ถ้าเรามองภาพการเมือง แบบสมดุล
สส. 500 คน รัฐบาล 300 ฝ่ายค้าน 200
ครม. 35 คน

คิดง่ายๆ ก็จะมีคนเล่นการเมือง 1500 - 2000 คน
และมีระดับขุนพล ออกหน้าออกตา เป็น รมต. ได้ ประมาณ 50-70 คน
อันนี้พูดถึงรวมๆ ทั้งรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้านเวลาผสมไปผสมมานะ

ถ้าการเมืองปกติ การนำเข้า คนใหม่ๆ การเปลี่ยนถ่าย ก็จะเพื่อรักษาปริมาณ รักษาสมดุลนี้เอาไว้
การสร้างขุนพล ก็หาประมาณนี้แหละ เติมส่วนขาด ค่อยๆ เรียนการเมืองเพิ่มความเก๋า

อันนั้นคือ สมดุล จำนวนคนจะสู้เพื่อเก้าอี้ก็กำลังพอดี


แต่พอมียุบพรรค อยู่ดีๆ คนหายไปหลักร้อย กลุ่มเจ็บหนักก็กลุ่มขุนพล หายไป 20-30 คน
พรรคสร้างใหม่ ก็ต้องเร่งสร้างขุนพลมาถมตรงนี้
คุณภาพก็ต้องหยวนๆ ความพร้อมก็อาจจะยังไม่พอ

ปัญหามันเกิดตอน ขุนพลรุ่นเก่าปลดแบน แบบช่วงนี้
ขุนพลรุ่นเดิม 30 ที่สร้างใหม่ไว้ พร้อมแล้วอีก 70 ...ขุนพลงอก
พองอกแล้วเก้าอี้ไม่พอละครับ ...เสียสมดุล

เพื่อไทยที่ งอแงกันตอนนี้ ก็แบบนี้ สมดุลเสีย มีระดับขุนพลที่พร้อมสำหรับเก้าอี้รมต. เยอะ
แถมยังเป็นการรวมกลุ่มแบบเหมาๆ ขุนพลดั้งเดิม หลักร้อยคน แทบจะไปกองรวมกันในรัฐบาลหมด
สภาพการเมืองมันจะเละเทะมาก เพราะเกลี่ยยังไงก็ไม่ลงตัว

ก้าวไกล ในอนาคตอันไม่ไกล อาจจะมีปัญหาแบบเดียวกัน
ขุนพลรุ่นแรก แบนไปแล้ว บางคนจะกลับมาในไม่กี่ปี
ขุนพลรุ่นที่ 2 กำลังจะแบนตาม ระยะเวลาการกลับมา อาจจะไม่นาน
นับไปอีก 8-10 ปี ขุนพลรุ่น 1-2 กลับมา บวกขุนพลรุ่นใหม่ที่เติบโต

เกลี่ยยากน่าดูเลยครับ ยิ่งไปรวมกับฝั่งที่อยู่กับเพื่อไทยตอนนี้
สส.ระดับขุนพลมี 200 คน เก้าอี้มี 35 แค่เกลี่ยคลื่นใต้น้ำ แม่บ้านรัฐบาลก็ปวดหัวตายห่-แล้วครับ

มันก็จะแข่งกัน ทำเพื่อประเทศอ่ะหล่ะ แต่พวกที่ถือปืนจะทำยังไงนั่นหล่ะ

ขุนพล

อยากจะขำ5555

สภาพแบบนั้นคือขุนพล

ขุนโจรแย่งชิงสมบัติที่ปล้นมามากกว่า

กฎหมายยุบพรรคมีไว้เพื่ออะไร เพื่อใคร ?

ทำไมไม่ลงโทษเป็นคนๆไป คนในหน่วยงานรัฐทำผิด ไม่เห็นยุบหน่วยงานราชการ แล้วให้ตั้งใหม่

เค้กเท่าเดิมแต่ตัวหารมันเยอะขึ้น
ค่าครองชีพก็ขึ้นทุกวัน ได้แค่นี้จะไปพออะไร

ของก้าวไกลเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งนี่ครับ ทำงานโดยไม่ใช่รัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยก็ได้

ถ้าการเมืองปกติ พวกปิยบุตร ช่อ ธนาธรก็ไม่จำเป็นต้องลงมาเล่นอีกเลยก็ได้ เพราะเปลี่ยนแปลงประเทศไปเรียบร้อยแล้ว

ที่ทุกวันนี้ประเทศไทยมันไม่ปกติเพราะทุกคนจะเอาแต่ตำแหน่ง โดยไม่สนว่าตัวเองมีความสามารถพอไหมนั่นแหละ

ขุนพลหรือลุงพลเอาดีๆ

หน่วยงานรัฐมันไม่คุกคามระบอบ... ในทางกลับกันพรรคการเมืองประชาธิปไตยมันคุกคามระบอบ...

ประเทศนี้ก็รู้ ๆ กันอะนะแบบในวันพีช ถ้าเป็นเรื่องของพวกที่อยู่บนแมรีจัวส์หน่วยงานรัฐแมร่งจะวิ่งกันหูตั้งเลย

นี่แค่รุ่นแรกไปอยู่นอกสภา ยังทำงานภาคประชาชนสะเทือนไปยังในสภาได้ เอาแค่เรื่อง สว ยังทำให้ กกต ออกมาดิ้นก่อนทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูข้อกฎหมายให้ดี ดันออกประกาศแบบกินปูนร้อนท้องออกมาได้

ถ้าพวกรุ่นสองโดนไปอีก บอกเลยงานนอกสภามีอะไรให้ทำอีกเยอะเพราะเป็นการทำโดยเอาประชาชนเอาสังคมเป็นที่ตั้่ง มันอาจจะไม่ได้แสงในทันที แต่พอการทำงานไปถึงจุดนึง ผลลัพธ์มันจะแสดงออกมาเอง

ไม่ต้องห่วง การทำสิ่งที่ควรทำ เสียงสะท้อนมันจะ echo ด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องมาทำ propanganda ให้เสียเวลา

เพื่อประเทศอะไร ทำไมมีแต่เรื่องพวกตัวเองเวลาได้นั่งเก้าอี้ ทำโครงการไหนทำไมต้องแบ่งเค้กก้อนใหญ่ แล้วโยนปอนด์เดียวให้ปชช.รุมกิน

ผมอยากให้ใช้วิธีทาบคนที่มีความสามารถตรงองค์ความรู้ในแต่ละกระทรวงมากกว่า คนเก่งๆเฉพาะด้านจริงดันต้องมาอยู่หลังบ้านคอยคิดคอยเขียนสคลิปให้นักการเมืองไร้ความสมารถพวกนี้เอาน่า ดีไม่ดีมันคิดแล้วโยนให้หลังบ้านทำไป ตัวเองก็ร่อนไปออกงานนั้นนี้เอาเงินค่าตำแหน่งไปอย่างเดียว

ถ้าใช้แค่คำว่าขุนพล คือ คนมีอิทธิพล อำนาจในพรรคอาจจะใช่ ก้ต้องขึ้นกับฮ่องเต้ ด้วยที่คุมได้รึป่าว เพราะมีอำนาจมากสุด แถมรัชทายาทด้วย เหอะๆ

สุดท้าย ขุนพลก้ไม่ได้หมายความว่าจะเก่ง มีเยอะกลับตีกันเองซะด้วยซ้ำ จนแพ้ทัพใหม่กว่า