[รีวิว] ตระเวนอิตาลี 2 : Milan-Bologna-Florence
ที่มา ที่ไป รวมทั้งรายละเอียดการเดินทางต่างๆ ดูได้จากกระทู้ [รีวิว] ตระเวนอิตาลี 1
https://www.soccersuck.com/boards/topic/2437618
ขอเกริ่นตรงนี้ก่อนว่า รูปภาพอาจจะไม่ได้สวยงามนักเพราะผมถ่ายจากกล้องมือถือธรรมดา เน้นเอาสะดวกมากกว่านะครับ อีกอย่างคือผมเป็นคนที่เข้าไม่ถึงศิลปะ ปกติผมชอบที่จะไปตามแหล่งธรรมชาติที่สวยงาม และอยู่ดื่มด่ำกับธรรมชาติมากกว่า แต่ทริปนี้พาครอบครัวมาด้วย และเขาสนใจเรื่องศิลปะกัน เลยตระเวนตามเมืองเพื่อไปตามจุดท่องเที่ยว และก็ชมพวกศิลปะ มีเข้าพิพิธภัณฑ์กัน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่เข้าไปด้วย เพราะผมไม่อิน เข้าไปก็เสียดายเงินป่าวๆ ดังนั้นรูปถ่ายที่เอามาลงเลยจะเป็นพวกรูปทั่วไป รูปบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นรูปทางศิลปะในอิตาลีนะครับ
Milan: จะเริ่มจากมิลานเป็นเมืองแรก และเป็นเมืองนั่งเครื่องบินมาลงที่นี่ สนามบินชื่อ Milano Malpensa สมัยนี้การตรวจคนเข้าเมืองไม่ยุ่งยาก วุ่นวายเหมือนเมื่อสมัยก่อนที่ต้องเขียน ต้องกรอกเอกสารเข้าเมืองกันวุ่นวาย สมัยนี้เข้าแถว รอยื่น Passport ให้ตรวจ ก็เสร็จ กินระยะเวลาไม่นานมาก จากสนามบินเราจำเป็นต้องนั่งรถไฟเข้าไปในตัวเมืองมิลาน โดยสามารถซื้อตั๋วจากตู้ขายอัตโนมัติได้ ผมนั่งรถไฟไปลงที่สถานีหลักของเมืองมิลานชื่อ Milano Centrale ถ้าใครเคยไปที่สถานีนี้ ก็จะรู้สึกถึงศิลปะได้ตั้งแต่ที่สถานีรถไฟที่มิลานนี่เลย
จากสถานีรถไฟ ก็เดินไป Check in เข้าโรงแรมที่เลือกไว้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เก็บข้าว เก็บของ ให้เรียบร้อย (ที่มิลานผมนอนแค่ 1 คืน) เวลาตอนนั้นก็ประมาณบ่ายสี่โมงกว่าๆ มีเวลาให้เดินเล่น และไปดู Highlight ของมิลานได้สบายๆ อีกอย่างคือ ที่มิลานผมเคยมาแล้ว เลยไม่ได้ใช้เวลาอะไรเยอะมากมายนักที่มิลาน ตอนแรกใจผมอยากจะต่อขึ้นเหนือไปอีกนิด ไปที่ Lake Como เพราะผมชอบธรรมชาติ แต่ภรรยาผมไม่เคยมา และอยากจะไปใช้เวลาอยู่ที่ Florence มากกว่า ก็เลยต้องวาง Lake Como เอาไว้ก่อน
ไม่ต้องบอกทุกคนก็น่าจะรู้กันดีว่ามิลานเป็นเมืองใหญ่ แต่เป็นเมืองใหญ่ที่ไม่แออัด ไม่รู้สึกอึดอัด (ไม่นับตรงบริเวณจุดท่องเที่ยวนะ) ผู้คนแต่งตัวดีสมกับเป็นเมืองแฟชั่น บ้านเมืองก็ถือว่าเป็นเมืองน่าอยู่เมืองนึงเลย ถนนหนทางก็ใช้ได้ แต่ขอบ่นนิดนึงสำหรับที่อิตาลีในหลายๆเมืองคือ เข้าใจแหละว่าเป็นประเทศศิลปะอันโด่งดัง ถนนหนทางก็จะเป็นลักษณะที่มีอารมณ์ของศิลปะคือ บางที่เป็นหิน บางที่เป็นลายแบบขรุขระเพื่อให้ดูมีศิลปะสวยงาม แต่อยากจะบอกครับว่า แมร่งลากกระเป๋าโคตรลำบาก โคตรกินแรง บางที่พี่น่าจะทำงานเรียบๆ แอบไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวลากกระเป๋าซักหน่อยก็ยังดีนะครับ
จุด Highlight ของมิลานอยู่ที่ Rinascente Milano (ห้างแบรนด์เนม) กับ Duomo di Milano (มหาวิหาร) ที่ผมว่าเป็นงานศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่โคตรอลังการ มาดูกี่ทีก็ยังรับรู้ และรู้สึกถึงความอลังการ และความยิ่งใหญ่ในอดีต Duomo di Milano เป็นสถาปัตยกรรมโกธิค และเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ผมไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมด้านในนะครับ เพราะต้องซื้อตั๋ว และต้องจอง และมีบางส่วนที่กำลังปิดปรับปรุงอยู่ด้วย เลยเดินเยี่ยมชมแต่ด้านนอก เก็บความรู้สึกอลังการเอาไว้ ถ่ายรูปเอามาเป็นภาพแห่งความทรงจำไว้บ้าง จากนั้นก็ move on จากความอลังการ เดินกลับโรงแรม หาอาหารเย็นกิน และก็ถึงเวลาพักผ่อนในเมืองมิลาน เมืองแห่งแฟชั่นที่หลายๆคนใฝ่ฝันอยากจะมาเยี่ยมเยียน
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ผมไม่ขอลงรายละเอียดมากนัก เพราะส่วนตัวไม่ชอบอาหารฝั่งตะวันตกซักเท่าไหร่ (ยกเว้นอาหารเช้า) แม้ว่าผมจะเคยใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปมาแล้วก็ตาม อาหารไทย หรืออย่างน้อยอาหารเอเชีย มักจะเป็นคำตอบสุดท้ายของผมเสมอเวลาเดินทางมาเยี่ยมเยียนถิ่นเดิมที่แผ่นดินยุโรป แต่อย่างนึงที่สามารถบอกได้อย่างเต็มปากคือ อาหารที่ประเทศอิตาลีจะมีรสเค็ม ถึงเค็มมาก (ไม่ต่างจากประเทศเยอรมัน) ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงต้องเค็มขนาดนั้น ไม่ว่าจะอิตาลี เยอรมัน เบลเยี่ยม แถบโซนแถวนี้ เค็มหมด เป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน รู้อย่างเดียวครับว่า เป็นห่วงไตตัวเองเลย
Bologna: เมืองนี้ผมแค่มาแวะทำธุระนิดหน่อย และก็จะต่อรถไฟไปค้างคืนที่ Florence เลยไม่ได้นอนค้างคืนที่ Bologna แต่ก็มีเวลาให้เดินเที่ยวภายในเมืองได้อยู่ เมือง Bologna นั่งรถไฟมาจาก Milan ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ถ้าอยากจะเดินชมเมืองโดยไม่ต้องลากกระเป๋า ที่สถานีรถไฟเมืองใหญ่ๆ ก็จะมีที่ฝากกระเป๋าเราสามารถเอากระเป๋าเดินทางไปฝากไว้ได้ ราคาก็จะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่เมือง แต่โดยรวมแล้วราคาก็ไม่ได้แพงถึงขนาดรับไม่ได้ ที่ Bologna ฝากกระเป๋า 3 ชั่วโมง ราคา 6 EUR ต่อใบ ผมว่าสิ่งที่แพงที่สถานีรถไฟไม่ใช่ที่ฝากกระเป๋าครับ แต่เป็นห้องน้ำ ราคาค่าเข้าห้องน้ำครั้งละ 1 EUR ก็เกือบๆ 40 บาท ปกติถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่เข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ เสียดายตัง ดังนั้นเวลาที่อยู่บนรถไฟ ก่อนที่จะถึงสถานีปลายทาง ก็เข้าห้องน้ำบนรถไฟให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าครับ
เมือง Bologna ไม่ได้มีสถาปัตยกรรมอะไรที่อลังการเหมือนที่ Milan แต่ก็มีอะไรให้ดูบ้าง บ้านเมืองจะไม่โมเดิร์นมากนัก และประชากรก็ไม่น้อยเลย คนหนาแน่น แต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรมากนัก จุดเด่นของเมืองก็เป็นแค่จตุรัสกลางเมือง ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟไม่นาน แปปเดียวก็ถึงจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ระหว่างทางก็จะมีร้านค้าเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะร้านไอติม ร้านกาแฟ ที่เป็นที่นิยมในอิตาลี
Florence: จากเมือง Bologna นั่งรถไฟต่อมาอีกแค่ประมาณ 40 นาทีก็จะมาถึงเมืองโรแมนติกที่หลายๆคนอยากจะมาเยี่ยมชมคือเมือง Florence สถานีรถไฟหลักที่นี่ชื่อ Firenze S. M. Novella โดยผมจะพักที่เมือง Florence เป็นเวลา 2 คืนครับ โดยโรงแรมที่พักที่จองเอาไว้ จะจองไว้ใกล้จุดท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้ห่างจากสถานีรถไฟหลักมากนัก สามารถเดินไปได้เหมือนเดิม ประมาณ 10 นาที ก็ถึงโรงแรมแล้ว
ถนนหนทางใน Florence ส่วนมากจะเป็นถนนเล็กๆ ซอกซอยเยอะแยะ (อารมณ์คล้ายๆใน Venice) มันเลยทำให้มีความแตกต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ หลายๆคน ชอบลักษณะแบบนี้ เพราะน่ารัก และดูโรแมนติกดี แต่ส่วนตัวผมไม่ได้อินอะไรขนาดนั้น ผมรู้อยู่แค่ว่าเป็นเมืองที่ลากกระเป๋ายาก เพราะทางเดินแคบ ทางเดินก็ไม่เรียบ แถมคนก็เยอะ เลยทำให้ไม่ค่อยถูกจริตกับผมซักเท่าไหร่ รอบนี้เป็นรอบที่สอง สำหรับผมที่มาที่ Florence ความรู้สึกครั้งแรก กับครั้งที่สอง ไม่ต่างกัน คือไม่อิน และไม่ถูกจริตซักเท่าไหร่ อย่างว่าแหละครับ ไม้แก่มันดัดยาก 5555 แต่ผมก็ต้องมาเพราะคนที่อยากจะมาเมืองนี้คือภรรยาและลูกสาวผมเอง
จุดเด่นของเมือง Florence นอกจากบ้านเมืองอย่างที่บอกไปแล้วนั้น ก็มีจุดท่องเที่ยว Highlight อยู่หลายจุด และก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ทางด้านศิลปะอีกหลายแห่ง โดยผมจะไปจุดท่องเที่ยวหลักอยู่สองจุดคือ Duomo di Firenze และสะพาน Ponte Vecchio นอกนั้นจะเป็นการเข้าพิพิธภัณฑ์ ซึ่งผมไม่ได้เข้าไปชื่นชมศิลปะด้วย เสียดายเงิน เลยไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้
Duomo di Firenze เป็นมหาวิหารที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความอลังการอีกแห่งหนึ่ง เป็นสถาปัตยกรรมในแบบนีโอโกธิคที่ใหญ่และอลังการมาก แต่ช่วงที่ไปมีการปิดซ่อมแซมอยู่หลายส่วน แต่ยังสามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในได้ แต่ต้องจองตั๋ว ซื้อตั๋ว ต่อแถว รอคิวเข้าไปเยี่ยมชม ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้าไป ก็แค่ซึมซับบรรยากาศภายนอก และบริเวณรอบโบสถ์ สำหรับผมก็เพียงพอแล้ว
สะพาน Ponte Vecchio เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง Florence โดยบนสะพานนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารร้านค้า พวกร้านเพชร ร้านทอง นักท่องเที่ยวจะเยอะมาก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ ไม่อิน ว่าเขาจะมาดูอะไรกัน ครั้งแรกที่ผมมาดูที่สะพาน Ponte Vecchio ผมมากับลูกชายผม ช่วงก่อนโควิด พอได้เห็นผมถึงกับต้องอุทานออกมาเลยว่า เชี้ย แมร่งมาดูอะไรกันวะ สะพานก็ไม่ได้สวย ความอลังการก็ไม่มี แถมเก่าอีกต่างหาก อารมณ์ยังกะสะพานเหล็กบ้านเราเมื่อสมัยก่อนที่ผมเดินดูเกมส์ Nintendo ประจำเลย แต่ก็นะ ในเมื่อมาถึงแล้ว แถมมารอบสองอีกต่างหาก ก็ต้องทำหน้าที่นักท่องเทียวกันไปครับ คนอิน ก็ชื่นชอบ ชื่นชม กันไปตามศรัทธาของแต่ละคน 5555 ภาพแรกเป็นภาพที่ถ่ายจากบนสะพาน Ponte Vecchio ส่วนอีกภาพเป็นภาพที่ถ่ายมาจากอีกสะพานเพื่อให้เห็นสะพาน Ponte Vecchio ครับ
ก็เป็นอันปิดฉากไปสำหรับเมือง Florence
กระทู้นี้ยาวมากละครับ เดี๋ยวเอาไว้มาต่อในกระทู้หน้า จะเป็นเมือง Rome และ Vatican เป็นหลักครับ