Bond Yield พุ่ง ลางดีหรือลางร้าย
สรุปปัญหาที่เกิดจาก Bond Market จนตลาดหุ้นเละเทะตามความเข้าใจผมนะ เผื่อจะไปสรุปให้ลูกค้าฟังสุดสัปดาห์นี้
#เเบบย่อ
- เกมการเงินตอนนี้เป็น Pure Asset Allocation
- ก็ในเมื่อการวางเงินไว้ในตราสารหนี้ระยะสั้นให้ผลตอบเเทน 4-5 % เท่ากับหุ้นที่ให้ผลตอบเเทน 4-5% เหมือนกันจึงไม่เเปลกที่เงินจะไม่เข้าหุ้น เเต่ไปวางไว้ใน Money Market เเทน
- ในกรณีของสหรัฐ เกมจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อหุ้นลงมาหนักๆจน Earning Yield ต้องเเตะระดับ 6-7% เพื่อสร้างเเรงจูงใจในการเข้ามาซื้อหุ้น หรือไม่ก็ผลตอบเเทนพันธบัตรต้องถูกกดลงมาจากปัจจัยอะไรบางอย่าง
- Timing มันเเย่มากเพราะมีประเด็นเรื่องสงครามอิสราเอล-ฮามาสเข้ามา เลยเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นเข้าไปอีก
- โดยสรุปภาพสั้นกดดันด้วยความไม่เเน่นอนเรื่องสงครามที่อาจดันเงินเฟ้อขึ้นมาจากราคาน้ำมัน - ส่วนภาพยาวมี Bond Yield เป็นตัวหลักๆที่กดดันในเชิงโครงสร้าง
- เพราะฉะนั้นการเลือกโยกเงินลูกค้าที่ไป Short Dated Duration Fixed income น่าจะเป็นทางเลือกที่ผมว่าดีที่สุดในช่วงนี้
#เเบบเต็ม
- เวลาอ่าน Bond Market ให้ตั้งคำถามก่อนเสมอครับว่าประเด็นมันอยู่ตรงไหนของ Curve
- ปีที่เเล้วทั้งปี ปัญหามันไปอยู่ที่ Bond Yield ระยะสั้น เช่นดอกเบี้ยสองปีที่มันวิ่งตาม Fed Fund rate
- เงินเฟ้อยิ่งมา Fed ยิ่งต้องขึ้นดอกเบี้ยสู้ ขึ้นไปขึ้นมาจนดอกเบี้ยขึ้นไปเเถวๆ 5% สินทรัพย์เสี่ยงมันก็ขึ้นยาก
- ลองดูเส้นสีม่วงในภาพครับ ปีที่เเล้วมันวิ่งเป็นม้าเลย
- มาวันนี้ เงินเฟ้อ (เหมือนจะ) ดีขึ้น เเต่ไม่น่าจะทะลุระดับ 5.3%
- สาเหตุที่ Bond Yield ระยะสั้นไม่น่าเกินระดับ 5.3% เพราะดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินได้จาก Reverse Repo Facilities (RRP) ได้ผลตอบเเทนที่ 5.3% เหมือนกัน
- เพราะฉะนั้นถ้าเทียบกันระหว่างเข้าไปซื้อ T-Bills ในตลาดที่ได้ 5.3% กับการฝากเงินที่ FED โดยตรงเเล้วได้ 5.3% ยังไงเงินก็จะไหลไปทาง RRP มากกว่า ( ซึ่ง FED วางกลไกนี้มาเเล้วเเต่เเรก )
- เกมจะ"เปลี่ยน"เมื่อเงินเฟ้อมันกลับมาขึ้นอีก จากล่าสุด Inflation Expectation กลับมาเพิ่มเเล้วจากประเด็นสงคราม
- พูดถึง Bond Yield 10 ปี++ เป็นตัวเเทน Bond ตัวยาวที่ทำงานคนเเละเเบบกับ Bond ตัวสั้น
- Bond สั้นมันสะท้อนดอกเบี้ยนโยบาย เเต่ Bond ยาวมันคือภาพการมองของเศรษฐกิจระยะยาว ผ่านการซื้อขายของตลาด
- รอบนี้มันเเตกต่างจากที่ผ่านมาจากการที่ Supply ของพันธบัตรมันออกจากความต้องการการกู้ของรัฐบาลสหรัฐ
- เเละรอบนี้มันต่างจากเดิมมากๆ เพราะ Buyer หลักอย่าง FED ไม่ได้เป็นผู้ซื้ออีกต่อไปจากนโยบายการดูดสภาพคล่องออกด้วย Quantitative tightening
- ปัญหาของ Bond Yield ตัวยาวรอบนี้เลยมาจากประเด็น Demand Supply เลยครับหลักๆ
#สรุปหลายความเป็นไปได้ในหลากหลายMultiverse
- Good Case ในระยะสั้น คือสงครามต้องเเผ่ว เพื่อหยุดความกังวลการกลับมาของเงินเฟ้อ---สังเกตได้จาก Bond Yield ตัวสั้นเเละ Inflation Expectation
- Good Case ในระยะกลางถึงยาวคือการหยุดขึ้นของ Bond Yield ตัวยาว -- ซึ่งอาจจะมาจากทั้งการหยุดทำ QT ของ FED , มาจาก Dovish Policy อื่นๆของ FED หรือไม่ก็กระทรวงการคลังประกาศไปกู้เงินจากบอนด์สั้นเเทนตัวยาว ซึ่งนโยบายพวกนี้จะผ่อนคลายตลาดได้ดีมาก
- ส่วน Worst Case คือ Yield ตัวสั้นก็กลับมาขึ้น + Yield ตัวยาวก็พุ่งหนักกว่าเดิม อันนี้เละเทะจริงๆ
- อย่างไรก็ดีผมมองว่าการที่บอนด์ยาวมันพุ่งขึ้นมาขนาดนี้ มันคือการ Tightening ตลาดไปในตัวโดย FED ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเเล้ว >>> เพราะฉะนั้นถ้าให้เดานะ เดือน พย นี้ ไม่น่าจะมี Hawkish Tone ออกมาเเละน่าจะเป็น Sentiment บวกสั้นๆให้ตลาดหุ้นครับ
ส่วนตัวผมเเนะนำวางสัดส่วนเงินสด + กลยุทธ์ดีๆครับเพราะถ้า Bond Yield มันกลับ >>> ตัว Long Dated Duration Fixed Income จะสร้างผลตอบเเทนดีมากๆให้พอร์ทเลย
https://www.facebook.com/love.reading.3