โครงสร้างต่างยังไง นโยบายส่วนใหญ่ก็แจกเงินกับฟรีการศึกษาพยาบาล แจกเงินคนแก่ เงินบำเน็จบำนาญ

สำคัญที่ หาเงินจากไหนมาทำ ถ้ารัฐมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ หรือจัดสรรงบประมาณมาทำได้ มันก็ยั่งยืน

แต่พวกประชานิยมนี่เป็นปัญหากันนี่คือ กูกู้มาแจกก่อน หาเงินไม่เป็น แบบนี้แตก

เหมือนกันแหล่ะครับ



อาจจะต่างกันหน่อย

สวัสดิการ คือ ได้ทุกคนที่เข้าเกณฑ์ และ มักจะมีให้ตลอด ไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่รัฐบาล อาจจะมีการปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์บ้าง

เช่น 30 บาท รักษาทุกโรค เงินเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุ เบี้ยเลี้ยงคนพิการ เป็นต้น


ประชานิยม มักจะมาเป็นครั้งคราว บางทีก็ให้ครั้งเดียว หรือ ช่วงเวลาเดียว บางทีเปลี่ยนรัฐบาล ก็เลิกโครงการ


ประชานิยม ก็เหมือน ยารักษาโรค ใช้ถูกจุด ถูกโรค ถูกคน มันก็รักษาอาการป่วยได้

ใช้มั่วๆ พร่ำเพรื่อ เชื้อโรคก็ดื้อยา รักษาไม่หาย

ผมคิดว่าสวัสดิการคือถ้วนหน้าทุกคนได้ และอยู่อย่างยั่งยืน

ส่วนประชานิยมคือได้บางกลุ่ม และไม่ยั่งยืน

ประชานิยมก็นโยบายที่มีเพื่อเพิ่มความนิยมของประชาชน จะเป็นนโยบายแบบใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นสวัสดิการครับ

อย่างไรก็ตามทั้งสองคำไม่ได้เป็นปัญหาหรือมีความหมายทางลบอย่างที่เอามาใช้กันโดยเฉพาะประชานิยม

ถ้าประชาชนจะเลือกใครมาเป็นผู้นำประเทศ คนนั้นก็ต้องออกนโยบายมาทำให้ประชาชนนิยมอยู่แล้ว ดังนั้นนโยบายใครดีกว่าก็ได้รับความนิยมไป เพราะผู้แทนเข้ามาทำงานให้ประชาชน

จึงไม่ควรกลัวหรือโดนชักจูงด้วยคำว่าประชานิยมครับ

อย่างไรก็ตามที่เห็นบางรัฐล้มไปเพราะการออกนโยบายหรืออะไรก็ตาม มันเป็นเพราะเกิดการออกนโยบายที่ไม่ได้ดูความเป็นจริง ทำให้ประเทศมีแต่หนี้และไม่เคยวางแผนป้องกันความเสี่ยงไว้(ผู้นำกึ่ง ๆ เผด็จการคิดว่าจะสามรถหากินจากทรัพยากรที่ตัวเองมีได้ตลอด)

ซึ่งถ้าเป็นประเทศที่เปิดให้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี มีสนับสนุนเวทีดีเบต ยังไงก็จะมีคานงัดอำนาจคอยตรวจสอบนโยบายกันและกันตลอดเวลาอยู่แล้ว อย่างเช่น นโยบายขึ้นค่าแรงของเพื่อไทย ที่ใคร ๆ หรือกระทั่งบอร์ดเราเองยังถกเถียงกันยกใหญ่อยู่ช่วงนึง

จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะตามรอยประเทศที่ล่มสลายไป จึงไม่ควรกลัวสิ่งที่เรียกว่าประชานิยม แต่ต้องสันบสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้รู้ว่านโยบายของผู้นำคนไหนจะทำให้ประเทศเดินผิดทางครับ

ปล. และนี่ก็คืออีกเหตุผลสำคัญที่ประชาธิปไตยต้องมี Free speech ครับ แม้มันจะต้องแลกด้วยอะไร Free speech คือสิ่งที่ต้องสู้เพื่อให้ได้มาและรักษาไว้ให้ลูกหลานให้ได้ครับ

รัฐบาล ทุกรัฐบาล พรรคการเมืองทุกพรรค ก็ต้องออกนโยบายมาเอาใจประชาชนอยู่แล้ว



ใครจะเอานโยบาย ประชาไม่นิยม มาหาเสียงล่ะ



ถ้าคุณเป็นหัวหน้าพรรค คุณจะชูนโยบาย ขึ้นภาษี เก็บค่ารักษาพยาบาล ล้มโครงการสวัสดิการมั้ย

ผมชูนโยบายรัฐสวัสดิการโครงสร้างพื้นฐาน ใครเรียนหมอมีทุนให้แต่ต้องทำงานรพ.รัฐ ขยายบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งไทยและต่างชาติเข้ารพ.รัฐ (ภายใต้เงื่อนไขของรัฐ) รพ.รัฐขนาดใหญ่ต้องมีครอบคลุมทุกภาค ทุกจังหวัด

สร้างพื้นที่กิจกรรม เสริมคุณภาพชีวิต จัดโซนค้าขายเป็นหลักแหล่งใกล้โซนกิจกรรมและท่องเที่ยว (อารมณ์ย่านการค้าญี่ปุ่น)

ส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อม .. แต่ขอประชุมผู้ประกอบการดูปัญหาตามกระแสปัจจุบัน แล้วแก้ปัญหาแบบไม่หย่อนไปไม่ตึงไป รัฐช่วย แต่ตัวเองต้องพัฒนา

นโยบายรัฐสวัสดิการหรือประชานิยม มีให้คิดให้ทำเยอะแยะ ไม่ต้องเน้นแค่ดันค่าแรง ปรับเงิน แจกตัง .. รัฐมันควรทำให้ปัจจัยพื้นฐานของประชาชนเข้มแข็ง เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพที่ดีขึ้น แล้วรายได้มันจะโตตามไปเอง ประชาชนก็จะยอมเสียภาษีมากขึ้นเอง เพราะเสียให้รัฐแล้วรัฐช่วยคุณภาพชีวืตพื้นฐานให้ดีขึ้นได้

แต่ที่เห็นกันตรงนี้คือแทรกแซงกลไกอยู่ตลอด แต่คุณภาพประชาชนเท่าเดิมแล้วยิ่งนับวันแย่กว่าเดิมด้วย

สวัสดิการคือเรื่องที่ทำระยะยาว ทำแล้วจะต้องคงอยู่ไปตลอดจะเป็นการแจกเงิน
หรือสิทธิ์หรืออะไรก็ได้ แต่ประชานิยมคือทำแค่ชั่วคราว ซึ่งทั้งสองอย่างนี้
ส่งผลต่อประเทศทั้ง-และ+ ได้เหมือนกัน ประชานิยมอาจทำให้ประเทศดีขึ้นก็ได้
สวัสดิการอาจทำให้ประเทศแย่ลงก็ได้ หรือสลับกันก็ได้ อย่าติดแค่ชื่อ ต้องดู
รายละเอียดและผลลัพธ์ด้วย บางทีสวัสดิการบางอย่าง รบ. จะเลือกสื่อมาในแบบ
ประชานิยมมากว่า เพราะคนจะเข้าใจมากกว่า

ประชานิยม คือ แจกเพิ่มในเรื่องปกติที่ประชาชนไม่ควรจะได้รับ เอาจริงๆ เงินผู้สูงอายุอะไรพวกนี้ผมนับนะ เมื่อสมัยก่อนไม่มี ก็ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ปัจจุบันพอให้แล้วกลายเป็นคิดว่านี่แหละเรื่องปกติ พอจะตัดหรือจะลดก็ออกมาต่อต้านกัน คือเข้าใจว่าต่างประเทศมีนโยบายสนับสนุนผู้สูงอายุ แต่ผมคิดว่าเป็นเป็นเรื่องชั่วคราว เพราะรัฐต้องแก้ปัญหาผู้สูงอายุที่เกิดจากยุคเบบี้บูม ซึ่งมีจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรยุคอื่นๆ ดังนั้นยุคเบบี้บูมเคยทำให้เศรษฐกิจหลายๆ ประเทศพุ่งทะยาน แต่พอพวกเขาหมดช่วงเวลาทำงาน พวกเขาก็จะดึงเศรษฐกิจลงเหวไปด้วยเช่นกัน แต่เป็นเรื่องชั่วคราว เมื่อคนกลุ่มนี้ทะยอยล้มตายเกิน 60% เมื่อไหร่ เศรษฐกิจก็จะรันได้ตามปกติที่ควรจะเป็น พวกเราแค่โชคไม่ดีที่เกิดมาต่อจากยุคเบบี้บูม เราจึงต้องอยู่ในประวัติศาสตร์ช่วงเศรษฐกิจยุคเบบี้บูมดาวน์ ที่เงินภาษีต้องเอาไปสนับสนุนคนกลุ่มนี้ในวัยชรา ไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะ แต่ปัญหาคือกลุ่มสร้างรายได้มันลดลง แต่กลุ่มที่ขอรับสวัสดิการมันเพิ่มขึ้นจากโครงสร้างของประชากรก็แค่นั้นเอง พวกเงินที่แจกสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย อันนี้อันตรายเพราะผลพวงจากเรื่องเบบี้บูมย่อมทำให้มาตรฐานในการจัดกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในประเทศเรามันผิดเพี้ยน ผมว่าปัจจุบันเกินครึ่งของพวกที่มีบัตรนี้อยู่ในมือ พวกเขาไม่ควรได้มันด้วยซ้ำ
.
รัฐสวัสดิการ คือ สิ่งพื้นฐานจำเป็นที่ประชาชนควรจะได้รับโดยไม่ต้องจ่ายเอง เช่น ผ้าอนามัย สิทธิ์การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ขนส่งสาธารณะ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เงินชดเชยประกันการว่างงาน

รัฐสวัสดิการอาจจะเป็นแค่
องค์ประกอบของนโยบายประชานิยม
เพราะนฌยบายประชานิยมยังรวมถึงพวก
แจกเงิน,จำนำผลผลิตหรือประกันสินค้าในราคาแพง
บลาๆๆๆ พวกนี้เข้าไปด้วย

ใช่เลยครับ สุดท้ายแล้วประชานิยมมันคือนโยบายที่ทำให้ประชาชนนิยมในตัวผู้นำคนนั้นมากขึ้น รัฐสวัสดิการก็เป็นประชานิยมได้ไม่จำเป็นต้องเป็นนโยบายระยะสั้นถึงจะเป็นประชานิยมได้ครับ

ประชานิยมมีไว้เพื่อให้กลุ่มผู้มีอำนาจในสังคมรู้ตัวว่าอำนาจในการบริหารรัฐจะต้องมาจากประชาชนด้วยครับ เราจึงจะเห็นพวกที่ไม่เคยใยดีประชาชนเลยออกนโยบายเอาใจประชาชนมากันยกใหญ่ในช่วงที่ต้องแย่งชิงอำนาจกัน

ดังนั้นความหมายของประชานิยมออกไปในทิศทางที่ค่อนข้างดีด้วยซ้ำครับ แต่ก่อนหน้านี้ตอนมีม็อปขับไล่อดีตนายก มีการเอาคำนี้มาโจมตีกันจนคนไปเข้าใจว่าประชานิยมเป็นเรื่องไม่ดี ทั้งที่มันมอบอำนาจใฟ้ประชาชนเลยครับคำ ๆ นี้

รัฐสวัสดิการคือการรับประกันความมั่นคงในชีวิตให้ประชาชน
เปรียบเหมือนถ้าล้มอย่างน้อยก็ยังมีฟูกถึงอาจจะเป็นฟูกห่วยๆก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรรองรับ
เช่นถ้าอย่างน้อยเรามีไอเดียอยากไปทำธุรกิจไรสักอย่าง ถ้าเป็นประเทศที่ไม่มีสวัสดิการคือคุณต้องทุบหม้อข้าวล้มก็คือจบชีวิตเลยหรือถ้าดีก็ดีไปเลย แต่แบบนี้มันจะทำให้คนไม่กล้าเสี่ยงอยู่แบบเซฟโซนดีกว่าไม่รวยแต่ก็พอมีข้าวยาไส้ แล้วแบบนี้มันจะทำให้สังคมไม่เกิดinnovativeอะไร สังคมก็จะหมุนไปเดิมๆเพราะคนไม่กล้าออกมาสร้างสรรค์อะไรเพราะกลัวเสี่ยงพลาดแล้วชีวิตจบสิ้นทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมนั้นไม่ค่อยโตเพราะคนเน้นเพลย์เซฟ

แต่กลับกัน ถ้าประเทศที่มีสวัสดิการรองรับ มันทำให้คนกล้าฝันกล้าคิดกล้าทำตามฝัน ทำให้คนกล้าเสี่ยงที่จะคิดอะไรใหม่ๆ ทำอะไรใหม่ๆ เพราะอย่างน้อยถ้าล้มก็ยังมีข้าวพอให้ได้อิ่ม แบบนี้จำนวนคนที่กล้าเสี่ยงมันเลยมีมากและความน่าจะเป็นของ%ในการประสบความสำเร็จจึงมีมากกว่าเพราะจำนวนคนกล้าเสี่ยงมันเยอะกว่า ทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมันโต มันสร้างงานในระบบเพิ่มขึ้น สร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้น
แต่มันก็มีข้อดีข้อเสียแต่ส่วนตัวผมว่าข้อดีเยอะกว่า

รัฐสวัสดิการ > ยารักษาโรค

ประชานิยม > คอร์สฟื้นฟูผิวหน้าเสริมสวย

รัฐสวัสดิการ คือ สิ่งที่ประชาชนทุกคนควรจะได้ แต่ยังไม่ได้สักที
ประชานิยม คือ สิ่งที่ประชาทุกคนควรจะได้ หรือ อาจได้มากเกินไปอย่างไม่เหมาะสม จึงนำมาล่อเพื่อให้ประชาชนเลือก