[RE: นักข่าวเดินถามceoไฟเซอร์]
Tpk พิมพ์ว่า:
tobisuki พิมพ์ว่า:
เขาวิจัยกันมาแล้วนะท่าน มีเอกสารให้อ่านเยอะเลยนะ ยังงี้จะบอกว่าแพทย์ทุกคนกำลังโกหกเราหรอ
มันไม่ได้ 100% ไงท่าน แต่มันช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อ ลดการติดแล้วเป็นหนักได้
ถ้าลองไม่มีใครฉีดสิ เละ ตอนนี้มันเริ่มซาๆแล้วก็พูดได้
โกหกพอไมครับแบบนี้ ลองไปดูคนพูดด้วยว่าใครบ้างระดับโลกทั้งนั้น
อ่านเอา
https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/photos/a.220998438383217/1582266028923111/
คลิปซีอีโอไฟเซอร์ถูกสัมภาษณ์ เป็นปฏิบัติการที่เตรียมมา ของกลุ่มต่อต้านวัคซีนครับ"
จริงๆ ช่วงหลังๆ นี่จะค่อนข้างเบื่อหน่ายกับการมาคอยแก้ข่าวปลอมข่าวปั่น จากกลุ่มที่ต่อต้านวัคซีนโควิด -19 แล้วนะครับ ประมาณว่าถ้าไม่อยากฉีด ก็ไม่ต้องฉีด ไม่ได้บังคับให้ฉีดอะไร ... แต่ก็ยังมีคนส่งประเด็นใหม่ๆ มาถามอยู่เรื่อย
อย่างล่าสุด เมื่อไม่กี่วันนี้ เป็นคลิปวิดีโอยาว 3 นาที ทำนองว่านาย Albert Bourla ซึ่งเป็นซีอีโอ ของบริษัทไฟเซอร์ ได้ถูกคน 2 คนเดินเอาไมโครโฟน มาจี้ถามคำถามเกี่ยวกับวัคซีนโรคโควิด-19 ของบริษัท ขณะที่ซีอีโอไฟเซอร์ก็ตอบเพียงแค่ว่า "ขอบคุณมาก" และ "โชคดี" .. พร้อมกับข้อความประกอบทำนองว่า "เหลือเชื่อ นาย Albert Bourla ได้ถูกล่าโดยนักข่าวที่ทิ้งระเบิดใส่เขา ด้วยคำถามเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากวัคซีน ที่เมืองดาวอส"
ซึ่งถ้าใครได้ดูคลิปนี้ โดยไม่รู้รายละเอียดอะไร ก็จะถูกทำให้เชื่อตามคนที่อ้างตัวว่าเป็น "นักข่าว" คนนี้ ที่พูดแต่เรื่องอันตรายจากการฉีดวัคซีน และไม่ได้มีการปฏิเสธจากซีอีโอของไฟเซอร์
แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นการ "จัดฉาก" เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด หวาดกลัวในวัคซีน จากกลุ่มที่ต่อต้านวัคซีนต่างหากครับ
คลิปวิดีโอนี้ ถ่ายที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ก็จริง แต่ไม่ใช่ที่งานประชุม World Economic Forum แต่เป็นช่วงที่นาย Albert Bourla ไปร่วมที่งาน "100 Days to Outrace the Next Pandemic" ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา
ส่วนคนที่ไล่สัมภาษณ์เขานั้น แม้ว่าในคลิปจะสื่อว่าเป็นนักข่าว แต่จริงๆ คือ Ezra Levant ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหัวขวาจัด และ Avi Yemini ซึ่งเป็นยูทูเบอร์ ทั้งคู่ได้ร่วมกันทำเพจในประเทศแคนาดา ชื่อว่า Rebel News และอ้างตนเป็นสื่อ แต่จากการตรวจสอบของเว็บไซต์ Media Bias/Fact-Check ซึ่งคอยทำการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสื่อต่างๆ นั้น ระบุไว้ว่า เพจ Rebel News นี้เป็นแหล่งให้ข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อและทฤษฎีสมคบคิด โดยเฉพาะกับเรื่องการให้ข้อมูลที่ผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19
ดังนั้น จริงๆ แล้ว คลิปดังกล่าว ไม่ใช้การสัมภาษณ์ตั้งคำถามโดยปรกติของนักข่าวที่มีต่อแหล่งข่าว แต่เป็น "ปฏิบัติการ" ที่จัดเตรียมมาเพื่อทำให้คนสนใจ และเชื่อตามให้คำถามที่ชี้นำให้หวาดกลัวและไม่เชื่อถือในประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งเนื้อหาที่ถามส่วนใหญ่นั้น เป็นประเด็นที่เคยได้เผยแพร่และชี้แจงกันไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม ปี 2022 (แต่ก็ยังถูกนำมาอ้างเรื่อยๆ)
ในคลิป จะเหมือนกับว่าซีอีโอของไฟเซอร์ต้องเผชิญหน้ากับ "คำถามจี้ใจดำ" เกี่ยวกับวัคซีนโควิดของบริษัท โดยยิงไปที่เรื่อง "การแพร่ระบาดของไวรัสที่ยังมีอยู่ หลังจากมีการฉีดวัคซีน" ซึ่งซีอีโอก็ไม่ตอบคำถาม และคล้ายจะเดินหนี ...
แต่ในความจริงแล้ว คำถามทำนองนี้ได้เคยถูกถามและตอบกันไปแล้ว ตั้งแต่ที่เขาได้ถูกสัมภาษณ์ และมีการตีพิมพ์ผลการวิจัยวัคซีน ในช่วงปลายปี 2020 แล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในทางทฤษฎีนั้น วัคซีนทุกชนิดน่าจะกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อการเจ็บป่วยจากโรคได้ แต่ในชีวิตจริง มันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะสร้างวัคซีนที่จะหยุด "การติดเชื้อโรค" ได้ด้วย ซึ่งทางไฟเซอร์เองก็ได้ระบุไว้เช่นนั้นตั้งแต่แรก ว่าวัคซีนไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะหยุดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ และถึงแม้ว่าจากผลการศึกษาติดตามการแพร่ระบาดของโควิดหลังจากรณรงค์ฉีดวัคซีน จะแสดงให้เห็นว่า วัคซีนช่วยลดความน่าจะเป็นในการแพร่ระบาดได้ ประเด็นปัญหาที่ตามมาคือ การเกิดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่กลายพันธุ์จากเดิมและแพร่ระบาดได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้เปอร์เซนต์ความสามารถของวัคซีนลดลงโดยปริยาย
ตัวอย่างเช่น จากที่ผู้สัมภาษณ์นั้นพูดว่า “we now know that vaccines do not stop transmission เรารู้ว่าวัคซีนไม่ได้หยุดการแพร่ระบาด” .. อันนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะจากผลการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ต่อเชื้อไวรัสโควิด สายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่น พบว่าถ้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไป 2 เข็ม จะหยุดการแพร่ของเชื้อได้ 90% ขณะที่ถ้าฉีดไป 1 เข็มจะหยุดได้ 80% (จากงานวิจัย
https://www.bmj.com/content/373/bmj.n888)
จากนั้นผู้สัมภาษณ์ก็พูดต่อว่า "You say it (Pfizer vaccine) is 100% effective, then 90%, then 80%, then 70% ท่านบอกว่ามันมีประสิทธิภาพเต็ม 100% แล้วก็เปลี่ยนเป็น 90% แล้วก็ 80% แล้วก็ 70% ” ... ซึ่งการพูดเช่นนี้ ทำให้คนที่ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับไวรัส ว่า "ไวรัสมันมีการกลายพันธุ์ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงเรื่อยๆ เมื่อเจอกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่" จะเข้าใจผิดตามไปด้วยว่ามีการโกหกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน ... ทางแก้ในปัญหาเรื่องนี้ จริงๆ ก็คือการพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ ให้มีประสิทธิภาพดีต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ แต่มันก็ต้องใช้เวลาและความพยายามในการพัฒนาสูงเช่นกัน
สุดท้าย คือประโยคของผู้สัมภาษณ์ที่บอกว่า “it (the Pfizer vaccine) is an ineffective vaccine มันเป็นวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพ " ก็เป็นการบิดเบือนอย่างชัดเจน เพราะเป็นที่ยอมรับกันทางการแพทย์ ว่าประสิทธิผล (efficacy) ในการป้องกันการป่วยของวัคซีนไฟเซอร์ สูงถึง 95% ถ้าใช้กับเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่น (จาก
https://fullfact.org/health/pfizer-vaccine-efficacy/...)