ใน EP ใหม่มีฉากตอนที่อาร์เตต้าประชุมทีมก่อนนัดเปิดบ้านเจอ เบรนด์ฟอร์ด โดยที่นัดแรกซึ่งเป็นนัดเปิดฤดูกาลอาร์เซนอลบุกไปแพ้มาก่อน

หลังเกมนั้น อิวาน โทนีย์ ทวิตว่า "Nice Kick about with the boys." เป็นการแซวอาร์เซนอล

พอถึงนัดที่ทั้งสองทีมเจอกันอีกครั้ง อาร์เตต้าเลยยกทวิตนั้นขึ้นมาในห้องประชุมเพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักเตะ



อาร์เตต้า : "พวกคุณรู้สิ่งที่เขาทำใช่มั้ย? เคยเห็นทวีตนี้ใช่มั้ย? เพราะฉะนั้นวันนี้มันเล่นในบ้านพวกเรา! ในสนามนี้มันมีได้แค่ทีมเดียว! มันคือพวกเราโว้ย!"

จบเกมนั้น อาร์เซนอลเปิดบ้านเอาชนะเบรนด์ฟอร์ดไปได้ และหลังเกม ลากาแซต เอาข้อความเดียวกันมาทวิตแซวโทนีย์กลับ



ผมว่าวิธีการปลุกใจของอาร์เตต้าค่อนข้างแปลกใหม่ดี ส่วนตัวผมว่ามันเข้ากับลักษณะนิสัยของทีมที่เต็มไปด้วยวัยรุ่น
ยิ่งดูแล้วเห็นวิธีการทำงานของอาร์เตต้า ก็ยิ่งรู้สึกชอบแฮะ

ก้ยิ่งต้องปลุกใจมากเข้าไปใหญ่ครับ จะได้ยิ่งการันตี ว่าไม่แพ้ในบ้าน

เล่นในบ้าน ถ้าสมาธิไม่แตกกันเอง ไม่หลุดฟอร์มกันเอง แพ้ยากครับทีมระดับกลางๆ

ผมล่ะเคืองเบรนฟอร์ตมาก นัดแรกนักเตะเราหายไปเกินครึ่ง ชนะได้แล้วขิงใหญ่

ตัว ผจก เองก้ชอบปากดี ทั้งที่ฝีมือผมว่าสู้ พอตเตอร์ หรือ ฮาล ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ผมชอบนะ ผมรู้สึกว่ายังไง social media มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในยุคนี้ไปแล้ว เราก็ใช้ประโยชน์จากมันไปเลยไม่ดีกว่าหรอ

พูดกันตรงๆนักเตะส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มันก็เล่น social media กันเป็นปกติอยู่แล้ว ทวิตนู่นนี่กันหลังเกมไปทั่ว และตัวนักเตะมืออาชีพจริงก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลาในสนาม นอกสนามอยู่แล้ว การดึงจุดนี้มาใช้กระตุ้นจิตใจนักเตะ ไม่ได้ส่งผลให้นักเตะ(ที่วินัยดี)ไปสนใจ social media มากขึ้นกว่าเดิม(จนเกิดผลเสีย)หรอกครับ

#Milan | "ตอนนั้น มิลาน เป็นรอง บาร์เซโลน่า อยู่เยอะ แต่พวกเราเตรียมตัวกันมาดีมาก เรามีแผนการเล่นที่แข็งแกร่ง เราซ้อมแท็คติคการเล่นเกมรับและสวนกลับเป็นพิเศษ พวกเรารู้ว่าเรามีความสามารถในการหยุดพวกเขาได้แน่ ๆ จากวิธีการนี้"

"เราซ้อมและเตรียมตัวมาอย่างดีสำหรับ ครัฟฟ์ และสื่อสเปน เพราะพวกเขาเยาะเย้ยเราในช่วงโหมโรงนัดนี้ เขาบอกว่าเราไม่มีโอกาสในการคว้าถ้วยนี้ และสำทับว่าจะทำให้เรางงเป็นไก่ตาแตก"

"ดอน คาเปลโล่ โมโหแทบคลั่งเมื่อได้อ่านหนังสือพิมพ์ เค้ารู้ว่าทีมสปิริตของเราแข็งแกร่ง และถ่ายทอดความโกรธนั้นแก่เรา ด้วยการนำคำวิจารณ์ต่าง ๆ มาแปะไว้ในห้องแต่งตัว มันช่วยเร้าให้พวกเราคลั่งจนอยากจะลงไปบดขยี้คำเย้ยหยันเหล่านี้ไว ๆ"

"มันเป็นจิตวิทยาที่สุดยอด"

มาร์กแซล เดอไซญี่ เล่าถึงเทคนิคการกระตุ้นทีม มิลาน ในนัดชิงของ คาเปลโล่ ก่อนดวลกับ บาร์เซโลน่า ในปี 1994 ที่ตามหน้าเสื่อถูกยกให้เป็นรองทีมจากสเปนหลายขุม

ด้วยจิตวิทยานี้ มิลาน ตบหน้าสื่อทุกแขนงด้วยการยำใหญ่ บาร์ซ่า 4-0 พร้อมคว้าเจ้าถ้วยหูโตมาครองแบบยิ่งใหญ่ และสั่งสอนให้สื่อสเปนรู้จักกับคำว่า "คาเตนัชโช่" อีกด้วย

Cr. เพจทดเวลาบาดเจ็บ

คาเปลโล่ก็เคยใช้ครับ ต่างที่สมัยนั้นไม่มีโซเชี่ยล เน้นใช้สื่อแทน

เป็นผมก็ขึ้น

เจ๋งมากเลยครับ ปกติไม่ค่อยรู้เรื่องเบื้องลึกของแต่ละทีมเท่าไหร่ด้วย

ผมกลับไม่ชอบแหะวิธีแบบนี้

ตอนนี้เทนฮักปริ้นคำด่าบนโซเชี่ยลให้แมคฯ เฟร็ดอ่านอยู่ รอดูนัดหน้าได้เลย!

สนามจะพอแปะมั้ยครับ

มันทำให้นักเตะ ไปสนใจกับโซเชียลมากขึ้น

ส่วนตัวไม่ค่อยชอบวิธีการ

สมมุติผลลัพท์ออกมาเบรนฟอร์ดชนะ จะเป็นยังไง

ก้ยิ่งต้องปลุกใจมากเข้าไปใหญ่ครับ จะได้ยิ่งการันตี ว่าไม่แพ้ในบ้าน

เล่นในบ้าน ถ้าสมาธิไม่แตกกันเอง ไม่หลุดฟอร์มกันเอง แพ้ยากครับทีมระดับกลางๆ

ผมล่ะเคืองเบรนฟอร์ตมาก นัดแรกนักเตะเราหายไปเกินครึ่ง ชนะได้แล้วขิงใหญ่

ตัว ผจก เองก้ชอบปากดี ทั้งที่ฝีมือผมว่าสู้ พอตเตอร์ หรือ ฮาล ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ผมชอบนะ ผมรู้สึกว่ายังไง social media มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในยุคนี้ไปแล้ว เราก็ใช้ประโยชน์จากมันไปเลยไม่ดีกว่าหรอ

พูดกันตรงๆนักเตะส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มันก็เล่น social media กันเป็นปกติอยู่แล้ว ทวิตนู่นนี่กันหลังเกมไปทั่ว และตัวนักเตะมืออาชีพจริงก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลาในสนาม นอกสนามอยู่แล้ว การดึงจุดนี้มาใช้กระตุ้นจิตใจนักเตะ ไม่ได้ส่งผลให้นักเตะ(ที่วินัยดี)ไปสนใจ social media มากขึ้นกว่าเดิม(จนเกิดผลเสีย)หรอกครับ

ถึงจะบอกให้นักเตะโฟกัสกับฟุตบอลแต่นอกสนามเวลาพักมันก็ต้องมีบ้างป่าว ทุกวันนี้ในออฟฟิสแทบจะ80%ยังเปิดเฟสในที่ทำงานกันอยู่เลย

ep.4
ต้า:วันก่อนคุณว่าไงลากา จะชนะเค้ายังไง
ลากา:จังหวะครับ
ต้า:จังหวะตูดกูนี่ พวกมึงโคตรกากเลย

ใช่ คือผมว่าเรื่องจิตวิทยา กับแนวคิดต้านี่ต้องล้ำมากนะ เราเป็นนักกีฬาเหมือนกันถึงจะไม่ได้ระดับนั้น ยังรู้สึกว่าแม่มเหนือจริง ยิ่งไปเสพฝั่งพวกอเมริกันมากๆคือแนวนี้เลย หลากหลายมาก ๆ
จนแบบบ้านเราควรทำบ้าง แต่ก็นั่นแหละ อันก่อนหน้ายังมีคนมาขำอยู่เลย

ผมอ่านแล้วรู้สึกเหมือนเกนดูซี่ โอซิลขึ้นมาทันที
เดี๋ยวก็มาว่าเหมือนตรงไหน เกนดูซี่มันแนวเอาคืน โอซิลก็เกรียนโซเชียล
อวยๆกันก็แค่แต่งให้มันดูสวยๆ
ทั้งๆที่เจตนามันคือการยุให้เอาคืนชัดๆ ไม่ใช่ตรงไหน

แรกๆผมรู้สึกว่าแกจะเป็นแนวสุภาพบุรุษ แต่พอเริ่มเห็นความหัวร้อน นักเตะถูกกระทำ และตัวเองเสียเปรียบก็เริ่มบ่นแหละ

ผมเข้าใจว่ากระแสต้ามันดูขาขึ้น แต่พวกทำตัวกลางๆรอตีกินมันเห็นทีมดีขึ้น มันก็โผล่มาเต็มไปหมดแบบนี้แหละ มีอะไรตอนนี้คือชมหมด
คือจะขี้จะตดก็หอมหมดแหละ ทั้งๆที่วิธีการมันสามารถติติ่งได้ แต่นี่ บอกหลากหลาย
ไอ้ความหลากหลายนี่มันไม่ได้หมายความว่าไม่มีวิธีการหรอกหรอ โลจิกสับสนอะไรหรือเปล่า
คุณทำไม่ได้ผล คุณถึงเปลี่ยน ถ้าคุณทำแล้วได้ผล คุณก็มีวิธีการ หรือระบบการทำงานที่ชัดเจน ไม่ใช่หรอวะ

---
ผมไม่ได้โฟกัสที่เด็กมันจะติดโซเชียล ก็ต้องถามว่าติดที่คุณคิดคือติดยังไง
ผมว่าก็ติดกันหมดแล้วแหละ ของมันต้องโพสกันอยู่แล้ว

ซึ่งจุดนี้เราไม่รู้ว่าต้ามีใบสั่งนักเตะหรือเปล่าว่าห้ามโพสเกรียนเย้ยกลับ
ซึ่งเราต้องดูกันยาวๆ เพราะเด็กพวกนี้ยังไม่มีความสำเร็จเป็นรูปธรรมไว้ข่มชาวบ้าน
ที่เห็นจะลักษณะการโพส คือการอวยกันเองเสียมากกว่า

----
ส่วนตัวผมไม่ติดวิธีการ เพราะสาระสำคัญมันอยู่ที่วิธีการเอาชนะจากระบบ แทคติก
จะเปิดเพลงนั้นผมก็เฉยๆ แต่เห็นด้วยกับคำแซะนั้นไหม ก็ใช่นะ แต่ไม่ใช่สาระ
สรุป ก็ไม่ต่างจากแนวพวกฟิวหนีตกชั้น ต้องมีอะไรจี้ก่อนถึงจะดีด

แต่การทำแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกได้อย่าง คือ ต้ามันเปิดรับการถูกวิจารณ์

อะไรที่มันจุดติดง่าย มันก็ดับง่ายเหมือนกัน

สังเกตนักเตะระดับสูง-เวิร์ลคลาสเค้าไม่ค่อยแตะทวิซหรือยุ่งกับโซเชียลกัน

แล้วกลับมามองที่ กาแซต(ย้ายทีม) + มากันเยส(จำได้ว่ากลางฤดูกาลมีเหว๋ออยู่หลายจังหวะ) + สมิธโรธ(โดนดรอบเพราะเจ็บ ไม่ฟิต)

ผมแค่หวังว่าเราคงไม่ได้เอาวิธีการนี้มาใช้ตลอด