[รีวิว] ตระเวนอิตาลี ตอนที่ 1
ช่วงเดือนเมษายนได้มีโอกาสไปงานประชุมวิชาการที่อิตาลี (หนีร้อน(จากไทย)ไปพึ่งเย็น(ที่อิตาลี)) ก็เลยถือโอกาสตระเวนในอิตาลีจากเหนือจรดใต้ตามเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆ และเป็นทีมบอลที่ชาว SS รู้จักกัน เลยถือโอกาสนี้มารีวิวให้ชาว SS และมีภาพมาให้ได้ชมกัน ในกระทู้นี้เป็นในเรื่องของข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวอิตาลี ผมแบ่งออกเป็นหัวข้อ สามารถเลือกอ่านได้ ถ้าใครมีเวลาก็สามารถไล่อ่านทั้งหมดได้ (อาจจะยาวซักหน่อย) ส่วนในแต่ละเมืองที่ไป เอาไว้กระทู้หน้าจะเอาภาพมาให้ชม เพราะคงจะเอาใส่มาในกระทู้นี้ กระทู้เดียวคงไม่ไหว
แผนการเดินทาง: โดยการเดินทางจะเริ่มต้นจากกรุงเทพ ไปลงที่เมือง Milan โดยสายการบิน Emirate (ต่อเครื่องที่ดูไบ) จาก Milan ก็เดินทางท่องต่อไปตามแผนที่ Milan-Bologna-Florence-Rome (+Vatican)-Lecce-Naples-Rome จากนั้นก็บินกลับกรุงเทพจากสนามบินที่ Rome ครับ ทุกการเดินทางจะวางแผนเอง ซื้อตั๋วเองผ่านทางออนไลน์จากเมืองไทย
VISA: ขอวีซ่าเข้าอิตาลี (Schengen) ทำได้ไม่ยาก รายละเอียดสามารถดูได้ในเวปของ VFS ได้เลย โดยยื่นขอวีซ่าผ่าน VFS ยื่นเอกสารได้ที่จามจุรี สแควร์ ใช้เวลารอวีซ่าไม่นาน ถ้าเอกสารครบ อาทิตย์กว่าๆ ก็ได้แล้ว ค่าวีซ่าคนละประมาณ 3,700 บาท ส่วนตัวผมไม่ต้องขอวีซ่าเพราะผมถือ Official passport สามารถเข้าประเทศอิตาลีได้เลย แต่ผมต้องทำเรื่องขอวีซ่าให้ภรรยาและลูก เนื่องจากผมเป็น Sponsor ทั้งหมดของการเดินทาง
เครื่องบิน: ผมนั่งสายการบิน Emirate ชั้นประหยัด ต่อเครื่องที่ดูไบ ราคา 33,000 ต่อคน โดยขาไปลงที่เมือง Milan ส่วนขากลับ บินกลับกรุงเทพจาก Rome ส่วนตัวไม่เคยนั่งสายการบิน Emirate และโดยปกติก็จะนั่งแบบบินตรง ไม่เคยต้องไปต่อเครื่อง ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกกับ Emirate และเป็นครั้งแรกกับการต่อเครื่อง การเดินทางโดยรวม ผมถือว่าดีเลยนะครับ บินไม่ยาวเกินไป (5-6 ชั่วโมง) แล้วก็ลงไปพักที่ดูไบประมาณ 3-4 ชั่วโมง แล้วค่อยบินต่ออีก 5-6 ชั่วโมง เครื่องที่นั่งเป็น A380 ทั้งไปและกลับ อาหารการกินบนเครื่องก็ดี ไม่ต่างจากการบินไทยที่เคยบิน ราคาเครื่องที่จะไปอิตาลีของ Emirate ที่หามาก็ถือว่าไม่แพงแล้วเมื่อเทียบกับสายการบินอื่นๆ โดยรวมแล้ว ถ้ามีโอกาสบินไปต่างประเทศอีก Emirate ก็จะเป็นหนึ่งในลิสต์ของสายการบินที่จะเลือกบินด้วย แต่ตอนที่จะกลับมีเรื่องให้ตื่นเต้นนิดหน่อย เพราะน้ำท่วมดูไบพอดี (17-18 มีปัญหาหนักมีการยกเลิกเที่ยวบิน, 19-20 เครื่องล่าช้าหลายชั่วโมง) โชคดีมากในวันที่บินกลับ (วันที่ 21) สนามบินและสายการบินเคลียร์ปัญหาทุกอย่างไปแล้ว เฉียดฉิวมากๆๆ
รถไฟ: การเดินทางระหว่างเมืองในอิตาลีจะเดินทางโดยใช้รถไฟเป็นหลัก ซึ่งไม่ยุ่งยาก แต่อาจจะขัดใจผมบ้างเล็กน้อย ตรงที่ต้องไปคอยดูที่ป้ายประกาศว่าจะต้องขึ้นรถที่ชานชลาไหน (ปกติผมเดินทางในเยอรมัน แผนการเดินทางของรถไฟจะบอกเวลา และชานชลาที่ชัดเจนเลย ไม่ต้องไปคอยดูชานชลาแบบในอิตาลี) ส่วนการซื้อตั๋ว สามารถวางแผน และซื้อตั๋ว และจองที่นั่งได้จากเมืองไทยเลย (ถ้าวางแผนเร็ว ซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้นาน ราคาก็จะถูกลง) โดยสามารถซื้อได้ใน
https://www.trenitalia.com/en.html ผมซื้อตั๋วและวางแผนการเดินทางก่อนไปทั้งหมด และซื้อตั๋วล่วงหน้าทั้งหมดสำหรับการเดินทางระหว่างเมือง ระบบตั๋วจะส่งมาในอีเมล์ และเป็น QR โค้ด สามารถเปิดให้ตรวจได้จากมือถือเลย โดยที่ไม่ต้องปริ้นออกมาให้ยุ่งยาก รถที่จองจะเป็นรถด่วนวิ่งระหว่างเมืองใหญ่ ความเร็วขึ้นถึง 300 km/h ภายในรถจะมี free Wifi และมีปลั๊กให้เสียบชาร์จได้ ใครจะเดินทางโดยรถไฟแบบนี้แนะนำให้จองที่นั่งไปด้วยจะดีกว่า (เพิ่มเงินค่าจองที่นั่งนิดหน่อย ~2 EUR) จะได้มีที่นั่งแน่นอน ที่จริงตรงนี้เป็นอีกจุดนึงที่รู้สึกขัดใจ เพราะรถไฟที่อิตาลีจะไม่มีป้ายไฟบอกตามที่นั่งว่ามีคนจอง หรือไม่มีคนจอง ซึ่งต่างจากรถไฟ ICE ของเยอรมันที่จะมีป้ายไฟบอกว่าที่นั่งตรงนี้มีคนจองจากสถานีนี้ถึงสถานีนี้ หรือถ้าไม่มีคนจองป้ายไฟก็จะไม่ขึ้นบอกอะไรเป็นอันรู้กันว่าตรงนี้ว่าง ไม่มีคนจองไว้ สามารถนั่งได้ แต่ในอิตาลีเราจะไม่รู้อะไรเลย เพราะไม่มีป้ายอะไรบอก ดังนั้นดีที่สุดคือจองที่นั่งของตัวเราเองไว้ดีกว่าครับ
การเดินทางภายในเมือง: การเดินทางภายในเมือง โดยปกติผมจะใช้การเดิน เพราะสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองสำคัญๆ สามารถเดินถึงได้ โดยไม่ต้องนั่งรถโดยสาร สามารถวางแผน และเลือกโรงแรมจากในแผนที่ได้เลย ที่อิตาลีผมจะเลือกโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟหลัก สามาถเดินถึงได้ไม่ยาก และก็เป็นโรงแรมที่สามารถเดินไปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน Milan, Bologna, Florence, Rome ผมเดินเอาทั้งหมด ไม่ได้นั่งรถในเมืองเลย ผมจะต้องมีนั่งรถในเมืองบ้างเช่นไปวาติกัน หรือไปที่มหาวิทยาลัยของ Lecce ที่อยู่นอกเมืองต้องนั่งรถบัสประจำทางออกไป ปกติเมืองใหญ่ระบบการซื้อตั๋วรถภายในเมืองก็ไม่ยุ่งยาก สามารถกดอัตโนมัติได้ แต่ถ้าเป็นเมืองเล็กแบบ Lecce จะยุ่งยากมากหน่อย เพราะไม่มีตู้กดอัตโนมัติ ต้องไปซื้อตั๋วรถโดยสารตามร้านขายบุหรี่แทน
โรงแรม: โรงแรมในอิตาลีจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ โรงแรมแบบปกติที่เราๆรู้จักกัน Hotel 3 4 5 ดาวอะไรก็ว่ากันไป ส่วนอีกแบบที่พบมากในอิตาลีคือ B&B (Bed and Breakfast) ที่จะเป็นลักษณะของ Apartment เอามาแต่งให้เป็นห้องพัก และเปิดให้เข้ามาพักได้ B&B บางครั้งราคาบางครั้งก็ไม่ต่างจากโรงแรมมากนัก ความแตกต่างระหว่าง B&B กับโรงแรมที่ชัดๆคือ เรื่องของอาหารเช้า ที่โรงแรมจะเป็นอาหารเช้าที่เป็นบุฟเฟ่ต์ ส่วนของ B&B จะไม่ได้ full service ขนาดนั้น จะเป็นอาหารเช้าแบบจัดมาเป็นชุดๆ ทำเอง บริการเอง บางแห่งเป็น self service ด้วยซ้ำ ถ้าใครชอบแบบ full service มีอาหารเช้าแบบจัดเต็มกว่า ก็ให้เลือกพักแบบ Hotel จะดีกว่าครับ แต่ถ้าคนไหนอยากจะสัมผ้สอารมณ์แบบใกล้ชิด local หน่อย มีห้องครัว มีเครื่องซักผ้าให้ใช้ ก็เลือกแบบ B&B ได้ครับ ส่วนตัวผมไปพักมาทั้งสองรูปแบบ โดยจองผ่าน booking.com ทั้งหมด ทำการบ้านเอง เลือกเอง จองเอง อยู่เองทั้งหมดครับ ส่วนเรื่องราคา ผมไม่ลงรายละเอียดตรงนี้เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว ผมพาครอบครัวไป เดินทาง 3 คน จองห้องพักสำหรับ 3 คน ราคามันเลยสูงกว่าห้องคนเดียวนะครับ การพักที่อิตาลีมี 2 เรื่องที่ควรจะต้องทราบคือแต่ละเมืองจะมีการเก็บภาษีของแต่ละเมือง(ถ้ามีการเข้าพัก) โดยภาษีนี้จะไม่ได้รวมอยู่กับค่าโรงแรมที่จองไว้นะครับ เวลา check out ทางโรงแรมที่พักก็จะเรียกเก็บภาษีเมืองจากเราต่างหากครับ ราคาก็ตกอยู่ที่คนละประมาณ 10 EUR ต่อคน (นับเป็นคน ไม่นับเป็นคืน จะนอนกี่คืนก็จ่ายเท่ากันที่ 10 EUR ต่อคน) ส่วนอีกเรื่องคือห้องน้ำในโรงแรมหรือที่พักในอิตาลีจะมีเหมือนอ่างเล็กๆ ข้างๆ โถส้วม ถ้าคนไม่เคยไปจะ งง ว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไรวะ ที่จริงอ่างเล็กๆนั้นก็ทำหน้าที่เหมือนที่ล้าง(ฉีด)ก้นบ้านเรานะครับ เวลาเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ย้ายมาล้างก้นตรงอ่างเล็กๆนี่ 5555 อันที่จริงอ่างนี้ไม่ใช่แค่ล้างก้นนะครับ ล้างเท้าก็ได้ และที่สำคัญคือถ้าใครเดินเยอะๆ ตอนกลางคืนก่อนนอน ให้เปิดน้ำร้อนขังเอาไว้ แล้วหาเก้าอี้มานั่งเอาเท้าแช่น้ำอุ่นๆ มันจะช่วยผ่อนคลายเท้าเราได้มากๆ เพราะการเดินในแต่ละวันตกวันละหลายกิโลเมตร ก็จะทำให้เมื่อย จะปวดขา ปวดเท้าได้ครับ ยิ่งคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วย จะยิ่งปวดเมื่อย การแช่น้ำอุ่น น้ำร้อน ในอ่างล้างตูดนี่แหละครับ จะช่วยได้เยอะเลย 5555
การใช้เงินในอิตาลี: ระบบการใช้เงินในอิตาลีสามารถใช้ Travel card (ที่เติมเงินสด) ได้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนตัวใช้ PLANET SCB เพราะมีบุ๊คออนไลน์ของธนาคารเขาอยู่แล้ว บัตรก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาสำหรับร้านค้าทั่วไปนี่ลื่นเลย เล็กๆ น้อยๆ จ่ายได้ สามารถใช้ได้ง่ายเลย แค่แตะปุบ เงินออกปับ แต่ผมเจอปัญหาการใช้บัตรกับการซื้อตั๋วรถไฟที่ตู้อัตโนมัติ เพราะที่ตู้มันต้องมีการกดรหัส 4 ตัวด้วย แต่ผมกดรหัสแล้ว มันไม่ผ่าน เพราะรหัสของเรามี 6 ตัว พอกดไปแค่ 4 มันเลยเลยไม่ผ่าน ลองไปหาในเน็ตบางคนบอกว่ากดไปเลย 6 ตัว แม้ว่าเครื่องมันจะขึ้นแค่ 4 ตัวก็ไม่เป็นไร ให้เรากดให้ครบ 6 แล้วค่อยกดปุ่มเขียว แล้วมันจะผ่านเอง ซึ่งตรงนี้ผมไม่สามารถยืนยันได้ เพราะผมก็ไม่ได้ลองกดแบบนั้นดูด้วย สุดท้ายก็ต้องควักเงินสดหยอดใส่ตู้ไปแทน มาเจอปัญหาอีกครั้งตอนในซื้อของใน Duty free ที่สนามบิน ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันคือให้กดรหัส 4 ตัว และมันก็ไม่ผ่านเหมือนเดิม สุดท้ายต้องใช้บัตรเครดิตรูดจ่ายไป เอาเป็นว่าบัตร Travel card ต่างๆ สามารถใช้ได้ดีในอิตาลี แต่ก็อย่าลืมพกเงินสดติดตัวไว้บ้างก็ดีครับ เผื่อกรณีฉุกเฉิน
อินเตอร์เน็ต: ทริปนี้ผมซื้อ Roaming data ของ AIS ไป 7 GB ราคา 899 บาท ระยะเวลา 15 วัน การใช้งานก็ไม่ยุ่งยากแค่เปิด Roaming ก็จบ ใช้เน็ตได้ พูดเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ผมดันเจอปัญหา และก็เป็นปัญหากับ App ที่สำคัญที่สุดสำหรับการเดินทางคือ Google maps ในมือถือแอนดรอย คือแผนที่ค้างบ้าง โหลดไม่ขึ้นบ้าง ซึ่งเป็นแบบนี้แทบจะทุกรอบ และบ่อยมากๆ วันแรกๆ แทบจะเขวี้ยงมือถือทิ้ง จนพยายามไปหาข้อมูลในเน็ต พบว่า AIS แนะนำว่าถ้ามีปัญหาอินเตอร์เน็ตให้ reset สัญญาณโดยการกด Airplane mode แล้วก็ปิด Airplane mode แล้วอินเตอร์เน็ตก็จะกลับมาใช้ได้ ผมเลยใช้วิธีนี้และต้อง reset สัญญาณบ่อยมาก เพื่อให้สามารถใช้ Google maps ได้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร จะว่าเป็นที่มือถือก็ไม่น่าใช่ เพราะลูกสาวผมใช้ AIS และมือถือแอนดรอยเหมือนกัน ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน หรือจะเป็นที่สัญญาณเน็ต หรือเป็นปัญหาที่ Google maps ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าใครจะไปอิตาลี และมี condition เดียวกับผม ก็ให้เตรียมแผนสำรองไว้ด้วย ในกรณีฉุกเฉินที่แผนที่เปิดไม่ขึ้นครับ (ภรรยาผมใช้ Roaming ของ TRUE และใช้มือถือ iPhone อินเตอร์เน็ตลื่นๆ Maps ของไอโฟนก็ใช้ได้ และไม่มีปัญหาอะไรเลย)
รวมการเดินทางทั้งหมด 12 วัน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด (เฉลี่ยต่อคน) อยู่ที่ประมาณ 83,000-85,000 บาท
หวังว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะครับ เอาไวเจอกันในกระทู้หน้า จะเอาภาพแต่ละเมืองมาให้ชมครับ