทางลดการจ้างงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้​ หากทำสำเรฌจก็อาจจะอยู่รอดกะนต่อไป​ การขึ้นค่าแรงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการพยายามแจกเงินดิจิตอล​ โครงสร้างมันกลวงและไม่มีฐานที่จะช่วยต่อยอดไปสู่ความยั่งยืน​ จุดจบมันก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท้านั้นล่ะ​ ถ้านายจ้างมีเงินเก็บมากพอและไม่โลภเกินไป​ เป็นผมปิดกิจการแน่นอนถ้าลดคนงานไม่ได้​ หาทางบริหารค่าแรงเอาให้มันต้องจ่ายเท่าเดิมแต่ทำได้ตามกฎหมายขั้นต่ำ​ หาพวกโปรแกรมเอไอมาใช้แทนคน​ ถ้าหาได้ก็ไปต่อ​ ถ้าหาไม่ได้ก็กยุดขาดทุน​ การเพิ่มค่าแรงก็แค่วัวหายแล้วล้อมคอก​ ถ้าคนออกนโยบายมันมีสมองจริงๆงบที่มันพยายามเอาเข้ากระเป๋าตัวเองจะถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน​ ดูรัฐบาลเกาหลีเค้าให้งบกับเคป๊อป​ ล่าสุดรัฐบาลกำลังผลักดันธุรกิจเกมAAAให้มีเกมแบบสเตลลาร์เบลดเยอะๆ​ ถ้ามันไม่โกงงานจะออกมาแบบนี้​ แต่ของโทยโกงตั้งแต่ลูกจ้างยันผู้นำ​ ออกนโยบายอะไรมาก็มีแต่เพื่อพวกพ้องเป็นหลัก​ ระยะยาวมันไม่รอดหรอก​ ค่าแรงสูงแต่ไม่มีงานให้ทำ พวกธุรกิจรูปแบบเดิมจะเจ๊งไปก่อน​ แต่จะเกิดธุรกิจใหม่มาแทนที่​ ธุรกิจที่จ้างคนน้อยๆแต่สามารถกระจายสินค้าออกสู่ตลาดได้​ สรุปคือต้องปรับตัวและพึ่งตนเอง​ ลูกจ้างต้องหาทางเพิ่มทักษะและสร้างงานขึ้นด้วยตนเอง​ โลกยุคเก่ามันกำลังจะจบแล้ว​ ตอนนี้คือช่วงรอยต่อที่เปราะบางสุดๆ​ ให้เดาผมว่ายังมีธุรดิจจำนวนมากที่รอวันเจ๊ง​ ถ้ารัฐไม่แก้ไขการทุจริตทุกอย่างก็จะพังภายในพริบตา​ เพราะขนาดประเทศที่รัฐบาลโปร่งใสยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเช่นกัน​ ส่วนพวกที่ผู้นำชอบโกงมาถึงยุคนี้คือจะพังไปเลยแบบบ้านเรา​ ไม่น่าเกิน5ปีหรอกรายย่อยน่าจะตายเรียบ

หลายๆงานที่ใช้ทักษะนิดหน่อย ขนาดเป็นพม่านะ(พูดไทยได้บ้าง ฟังได้พอรู้เรื่อง) 700-800 มันยังไม่เอาเลย

มันว่าส่งผักอยู่ตลาดไทยได้วันนึงหลักพัน

ขนาดงานทักษะอย่างช่างเชื่อม ลูกค้าผมที่ระยองจ้างวันละ 1,500 ยังไม่มีคนสมัครมาทำ ต้องตัดใจลงทุนซื้อโรบอทมาใช้ เชื่อมเสร็จต้องมาหาคนเคลียร์สแลคกับเชคผิวต่ออีก อยากได้เนียนๆก็เปลืองแก๊ส

ค่าแรงขึ้นมันก็ดีแหละ มันดีในเรื่องความรู้สึก

แต่ถ้าจะเอาผลเรื่องช่วยเรื่องปากท้องได้ไหม คือแทบไม่แตกต่างจากเดิมอะ ยังไงราคาของก็ขึ้นไปอีก

ใจคอไม่คืดถึงธุรกิจขาดอื่นเลยหรอครับ 555
Sms เฉลี่ยนตอนนี้335 มันจะเพิ่ม 65ซิครับ
ถ้ามีเฉลี่ย 5คนต้นทุนก็เพิ่ม 1 หมื่นล่ะครับ

แต่เจ้าของsme หรือร้านทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ผลิต
เขาจะมาว่าภาพรวมค้นทุนแรงงานมันคือ 6หมื่น
คิดว่าถ้าธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดเล็ก ทำกำไรให้ได้มากกว่าเดือนล่ะ6หมื่น คิดว่าง่ายหรือยากล่ะครับ?

ปกติโลกทุนนิยม ทำแบบนี้ถูกแล้วครับ ถ้าบริหารต้นทุนไม่ได้ก็ควรออกไป หรือ ทำเอง พนักงานควรมีค่าแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างน้อยไม่แพ้เงินเฟ้อมาก แต่ควรเพิ่มให้สมดุลกับราคาของไม่ให้ค่าครองชีพแพงเกินไป ในประเทศที่เจริญแล้วเป็นทรงนี้เกือบหมดเลยครับ แต่เรายังไม่มีนวัตกรรมเลยแข่งค่าแรงถูก

อีกมุมนึง SG ไม่มีกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ

มันก็ควรขึ้นไปตามกลไกล แต่แรกแล้ว

ไม่ใช่อั้นไว้ พอ อย่างอื่นขึ้น แต่มาอั้นค่าแรง ทั้งที่มันควรปรับพร้อมกันแต่แรก

กลายเป็นมาขึ้นที่หลัง ตอนราคาสินค้าอุปโภค มันขึ้นไปก่อนหน้า

พอขึ้นอีกราคาสินค้าก็ต้องมาหาเรื่องขึ้นอีกรอบอยู่ดี

เหมือนราคาน้ำมันที่มันอั้นแค่ราคาน้ำมัน

แต่ราคาค่าขนส่ง ราคาสินค้า มันก็ขึ้นรอก่อนแล้ว

ผมว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นนโยบายประชานิยมที่ค่อนข้างสิ้นคิดมาก อย่าลืมว่าผลจากการขึ้นค่าแรงทำให้ นายจ้างแบกต้นทุน

ที่สูงขึ้น สิ่งที่นายจ้างต้องทำเพื่อความอยู่รอดก็คือมีสองทาง คือเพิ่มรายได้ กับ ลดรายจ่าย

การเพิ่มรายได้หลักๆก็

1. กระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น
2. เพิ่มราคาสินค้า

ซึ่งจะเห็นว่าการกระตุ้นยอดขายจะทำได้ยากกว่ามาก หวยส่วนใหญ่มักจะออกที่การเพิ่มราคาสินค้า

ลดรายจ่าย
1. ลดสวัสดิการ(โบนัส การเบิกต่างๆ)
2. ปลดพนักงานคุณภาพต่ำออก(คนที่ชอบมาสาย อู้งาน เป็นต้นจะโดนก่อน)
3. ลดต้นทุน(คุณภาพสินค้าหรือปริมาณลง)

ส่วนใหญ่หวยจะไปออกที่ข้อ 1 กับ 2

คราวนี้มาดูสิ่งที่ประชาชนที่กินค่าแรงขั้นต่ำได้บ้าง จากเดิมค่าแรง 330 บาท อ้างอิงจากแถวบ้านผม(ตจว.)
ก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท เท่ากับว่าจะกินได้ 330/40 = 8.25 ชาม ทีนี้พอค่าแรงขึ้นมาเป็น 370 แต่ก๋วยเตี๋ยวราคาขยับ
มาเป็นชามละ 45 บาท จะเท่ากับกินได้ 370 / 45 = 8.22 ชาม (กรณีนี้ไม่ใช่เกิดกับแค่อาหาร แต่รวมถึงสินค้าทุกวงการ)
หมายความว่าการขึ้นค่าแรง ไม่ได้ทำให้กำลังซื้อของประชาชนสูงขึ้น(ที่คำนวณให้ดู แทบจะเท่าเดิม) แต่อย่าลืมว่า
ประชาชนกลุ่มที่ค่าแรงเกินขั้นต่ำอยู่แล้ว จะกำลังซื้อตกลง (เพราะรายได้เท่าเดิม แต่ของแพงขึ้น) ปัญหาที่ตามมาคือ
จะทำให้คนตกงานมากขึ้นเนื่องจากการลดรายจ่ายของผู้ประกอบการ แถมสภาพคล่องของเศรษฐกิจตกลง เนื่องจากกำลัง
ซื้อที่ต่ำลง ก็จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง

สรุปคือ การขึ้นค่าแรงอาจจะดูสวยที่ตัวเลขค่าแรง แต่สุดท้ายประชาชนซื้อของกินของใช้ได้เท่าเดิม แถมเสี่ยงจะเพิ่มโอกาสตกงาน
ที่มากขึ้น ผมมองว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย การขึ้นค่าแรงเหมาะสำหรับทำในภาวะที่เศรษฐกิจมีการเติบโต+ขยายตัว ซึ่งไม่ใช่
กับสถานการณ์ของประเทศไทยในตอนนี้

การจะช่วยประชาชนที่ถูกต้อง ควรลดค่าครองชีพมากกว่า ควบคุมราคาสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่ให้พ่อค้าคนกลางเอากำไร
เกินควร