ปิดฤดูกาลนี้ผมว่า เสี่ยทอดปล่อยเด็ก หรือ เเกนหลัก สมัยเสี่ยหมีกระจายเเน่นอน เพราะเรื่องกฎการเงินต้องหาเงินเข้าสดมสร เเต่ผมรู้สึกเสียดาย เเผนที่เชลซีได้วางไว้โดยเป็นรูปเป็นร่างเเล้วด้วย เเต่ยังไม่ได้โกยถ้วยรางวัลมากนัก

โดยเเนวทางของเสี่ยหมียุคปลาย คือ เด็กอคาเดมี่ 50%+โครตดาวรุ่ง25% + เเกนหลัก 25% เราจะได้เห็น เเทมมี่ โทโมริ เมาท์ เจมส์ ชาโลบาห์ กัลลาเกอร์ โอดอย ขึ้นมาโลดเเล่นเยอะเเยะมากมาย รายไหนรุ่งก็อยู๋ต่อ ไม่รุ่งก็ขายต่อได้ราคางาม เเล้วเเทรกด้วยโครตดาวรุ่ง อย่าง ไค พูลิซิค บลาๆๆ

เเต่อีกเเนวของเสี่ยทอดย์ คือ เน้นดาวรุ่งฟอร์มดีจากทั่วทุกมุมโลก เเล้วเอามาสร้างทีมเลย อย่าง เอนโซ่ โฟฟาน่า บาเดียชิล มูดริค มาดูเอเก้ ซานโตส คาซาเด้ ชุควูเมก้า สโลลิน่า เเละอีกมากมาย การเสริมเเบบนี้ทำให้ การเกิดจากเด็กอะเคเดมี่น้อยลงเเน่ๆ เเต่ได้ความสดใหม่จากเด็กเเข้งพรสวรรคืสูงเหล่านี้เเทน เพื่อนๆชอบเเบบไหนกัน

ส่วนตัวชอบเเบบเสี่ยหมียุคปลายเหมือนมีความผูกพันธ์เเละเป้นเด็กท้องที่ด้วยมันจะมีความกระตือรือล้น หรือสู้มากกว่าเด็กเทพๆทั่วไป

ไม่ใช่ครับ


แนวทางของเสี่ยหมี ซึ่งทำตามที่ นีล บาร์ต วางเอาไว้ ( นีล บาร์ต นี่เมื่อก่อนเป็น ผู้อำนวยการ อคาเดมี่ ของ เชลซี แต่ตอนนี้ โบลี่ย์ ดันขึ้นมาดูแล ดาวรุ่ง ทั้งชุดใหญ่ ชุดเล็ก และ อคาเดมี่ เลย )



แนวทางนั้นคือ Vision 2030 ครับ


เป้าหมายคือ ตั้งเป้าไว้ว่า นับตั้งแต่ปี 2030



- 15% ของจำนวนนาที ที่ นักเตะเชลซี ลงเตะใน พรีเมียร์ลีค จะเป็นของ นักเตะที่มาจาก อคาเดมี่ สโมสร


- 25% ของนักเตะในทีมชุดใหญ่ จะต้องเป็นนักเตะที่มาจาก อคาเดมี่ สโมสร ( ทีมชุดใหญ่ส่วนมากมี 25 คน ถ้าจะให้มีเด็กปั้น 25% ก็ประมาณ 6 คนครับ )


- นักเตะในอคาเดมี่ ต้องมีค่าเฉลี่ยด้านการเรียนการสอบที่ดีผ่านเกณฑ์ของที่นู่นด้วย ( ข้อนี้คือให้เด็กสนใจการเรียนด้วย )


- มีนักเตะจาก อคาเดมี่ของ เชลซี ในเกมส์ระดับโปร มากกว่าที่อื่น ( พูดง่ายๆก็ มีเด็กปั้นจาก อคาเดมี่เชลซี ไปเตะในลีคสูงสุด ทีมนู้นทีมนี้ มากกว่า อคาเดมี่ อื่น )


- ได้แชมป์ในระดับประเทศ หรือ นานาชาติ มากกว่าที่อื่น



ประมาณนี้ครับ คือเป้าหมายที่ เสี่ยหมี และ นีล บาร์ต วางไว้ว่าจะทำให้ได้



เด็กปั้นแค่ 25% ของทีมชุดใหญ่ครับ ไม่ใช่ 50% แบบที่คุณว่า ( ถ้า 50% จริงคือต้องมีเด็กปั้นจาก อคาเดมี่ อยู่ในทีม 12 คน ซึ่งมันเป็นไปได้ยาก )



ตามเป้าคือ ขอให้มี เด็กปั้น 6 คน ซึ่งไม่ยากเท่าไหร่ เพราะถ้าไปเตะบอลถ้วยยุโรป เวลาลงทะเบียน คุณต้องมี HG ที่ฝึกกับสโมสร อย่างน้อย 4 คน เพราะงั้นสโมสรใหญ่ๆ จะมี เด็กปั้นจากอคาเดมี่สโมสรไว้ 4 คนเป็นอย่างน้อยอยู่แล้วครับ


ซึ่ง โบลี่ย์ มันก็ยังยึดแนวทาง Vision 2030 ต่อนะ ดูได้จากการที่ นีล บาร์ต ยังอยู่ แถมได้อัพเกรดตำแหน่งขึ้นด้วย


แล้วถ้าดูรายชื่อซื้อขายนักเตะจริงๆ มันดูดนักเตะอคาเดมี่จากทีมอื่นในอังกฤษ มาหลายคนอยู่ ( ไม่ได้ซื้อแค่พวกดังๆ อย่าง ชุควูเมก้า )


แล้วจากแผนงาน สโมสรเครือข่าย มัลติคลับ ที่ โบลี่ย์ จะไปซื้อสโมสรในประเทศอื่นๆมาสร้างเป็นเครือข่ายทีม ( โปรตุเกส ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม บราซิล ) ส่วนนึงก็เพื่อส่งดาวรุ่งออกไปลงสนามในเกมส์ระดับสูงนี่แหละ



เพราะงั้นในยุค โบลี่ย์ น่าจะยังได้เห็นนักเตะจาก อคาเดมี่ เหมือนเดิม แต่อาจจะไม่ใช่เด็กท้องถิ่น 100% น่าจะมีไปดูดมาจากที่นู่นที่นี่ตั้งแต่ 16-18 หลายคนเลย

แนวทางที่ว่า 50+25+25 % นี่คือสโมสรแถลงแนวทางเองเลยเหรอครับ
แล้วที่เด็กอคาเดมี่พุ่งขึ้นมานี่ไม่ใช่เพราะตอนนั้นโดนแบนซื้อขายหรอกเหรอ

ไม่ใช่ครับ


แนวทางของเสี่ยหมี ซึ่งทำตามที่ นีล บาร์ต วางเอาไว้ ( นีล บาร์ต นี่เมื่อก่อนเป็น ผู้อำนวยการ อคาเดมี่ ของ เชลซี แต่ตอนนี้ โบลี่ย์ ดันขึ้นมาดูแล ดาวรุ่ง ทั้งชุดใหญ่ ชุดเล็ก และ อคาเดมี่ เลย )



แนวทางนั้นคือ Vision 2030 ครับ


เป้าหมายคือ ตั้งเป้าไว้ว่า นับตั้งแต่ปี 2030



- 15% ของจำนวนนาที ที่ นักเตะเชลซี ลงเตะใน พรีเมียร์ลีค จะเป็นของ นักเตะที่มาจาก อคาเดมี่ สโมสร


- 25% ของนักเตะในทีมชุดใหญ่ จะต้องเป็นนักเตะที่มาจาก อคาเดมี่ สโมสร ( ทีมชุดใหญ่ส่วนมากมี 25 คน ถ้าจะให้มีเด็กปั้น 25% ก็ประมาณ 6 คนครับ )


- นักเตะในอคาเดมี่ ต้องมีค่าเฉลี่ยด้านการเรียนการสอบที่ดีผ่านเกณฑ์ของที่นู่นด้วย ( ข้อนี้คือให้เด็กสนใจการเรียนด้วย )


- มีนักเตะจาก อคาเดมี่ของ เชลซี ในเกมส์ระดับโปร มากกว่าที่อื่น ( พูดง่ายๆก็ มีเด็กปั้นจาก อคาเดมี่เชลซี ไปเตะในลีคสูงสุด ทีมนู้นทีมนี้ มากกว่า อคาเดมี่ อื่น )


- ได้แชมป์ในระดับประเทศ หรือ นานาชาติ มากกว่าที่อื่น



ประมาณนี้ครับ คือเป้าหมายที่ เสี่ยหมี และ นีล บาร์ต วางไว้ว่าจะทำให้ได้



เด็กปั้นแค่ 25% ของทีมชุดใหญ่ครับ ไม่ใช่ 50% แบบที่คุณว่า ( ถ้า 50% จริงคือต้องมีเด็กปั้นจาก อคาเดมี่ อยู่ในทีม 12 คน ซึ่งมันเป็นไปได้ยาก )



ตามเป้าคือ ขอให้มี เด็กปั้น 6 คน ซึ่งไม่ยากเท่าไหร่ เพราะถ้าไปเตะบอลถ้วยยุโรป เวลาลงทะเบียน คุณต้องมี HG ที่ฝึกกับสโมสร อย่างน้อย 4 คน เพราะงั้นสโมสรใหญ่ๆ จะมี เด็กปั้นจากอคาเดมี่สโมสรไว้ 4 คนเป็นอย่างน้อยอยู่แล้วครับ


ซึ่ง โบลี่ย์ มันก็ยังยึดแนวทาง Vision 2030 ต่อนะ ดูได้จากการที่ นีล บาร์ต ยังอยู่ แถมได้อัพเกรดตำแหน่งขึ้นด้วย


แล้วถ้าดูรายชื่อซื้อขายนักเตะจริงๆ มันดูดนักเตะอคาเดมี่จากทีมอื่นในอังกฤษ มาหลายคนอยู่ ( ไม่ได้ซื้อแค่พวกดังๆ อย่าง ชุควูเมก้า )


แล้วจากแผนงาน สโมสรเครือข่าย มัลติคลับ ที่ โบลี่ย์ จะไปซื้อสโมสรในประเทศอื่นๆมาสร้างเป็นเครือข่ายทีม ( โปรตุเกส ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม บราซิล ) ส่วนนึงก็เพื่อส่งดาวรุ่งออกไปลงสนามในเกมส์ระดับสูงนี่แหละ



เพราะงั้นในยุค โบลี่ย์ น่าจะยังได้เห็นนักเตะจาก อคาเดมี่ เหมือนเดิม แต่อาจจะไม่ใช่เด็กท้องถิ่น 100% น่าจะมีไปดูดมาจากที่นู่นที่นี่ตั้งแต่ 16-18 หลายคนเลย

ของเสี่ยหมีเจอเหตุสุดวิสัย รัสเซียรุกรานยูเครน แผนที่แกวางไว้เลยจบลง

แต่เห็นท็อดด์จะทำตามที่เคยวางไว้ก็ไม่น่าห่วงอะไรละเรื่องตัวเยาวชน มาห่วงชุดใหญ่ก่อนดีกว่า

มันมีเรื่อง Home Grown ค้ำคออยู่ ขายเด็กทิ้งทั้งหมดไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องมีไว้เพื่อเอามาแก้ประเด็นนี้ แต่ถ้ามองจากการกว้านซื้อตัวเด็กๆ ต่างชาติเข้ามาเยอะๆ โอกาสที่เด็กปั้นของสโมสรเองจะได้ขึ้นทีมชุดใหญ่มันก็ยากขึ้นแหละ แต่ไม่ถึงกับหมดโอกาสหรอก

เรื่องอื่นไม่เคยห่วง ห่วงแค่ยังดันทุรังใช้โค๊ชฝีมือหมาไม่แดกอยู่ทุกวันนี้ละ

ต้องบอกท้อดไหมว่า HG เขานับแค่นักเตะ ไม่รวมผู้จัดการทีม ถถถถ

ผมชอบเสี่ยหมีนะ แกทุ่มทุนกับสโมสรจนทำให้รู้สึกว่าแกรักสโมสรมากๆ
แต่มาในยุคท๊อดผมกลับรู้สึกว่าสโมสรกำลังพัฒนาขึ้นไปอีก
ส่วนเรื่องโค้ชก็คงต้องให้เวลาเพราะตังก็เสียไปแล้ว จะให้เสียเพิ่มอีกก็ต้องคิดหนัก

สรุปคือชอบแนวทางในยุคท๊อดมากกว่า