ลาก่อน ฮีโร่ที่รัก 'ดิว็อค โอริกี้'
ไม่นานนักภายหลังจากที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองหนแรกในรอบกว่า 30 ปี ท่ามกลางสนามที่เกือบว่างเปล่าหลังทุกคนฉลองแชมป์อย่างชื่นมื่นและกลับไปร้องรำทำเพลงภายในห้องแต่งตัวกันแล้ว
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เตะตานักข่าวที่ยังคงอยู่ภายในสนามแอนฟิลด์ นั่นคือ ดิว็อค โอริกี้ ที่ไปยืนบริเวณครึ่งวงกลมกลางสนามพร้อมกับผ้าพันคอฉลองแชมป์ เอามือไขว้หลังพร้อมจ้องไปที่สแตนด์ฝั่งเดอะ ค็อป เอนด์
มันอาจเป็นสัญญาณเตือนกลายๆ ที่บ่งบอกให้กับทุกคนได้รับทราบว่า นี่คือวิถีทางอำลาสโมสรของดาวยิงทีมชาติเบลเยี่ยม
หากนั่นคือการอำลาสโมสรที่เขาปักหลักอยู่มาตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี มันก็ดูเหมือนว่าเป็นการอำลาที่ยาวนานเหลือเกิน เพราะกว่า 2 ปีหลังจากนั้น "เทพกี้" ถึงโบกมืออำลาสโมสรไปจริงๆ...ในตอนนี้
"การเดินทางที่แสนพิเศษอย่างแท้จริง ท่ามกลางช่วงเวลาที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ของเราที่ดิว็อค มอบให้ครั้งแล้วครั้งเล่า...ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง" ทวิตทางการของสโมสรเขียนคำอำลาสุดซึ้งลงไป
ต่อจากนั้น คือการตั้งแถวเกียรติยศในเกมชนะวูล์ฟส์ นัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ ซึ่งไม่เพียงแค่เขาได้รับเสียงปรบมือกึงก้องจากเพื่อนร่วมทีมและแฟนๆ เท่านั้น ยังมีของขวัญพิเศษจากผู้บริหารสโมสรอย่าง จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี เจ้าของทีม ท่ามกลางเสียงเรียกชื่อดังกึกก้องจากแฟนๆ
เมื่อพิจารณาจากเสียงเชียร์ดังกล่าวหลายคนอาจงงๆ ว่านี่หรือคือบทส่งท้ายคำอำลาสำหรับกองหน้าหมายเลข 6 ของสโมสร
ทว่า "หงส์แดง" มักมีการอำลาบรรดาคัลท์ ฮีโร่ หรือนักเตะที่เป็นที่รักของทีม ไล่มาตั้งแต่ โจอี้ โจนส์ และเดวิด แฟร์คลัฟ ไปจนถึง ฌิมี่ ตราโอเร่ และลูคัส เลวา แต่ก็คงไม่มีใครกล้าเถียงได้หรอกนะว่า สิ่งที่คนเหล่านี้ทำไม่ได้ใกล้เคียงกับที่โอริกี้ เคยสร้างเอาไว้เลย
แม้ไม่ได้เป็นสุดยอดดาวยิงจากผลงานซัดไปเพียง 41 ประตูจาก 175 เกมตลอดเวลา 8 ปีที่ค้าแข้งในถิ่นแอนฟิลด์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายประตูที่เขายิงนั้นคือสุดยอดประตู ซึ่งมีอยู่ 3 ลูก ที่อาจถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้เลย
หนึ่งนั่นคือประตูยิงใส่เอฟเวอร์ตัน, อีกหนึ่งคนลูกซัดบาร์เซโลน่า และอีกลูกคือการพังตาข่ายท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ไม่ต้องแปลกใจที่สโมสรยกย่องเขาว่าคือ "ตำนาน" อย่างแท้จริง ซึ่งเยอร์เก้น คล็อปป์ ยอดกุนซือคือกล่าวเอาไว้ ไม่น้อยกว่า 1 หน
ครั้งแรกคือตอนแถลงข่าวที่เต็มไปด้วยเหยี่ยวข่าวก่อนเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก พบ เกงค์ เมื่อ พ.ย.2019 ซึ่งนักข่าวได้ร่ายยาวถึงชื่อของนักเตะที่เคยเป็นอดีตเด็กปั้นของสโมสรเบลเยี่ยมมาก่อน ไล่ตั้งแต่ เควิน เดอ บรอยน์ ที่สุดโดดเด่น และแม้ว่า โอริกี้ ไม่ได้อยู่ในระดับนั้นและไม่มีทางจะไปถึง แต่ความจริงที่ว่า เขาคือนักเตะของลิเวอร์พูล และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์มาแล้ว 6 รายการ รวมถึงพรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนส์ ลีก มันก็ย่อมมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
"ผมรู้จักกับ ดิว็อค ตั้งแต่เขาเกิดนั่นแหล่ะ" มิเชล ริเบโร่ อดีตมิดฟิลด์ของเกงค์ ที่เป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชุดใหญ่ของสโมสร และทำงานร่วมกับโอริกี้ ระหว่างเป็นโค้ชเทคนิคของทีมเยาวชนกล่าว
"พ่อของเขาคือ ไมค์ ก็เล่นให้เกงค์มาก่อน ดังนั้นผมเลยเห็น ดิว็อค เติบโตขึ้นมา และได้ทำงานร่วมกับเขาตอนอายุ 8-9 ขวบ ก่อนที่เขาจะย้ายจากเราไป (ในปี 2010)"
"เขาเป็นเด็กที่สุดยอดมาก อารมณ์ดีเสมอ เปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้อยู่ตลอด และเราเห็นได้ตั้งแต่เด็กว่าเขามีบางอย่างที่แสนพิเศษ เขาคือหนึ่งในดาวรุ่งระดับท็อป และหวังว่าในวันหนึ่งข้างหน้าเขาจะได้เล่นให้สโมสรใหญ่ๆ เขาทำได้กับลิเวอร์พูล ซึ่งมันโคตรสุด"
ริเบโร่ ชี้ว่าแม้ โอริกี้ มีขนาดรูปร่างที่ใหญ่โต แต่ทักษะลูกหนังทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีศักยภาพอันโดดเด่น
"ดิว็อค สูงมากเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่น สิ่งที่เขาเก่งไม่ใช่แค่พละกำลัง แต่เขายังมีเท้าที่ดี เราซ้อมเรื่องการเคลื่อนที่เพื่อเติมความสามารถขั้นสุดให้กับเขาด้วยการวิ่งไปพร้อมกับบอล หรือการเลี้ยงบอล เขาทำได้ยอดมาก"
ความสามารถอันโดดเด่นของเขาลุกโชนขึ้นมาในฟุตบอลโลก 2014 ซึ่ง โอริกี้ ได้ลงเล่นทั้ง 5 เกมที่ทีมชาติลงสนามในทัวร์นาเมนต์นั้น และกลายเป็นนักเตะดาวรุ่งคนแรกต่อจาก ลิโอเนล เมสซี่ ที่ยิงประตูในทัวร์นาเมนต์ระดับโลกนี้ได้เมื่อปี 2006
ตอนนั้นเขาอายุแค่ 19 ปี และเป็น ลิเวอร์พูล ที่ตัดสินใจควักเงิน 10 ล้านปอนด์ กระชากตัวมาจากลีลล์ "เขามีพร้อมทุกอย่างที่จะเป็นเวิลด์ คลาส" เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือตอนนั้นกล่าวยกย่อง "ผมเชื่อสุดหัวใจเลยนะ"
หลังย้ายมาเขาก็โดนส่งกลับไปให้ ลีลล์ ยืมใช้งานหลังอยู่มานาน 4 ปี ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับสโมสรอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2015-2016
นั่นคือเวลาที่ระส่ำระสายของสโมสร "ตาหวาน" โดนตะเพิดออกจากเก้าอี้ตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่น แล้วเป็น คล็อปป์ ที่เข้ามาแทน แม้การเปลี่ยนผู้จัดการทีมอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่โอริกี้ แต่เขายิ้มรับด้วยความเต็มใจ พร้อมยิง 4 ประตูจาก 3 เกมที่ลงสนามในเดือน เมษายน ซึ่งรวมถึงเกม ยูโรป้า ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ชนะโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทั้ง 2 นัด เขาสถาปนาตัวเองมาเป็นหนึ่งในนักเตะสำคัญภายใต้แผนการทำทีมของโค้ชชาวเยอรมัน
จากนั้น เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ช่วงปลายเดือน เขาก็ยิงได้อีกประตู โอริกี้ ได้รับบาดเจ็บเอ็นข้อเท้ารุนแรงหลังเข้าปะทะกับ รามิโร่ ฟูเนส โมรี อาการบาดเจ็บนั้นทำให้เขาต้องพักยาวเป็นเดือน และทำให้เสียตำแหน่งตัวจริงในเกมยูโรป้า ลีก รอบชิงชนะเลิศไป แล้วฤดูกาลต่อมา โอริกี้ ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เป็นตัวเลือกสำรองบนม้านั่ง หรือไม่ก็โดนอาการบาดเจ็บรบกวน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ คล็อปป์ กำลังยกเครื่องขุมกำลังใหม่ของตัวเอง ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ แพ็คกระเป๋าย้ายเข้ามา ขณะที่โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ รีดฟอร์มเก่งออกมาได้ทำให้ SMF กลายเป็นสามประสานที่เกรียงไกรมากที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังฏฤษ
โอริกี้ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับสามแข้งชื่อดัง และเมื่อไหร่ที่เขาถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม เกมรุกของ "หงส์แดง" เริ่มไหลลื่นน้อยลง, ความเร็วตกลง, จินตนาการและสมรรถนะก็ไม่เหมือนเดิม
"เทพกี้" โดนส่งให้ทีมอื่นยืมตัวอีกครั้งในฤดูกาล 2017-2018 ครั้งนี้กับโวล์ฟสบวร์ก และเมื่อเขากลับมา เขาพบว่าตัวเองไม่ใช่แค่อยู่ภายใต้ร่มเงาของนักเตะคนอื่น และกลายเป็นไม่มีที่ว่างให้เขายืนเสียด้วยซ้ำ เขาโดนขยับไปยืนริมเส้นมากกว่าตรงกลาง ซึ่งในฤดูกาลคว้าแชมป์ลีก 2019-2020 เขาปักหลักเล่นริมเส้นด้านซ้ายมากกว่าหัวหอก และส่วนใหญ่ ในฐานะตัวสำรอง
ในบางมุม โอริกี้ คือเหยื่อของสิ่งที่เขาได้รับการปลูกฝังมาจากที่เกงค์ ซึ่งริเบโร่ อธิบายให้ฟังว่า "ในศูนย์เยาวชน เรามักส่งเด็กๆ ลงเล่นในตำแหน่งที่่หลากหลายเพื่อให้เขาแข่งขันได้มากที่สุด"
"ซึ่งโอริกี้ เล่นเป็นปีกซ้าย, เบอร์ 9 แล้วก็เบอร์ 10 ซึ่งคุณสามารถเห็นได้ตอนเล่นทีมชาติ และตอนที่อยู่กับ ลิเวอร์พูล เขาก็เล่นตัดมาจากริมเส้นได้เป็นอย่างดี เขาเล่นตรงนั้นอยู่บ่อยๆ"
ริเบโร่ ยังบอกอีกว่าการจบสกอร์ของ "เทพกี้" สมัยอยู่กับ เกงค์นั้นแค่ "โอเค" แต่ไม่ใช่กับโอกาส 3 หน ที่เขาทำได้ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ซึ่งมันมีความหมายอย่างยิ่ง
การโหม่งประตูในนาทีที่ 96 ของเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้, การวาดเท้าขวายิงประตูในเกมที่เป็นหนึ่งในสุดยอดการคัมแบ็คแห่งประวัตศาสตร์ของวงการฟุตบอลยุโรป และการยิงกดเท้าซ้ายเสียบโคนเสาพา "หงส์แดง" คว้าแชมป์ยุโรปสมัย 6 มาครอง นั่นไม่ใช่เพลย์ที่บ่งบอกคุณภาพการจบสกอร์ของโอริกี้ เท่านั้น แต่ยังเป็นความนิ่งภายใต้แรงกดดันมหาศาลของมหาเทพรายนี้
สำหรับกองเชียร์ที่เข้าไปในแอนฟิลด์เมื่อ ธันวาคม 2018 และพฤษภาคม 2019 รวมถึงที่ เอสตาดิโอ เมโทรโปลิตาโน่ เมื่อมิถุนายน 2019 คงไม่มีทางลืมเลือนความรู้สึกตอนที่เขาส่งบอลไปกองก้นตาข่ายได้เลย ทั้งวุ่นวายและทั้งน่ายินดี
"ผมดูทั้งสามประตู และหลังจากจบเกมชิงดำ (แชมเปี้ยนส์ ลีก) ผมร้องออกมาเหมือนเด็ก เพราะผมอิ่มเอิบอย่างที่สุด" ริเบโร่ ย้อนความ
"ผมส่งข้อความไปหาดิว็อค ทันทีหลังจบเกม แต่ด้วยความสัตย์จริง ผมทำแบบนี้แม้แต่ตอนที่เขาได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ และยิงประตูได้ ผมก็จะส่งข้อความไปหาเขาบอกว่า "ยินดีด้วย" "ประตูสวยนะ" ซึ่งเขาก็จะตอบกลับมาว่า "ขอบคุณครับ" เขาเป็นแบบนี้แหล่ะ เจ้าเด็กดี
การที่เขากำลังเข้าสู่ช่วงพีคของอาชีพการค้าแข้ง ความต้องการย้ายสังกัดเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ เขาเป็นตัวสำรองในอันดับท้ายๆ ไม่ใช่แค่ตามหลัง มาเน่, ซาลาห์, ฟิร์มิโน่ แต่ยังเป็น ดิโอโก้ โชต้า และหลุยส์ ดิอาสด้วย
ศูนย์หน้าวัย 27 ปี ลงสนามน้อยกว่า ทาคุมิ มินามิโนะในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากอาการเจ็บกล้ามเนื้อที่รบกวนบ่อยครั้งแล้ว โอริกี้ ยังคงได้รับเครดิตอย่างยิ่งเมื่อได้โอกาสลงสนามไปโปรดชาวโลก
6 ประตูจาก 18 นัดที่ลงเล่น ทำให้นี่คืออีกหนึ่งฤดูกาลน่าจดจำสำหรับ โอริกี้ การจักรยานอากาศในเกมพบ เปรสตัน และการซัดชัยท้ายเกมใส่วูล์ฟส์ รวมถึงโหม่งพังประตูเอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นลูกที่ 6 ของเขาในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ทำให้เขาคือหนึ่งในนักเตะต่างชาติที่พังประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโปรแกรมนี้
โอริกี้ จบช่วงเวลาของตัวเองกับสโมสร หลังส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์เมื่อจบเกมที่ปารีสว่า "มันคือการเดินทางที่แสนพิเศษ คุณจะไม่เดินเดียวดาย"
เขาอาจเสียใจบ้างที่ไม่สามารถทำผลงานระดับสูงได้อย่างเต็มที่ในแอนฟิลด์ อย่างไรก็ดี หากจะมีนักเตะสักคนที่มีโอกาสสำคัญ ไม่ได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้มีความสามารถแบบเวิลด์ คลาส เหมือนที่ร็อดเจอร์ส เคยบอก แต่ทุกอย่างมันมีเหตุผลเหนือการควบคุมของเขา
สำหรับชายหนุ่มที่พูดได้ถึง 4 ภาษา และหลงใหลในจิตวิทยาความเป็นมนุษย์ ตอนนี้มันคือโอกาสที่จะสัมผัสประสบการณ์ใหม่ และเติบโตขึ้นไปในฐานะคนๆหนึ่งและนักกีฬาอาชีพ
"ดิว็อค เก่งเกินกว่าจะนั่งเป็นสำรองทุกสัปดาห์" ริเบโร่ กล่าวทิ้งท้าย "เขาต้องลงสนาม รักษาความกระหายเอาไว้ แล้วแสดงให้ทุกคนเห็นว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง สำหรับผมแล้ว เขาคือนักเตะที่สมบูรณ์"
"ดิว็อค รู้ว่าผมรักเขา และหวังให้เขาโชคดี" นั่นไม่ใช่คำพูดของริเบโร่ เพียงคนเดียว แต่ยังเป็นของเหล่าเดอะ ค็อป ทุกคนที่ยังคงส่งใจไปเชียร์ "มหาเทพ" ซึ่งย้ายไปประทับในถิ่น ซาน ซิโร่.....
แก้ไขล่าสุดโดย ZONG'TEEN เมื่อ Fri Jun 10, 2022 13:19, ทั้งหมด 6 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ