[บันทึกการเดินทาง] กลับมาสู่ดินแดนบ้านเกิดในรอบ 5 ปี EP.1
หลังจากที่ไม่ได้เขียนอะไรยาวๆ มาซักพักใหญ่ วันนี้ขอนำเสนอบันทึกการเดินทางของผมที่เพิ่งได้เยี่ยมเยียนประเทศไทยในช่วงเดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งกลับประเทศตัวเองไปช่วงก่อนสงกรานต์และเนื่องด้วยจากมีเนื้อหาและรูปภาพหนาแน่น เลยไม่สามารถเขียนจบลงได้ภายใน 1 กระทู้ เลยขออนุญาติแยกเขียนเป็น EP ไปครับ
[คำเตือน : 4-5G Warning เนื้อหาและไฟล์ภาพมีขนาดใหญ่พอสมควร]
บทเกริ่นนำ : 7 ปีแห่งการอาศัยอยู่ดินแดนแห่งเสรีภาพ
หากลองย้อนกลับไปดูตัวผมเองเมื่อก่อน ตอนนั้นผมเองยังเป็นแค่ฟรีแลนซ์ว่างงานที่มีรายได้ต่ำที่ไม่มีอนาคตอันแน่นอน จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่อย่างวีซ่าถาวร หรือ กรีนการ์ด ใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายและอับจนหนทางจากประเทศไทย เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไป 7 ปีแล้ว สถานะตัวเองก็ได้เปลี่ยนแปลงเป็นสัญชาติอเมริกัน แต่ถ้าหากนับช่วงเวลาที่ได้กลับมายังประเทศไทยครั้งล่าสุด ก็ต้องย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หรือปี 2018 ถามว่าทำไมถึงทิ้งช่วงเวลานานขนาดนั้น สาเหตุหลักๆ ก็คือ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับหน้าที่การงานและสถานะพลเมือง แถมยังมีโควิต-19 เข้ามาคั่นจังหวะด้วย ก็เลยรอจังหวะที่ตัวเองพร้อมที่สุดเมื่อสอบซิติเซ่นผ่านและทำพาสปอร์ตเรียบร้อย จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่ได้กลับมาอีกครั้ง
บินข้ามโลกกลับมาในรอบ 5 ปี
ตอนช่วงปี 2018 ได้กลับมาครั้งนึง แต่ความรู้สึกครั้งนี้มันต่างกันออกไป ด้วยสถานะตอนนั้นยังไปอยู่ไม่กี่ปี ความรู้สึกยังไปๆ มาๆ แบบสบายๆ แต่ครั้งนี้มันต่างกันออกไป ด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่เหมือนเดิมทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกไป และด้วยความที่อายุมากขึ้น เป็นการเดินทางเต็มไปด้วยความกังวลต่างๆ เพราะเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกันอย่างมีความสุขกับเหล่าคนใกล้ชิดและเพื่อนๆ มันช่างสั้นยิ่งนัก และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกหรือไม่ เลยตั้งใจช่วงเวลานี้พักผ่อนรีแล็กซ์อย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นการชาร์จพลังงานให้ตัวเองไปในตัว แม้มันจะเหนื่อยที่ต้องนั่งเดินทางบนพื้นที่แคบๆ ในเครื่องบินเป็นเวลาร่วมวันก็ตาม
เมื่อก้าวแรกถึงสนามบินประเทศไทย สิ่งที่ขัดใจมาตลอดก็คือ WIFI ในสนามบินกลับต้องเสียเวลา login อะไรไม่รู้วุ่นวาย ในขณะที่สนามบินประเทศอื่นๆ ที่ตัวเองได้เคยไปสัมผัสอย่างอเมริกา(สนามบิน JFK) ไต้หวันและเกาหลีใต้ มี WIFI ฟรีให้ตลอด และแน่นอนว่าต้องใช้ซิมนักท่องเที่ยวเพื่อติดต่อคนรู้จักมารับที่สนามบิน บางครั้ง อยากจะรายงานให้คนภายนอกได้รับรู้ แต่ต้องมาล่าช้าไป กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระที่ขนมา และติดต่อโลกภายนอก ดันเป็นลำดับสุดท้ายเสียอย่างนั้น
หลังจากที่ออกจากสนามบินมาได้ซักพัก ก็ได้นั่งชมวิวบรรยากาศท้องถนนยามค่ำคืนในแบบที่ไม่เคยเห็นมานาน เป็นเรื่องของทิศทางเลนถนน พวงมาลัย แต่ก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะอยู่เมืองไทยมาเกือบ 30 ปี เรื่องความเคยชินย่อมมีพอๆ กัน ส่วนเรื่องขับรถที่ประเทศไทย ผมขอยอมแพ้และเป็นแค่คนนั่งรถไปเฉยๆ ก็พอ ยิ่งด้วยที่อเมริกาไม่ค่อยเจอจำนวนรถมอเตอร์ไซต์ที่มากมายขนาดนี้ ขนาดเมืองใหญ่ๆ อย่าง นิวยอร์คซิตี้ เกาะแมนฮัตตัน ถึงรถจะติดพอๆ กัน แต่จำนวนมอเตอร์ไซต์แทบจะไม่ค่อยได้เห็น ส่วนมากเป็นจักรยานมากกว่า
เมื่อถึงที่พักแล้ว สิ่งที่ทำเป็นลำดับแรกก็คือ ลงไปหาซื้อของกินที่เซเว่น นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ไม่ว่าจะเป็นพวกไส้กรอก แฮม ที่รสชาติดีจัด เมื่อเทียบกับฝั่งของอเมริกาที่มีแต่ความเค็มอย่างเดียว และซื้อของไปตุนพอสมควร ด้วยความต่างของค่าเงินค่าครองชีพ เพราะตอนอยู่ที่อเมริกา ชาเขียวโออิชิ ขวดละประมาณ 2.5 ดอลลาร์ หรือประมาณ 80 กว่าบาท อยู่ไทยซื้อได้ 3 ขวดเลยทีเดียว แต่ทุกครั้งที่ซื้อ ก็จะเจอคำถามที่ต้องปฏิเสธเป็นประจำก็คือ เป็นสมาชิกออลเมมเบอร์หรือเปล่า น่าเสียดายที่อยู่ไม่นานและไม่น่าจะได้ใช้ในระยะยาว เลยไม่ได้สมัครไป
วันต่อมา ก็ได้นัดรวมเหล่าเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน นั่งกินข้าวที่ร้านประจำ เป็นร้านอาหารอีสานข้างฟุตบาท ที่กินมาร่วม 20 กว่าปี และร้านก็ยังยืนยงคงกระพัน เปิดทำการขายจนมาถึงทุกวันนี้ สิ่งที่น่าตกใจก็คือ วันที่นัดรวมพลกัน เป็นวันเดียวที่กลับมากินร้านนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว (22 มีนาคม 2018 / 22 มีนาคม 2023) แถมสมาชิกที่มากินก็ยังเป็นสมาชิกกลุ่มเดิม ไม่ขาดไม่เกิน เป็นเรื่องที่บังเอิญเลยจริงๆ หวังว่าคราวหน้าที่มากินอีกจะยังเป็นสมาชิกกลุ่มเดิมเป็นอย่างน้อยนะ แต่อย่างนึง ไม่อยากมาช่วงหน้านี้ที่อากาศโคตรร้อนเลย ยิ่งเป็นคนเมืองอากาศหนาว เจออากาศร้อนแรงแบบนี้ แทบจะไม่อยากออกไปเที่ยวไหนตอนกลางวันเลย
หลังจากบินมาเมืองไทยไม่กี่วัน ก็ได้ฤกษ์บินอีกรอบ แต่คราวนี้ บินขึ้นเหนือไปที่เชียงใหม่ และดันดวงไม่ดีไปเที่ยวในช่วงที่สภาพอากาศย่ำแย่ที่สุด ซึ่งค่า US AQI ของเชียงใหม่ แทบจะไม่เคยต่ำกว่า 150 เลย เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านที่ตัวเองอยู่ในปัจจุบัน เป็นสีเขียวตลอด (ต่ำกว่า 50) พอมาเจอแบบนี้ก็ได้แต่ทำใจ ให้ย้ายเปลี่ยนที่เที่ยวก็ไม่ทันละ จองตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมมาครึ่งปี แถมไม่ได้เตรียมหน้ากาก N95 ไปด้วย ก็เลยใช้หน้ากากอนามัยกันไปแทนก่อน และพยายามไม่ออกไปไหนถ้าวันไหนฝุ่นหนาจัดจริงๆ (หรือเอาจริงๆ มันก็เกือบทุกวันเลย ช่วงเวลานั้น) และสิ่งสำคัญที่ทำก่อนออกจากสนามบินก็คือ เช่ารถยนต์ส่วนตัวไว้ เพราะขับรถไปไหนมาไหนน่าจะสะดวกกว่า โดยมีแม่ที่มีใบขับขี่ Inernational License เป็นคนขับให้ ส่วนผมเป็นคนอ่านแผนที่ GPS เอา
เมื่อมีรถยนต์เช่าแล้ว คราวนี้ก็เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น โดยสถานที่แรกที่ได้ไปเที่ยว ก็คือ ตลาดอนุสาร อยู่ตรงใกล้ๆ กับ บิ๊กซี-พันธ์ทิพย์ เชียงใหม่ หรือใกล้ๆ กับ นิมมาน โดยที่นี่จะเป็นตลาดเปิดช่วงกลางคืน เริ่มเปิดตั้งแต่ช่วง 6 โมงเย็น ก็จะมีศูนย์อาหารและของกินเต็มไปหมด หลงวนอยู่แถวนี้ไปพักนึง เพื่อหาที่จอดรถ และจนได้มารู้ว่า ภายในวัดศรีดอนไชย ที่ห่างจากตัวตลาดประมาณ 3-400 เมตร สามารถจอดรถได้ เสียค่าจอดรถถูกมากและมีพื้นที่กว้างพอสมควร จอดรับรถที่มาท่องเที่ยวได้หลายสิบคัน พอได้ที่จอดรถก็เดินไปเที่ยวตลาดได้อย่างสบายใจ
ในส่วนของเมนูที่กินกันในวันนั้นก็ตามภาพที่เห็น สิ่งที่ตัวเองอดอยากมานาน ก็คืออาหารทะเลแต่ดันไปกินที่เชียงใหม่ ถึงกระนั้นก็เถอะก็ยังอร่อยกว่าอาหารทะเลแช่ฟรีซของรัฐ Connecticut แถวบ้านผมอยู่ดี ประกอบไปด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ด อย่างน้อยก็เป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะไปกินอาหารทะเลจริงๆ จังๆ ที่จะกล่าวถึงใน EP ถัดๆ ไป ส่วนอาหารอื่นๆ ก็ถือจัดว่าเยี่ยม ทั้งไอศกรีมกะทิวุ้นมะพร้าว และผัดไทกุ้งสด ที่ต่อให้ที่อเมริกาหรือในห้าง Walmart จะมีน้ำซอสปรุงรสผัดไท หรือร้านอาหารไทยตรงโน้น ก็ไม่มีทางทำได้ใกล้เคียงหรืออร่อยเทียบเท่าที่ประเทศไทยจริงๆ ที่น่าแปลกใจก็คือ เมนูผัดไทนี้เป็นที่นิยมในอเมริกาพอสมควร พอกินกันเสร็จแล้ว ก็ซื้อของฝากติดไม้ติดมือกันไปหน่อยก่อนกลับเข้าที่พักโรงแรม
การเดินทางของผมยังไม่จบเพียงแค่นี้ และสถานที่ปลายทางต่อไปก็คือ ดอยสุเทพ
To be continued EP2 : เชียงใหม่ในวันที่คลุกฝุ่น