พอดีกำลังศึกษา พยายามทำความเข้าใจแต่มันเอ๋อๆเลยปวดหัว

Bond Yield คือ ผลตอบแทนพันธบัตร(ก็คือการถือเงินกินดอก: ถูกไหมครับ)

ดอกเบี้ย : คือเอามากดเงินเฟ้อ เฟ้อมาจากของแพงคนถือเงินสดเงินเยอะ - แบบนี้คิดถูกมั้ยครับ

เฟด เลยขึ้นดอกเบี้ย ตอนนี้ที่ 5%+ คนเลยแห่กันเข้าถือ Bond Yield ทำไห้ Bond Yield พุ่ง แต่ยิ่งคนถือมาก ค่าของมันก็จะลดลงใช่มั้ยครับ

แล้วที่ Bond Yield ตอนนี้พุ่ง มันเกี่ยวพันยังไงกับดอกเบี้ย ที่เฟดขึ้น ตอนนี้ครับ

ผมหัวจะระเบิดเหมือนคนหัวทือๆทำความเข้าใจยาก อยากให่ช่วยสอนแบบเข้าใจบ้านๆหน่อยครับ

เท่าที่ผมเข้าใจ

เงินเฟ้อคือของต่างๆแพงขึ้น(ทั้งจากอุปสงค์อุปทานสินค้าในระยะสั้น เช่น น้ำมันแพง ตัวเลขของใช้ต่างๆก็มักแพงขึ้นเพราะน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของค่าขนส่ง ระยะยาวเฟ้อจากที่ธนาคารกลางต่างๆโดยเฉพาะU.S.พิมพ์เงินไปใส่กระเป๋าของรัฐบาลผ่านการซื้อพันธบัตรทำให้จำนวนmoney supplyขึ้นอย่างช้าๆ ช้าแต่ก็ขึ้นอยู่ดี) พอของแพงขึ้นสิ่งที่จะลดราคาได้นอกจากการแก้อุปสงค์อุปทานสินค้าเช่นน้ำมันแล้ว อีกทางก็คือการเพิ่มดอกเบี้ย คำว่าเพิ่มดอกเบี้ยคือเพิ่มดอกเบี้ยธนาคารทั้งเงินฝากและเงินกู้ พอดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น ราคาหน้าตั๋วของตราสารหนี้(ตราสารหนี้=พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้เอกชน)ก็ถูกลง สำหรับรายย่อยอย่างเราๆอาจจะซื้อขายตราสารหนี้ไม่ได้แต่รายใหญ่ระดับประเทศหรือองค์กรขนาดใหญ่หรือบริษัทประกันนั้นมักซื้อขายตราสารหนี้กันเพราะได้ปันผลค่อนข้างชัวร์ พอราคาหน้าตั๋วตราสารหนี้ถูกลง ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็จะสูงขึ้น(ยกตัวอย่าง พันธบัตรที่ออกมาปีที่แล้วราคา100บาท ปันผล2.5%ต่อตั๋ว ปรากฎวันนี้ดอกเบี้ยธนาคารให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เงินก็จะเทออกจากพันธบัตรมาเข้าธนาคารกัน พอคนขายพันธบัตรเยอะกว่าคนสูง ราคาก็ตกแต่ผลตอบแทนปันผลเท่าเดิมที่2.5% ดังนั้นสำหรับคนที่จะซื้อพันธบัตรตอนนี้จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรืออีกคำที่คนชอบพูดกันก็คือBond yieldสูงขึ้น)

ดังนั้นถ้าตอบคำถามคุณ พอดอกเบี้ยขึ้น คนจะขายพันธบัตรเพื่อไปฝากแบ๊งธรรมดา ราคาหน้าตั๋วของพันธบัตรจึงต่ำลง พอราคาหน้าตั๋วต่ำลง bond yieldจึงสูงขึ้นครับ(ไม่ใช่เพราะคนแห่กันเข้าถือbond yield)

Bond Yield คือดอกเบี้ยตอบแทนสำหรับผู้ถือพันธบัตรรัฐบาล

Bond Yield ขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับราคาพันธบัตร ถ้าคนขายพันธบัตรเยอะ ก็จะทำให้ Yield สูงขึ้น ถ้าคนซื้อพันธบัตรเยอะจะทำให้ Yield ลดลง

Bond Yield ไม่ได้มีแค่ค่าเดียว แต่เป็นเส้นหรือเรียกว่า Curve เพราะพันธบัตรรัฐบาลมีอายุต่างกัน

เช่น 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 2 ปี หรือมีไปจนถึง 10 - 30 ปี

ตอนนี้ Bond Yield สูงขึ้น แปลว่ามีการขายพันธบัตรออกไป

ทำไมคนถึงขายพันธบัตร อันนี้ถึงจะมาเกี่ยวข้องกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ

โดยปกติพันธบัตรอายุสั้นๆจาก 1 เดือนถึง 2 ปี จะอ่อนไหวหรือสะท้อนนโยบายการเงินของธนาคารกลาง

แต่ระยะยาวๆขึ้นไปเรื่อยๆ จะสะท้อนมุมมองต่อเงินเฟ้อในอนาคต

เพราะฉะนั้น Yield ของแต่ละพันธบัตรช่วงอายุต่างๆกันก็จะต่างกันไปด้วย ไม่ได้เป็นเส้นเดียว

ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอยู่แถวๆ 5%+

จริงๆธนาคารกลางสหรัฐก็บอกมานานแล้วว่าจะขึ้นดอกเบี้ยๆ แต่การเทขายหนักๆมาเกิดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และถ้าสังเกตจะเทขายพันธบัตรที่อายุยาวมากกว่าอายุสั้น

ตรงนี้สะท้อนมุมมองได้หลายแบบ ถ้าเอาแบบที่ข่าวรายงานหรือนักวิเคราะห์เขาเชื่อกันก็คือ

ตลาดคิดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะสูงขึ้นอีกหรืออาจจะอยู่ในระดับที่สูงนานกว่าที่เคยคาดไว้ (เดิมคาดไว้ว่าปลายปี 2023 หรือต้นปี 2024 จะเริ่มลดดอกเบี้ยด้วยซ้ำ) เพราะว่าเงินเฟ้อลดลงในอัตราที่ช้ากว่าที่คาด

ดังนั้นถ้าถือพันธบัตรอยู่ในปัจจุบันก็เป็นไปได้ว่าถ้าอนาคตดอกเบี้ยขึ้นสูงอีก ผลตอบแทนจากพันธบัตรในอนาคตจะสูงกว่า ดังนั้นตลาดเลยขายเพื่อให้ราคาปัจจุบันสะท้อนราคาในอนาคต

หรืออีกปัจจัยก็คือเรื่องการขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐ เรื่องนี้คล้ายๆไทยตรงที่ว่าหนี้รัฐบาลเพิ่มขึ้นๆ มีโอกาสโดน downgrade เรทติ้งของพันธบัตร แล้วในอนาคตก็จำเป็นต้องออกพันธบัตรออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพันธบัตรในอนาคตก็จะมีผลตอบแทนสูงกว่า เพราะปริมาณมากขึ้นจำเป็นต้องจูงใจให้คนมาถือ ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้พันธบัตรตอนนี้โดนเทขาย เพื่อให้ Yield สูงขึ้น

ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง กับ ดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้เท่ากัน เพราะฉะนั้น คนไม่ได้ขายเพื่อเอาเงินไปฝาก

เงินเฟ้อสูงมีหลายปัจจัย แต่เวลาเกิดเงินเฟ้อ มันทำให้เครดิตในระบบการเงินสูงขึ้น จะทำให้เครดิตลดลง ก็ต้องใช้ดอกเบี้ยสูงๆเพื่อดึงการหมุนของเครดิตให้ลดหรือช้าลง

อธิบายได้เข้าใจดีเลยครับ แต่มีอีกคำถามรบกวนหน่อยครับ
Bond Yield / ตลาดหุ้น / ดอกเบี้ย จะวิ่งสวนทางกันยังไงครับ

เช่น Bond Yield ลง หุ้นจะขึ้น ดอกเบี้ยจะ ...

Bond Yield ขึ้นหรือลง กับสภาวะตลาดหุ้นไม่ค่อยตายตัวครับ ขึ้นอยุ่กับสภาวะว่าอยู่ใน phase ไหนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และ cycle ของระบบ credit

การขยับของ bond yield จะมีช่วงที่เรียกว่า bull flattener//bull steepener//bear flattener//bear steepener แต่ละแบบแสดงมุมมองของนักลงทุนและตลาดต่างกันครับ ตลาดหุ้นก็จะเคลื่อนไหวคนละแบบกัน รวมถึง sector ที่เงินจะไหลเข้าออกด้วย

เรื่องพวกนี้ต้องอ่านเยอะ แล้วหาเคสในอดีตมาดูเรื่อยๆครับ ถึงจะพอเข้าใจ อธิบายแล้วมันไม่ค่อยกระจ่าง